คนทั้งหมดเดินทางมาถึงหัวเมืองขนาดเล็ก จึงหาโรงเตี๊ยมค่อนข้างดีแห่งหนึ่งเข้าพัก สองวันมานี้กู้จวิ้นเฉินเร่งการเดินทางไม่หยุด เมื่อยามที่มาถึงเบื้องหน้าหลี่ลั่วนั้นเขาแทบจะกลายเป็เถ้าธุลีอยู่แล้ว แต่หลี่ลั่วกลับคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ท่านพี่ฉีอ๋องของเขาหล่อเหลาน้อยลงเลย
คนอะไรช่างหล่อเหลาปานนี้
เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยม สิ่งแรกที่้าทำก็คืออาบน้ำ
“ออกไป” กู้จวิ้นไม่ได้หยุดมือกับการปลดเปลื้องอาภรณ์ของตน เขามองเ้าเด็กน้อยตัวเตี้ยที่เอาแต่จ้องเขา จากนั้นก็ถอดอาภรณ์ของตนเช่นกัน “เ้าถอดเสื้อผ้าทำอันใด?”
“อาบน้ำพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วทำราวกับว่ามันเป็เื่ที่ถูกต้องเป็อย่างยิ่ง “อยู่ที่บ้านของท่านน้าล้วนใช้น้ำเย็นอาบน้ำ และยังไม่มีจ่าวโต้ว[1]ด้วย ข้าไม่สบายเนื้อสบายตัวยิ่ง”
“จวิ้นอี พาเขาออกไป” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
จวิ้นอีที่ยืนอยู่ที่ประตูถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก” หลี่ลั่วเอ่ย “ข้าจะอาบน้ำกับท่านพี่ฉีอ๋อง”
“เปิ่นหวางไม่มีความเคยชินเช่นนี้” กู้จวิ้นเฉินเอ่ยขึ้นเสียงเย็น
“ท่านรังเกียจข้า” ดวงตาทั้งคู่ของหลี่ลั่วแดงก่ำ รู้สึกถูกรังแก “ั้แ่ท่านหลอกเอายาถอนพิษไปจากข้าได้ ท่านก็รังเกียจข้า”
หลอกหรือ? กู้จวิ้นเฉินท้วงเตือนด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ “เ้ารับเงินค่ารักษาไปแล้วสองหมื่นตำลึง” พูดแล้ว เขาก็หิ้วหลี่ลั่วขึ้นมาแล้วโยนทิ้งไว้นอกห้อง จากนั้นปิดประตู “พากลับไปยังห้องของเขา แล้วช่วยเขาอาบน้ำเสีย”
“ท่านพี่ฉีอ๋อง” หลี่ลั่วตบประตู “กู้จวิ้นเฉิน ท่านมันคนสารเลว ท่านถึงกับหิ้วข้า ท่านถึงกับโยนข้า...กู้จวิ้นเฉิน ท่านมันคนสารเลว...ท่านมันคนสารเลว...”
จวิ้นอีต้องทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เขายื่นมือออกไปแล้วมองสบตาหลี่ลั่ว “ท่านอาจวิ้นอี ท่านก็จะหิ้วข้าเหมือนกันใช่หรือไม่?” หลี่ลั่วถามเขาด้วยสีหน้าเ็า
จวิ้นอีรีบตอบ “ข้าน้อยมิกล้าขอรับ”
“ฮึ” หลี่ลั่วหันกลับหลังเดินเข้าไปในห้องของตน ถังอาบน้ำได้เตรียมไว้นานแล้ว
“เสี่ยวโหวเหฺยขอรับ” จวิ้นอีช่วยหลี่ลั่วปลดอาภรณ์แล้วอุ้มเขาลงไปนั่งในถังไม้ “ท่านอ๋องไม่ได้นอนมาเป็เวลาหกวันแล้วขอรับ”
หลี่ลั่วตกตะลึง
“เริ่มจากคืนที่เสี่ยวโหวเหฺยถูกลักพาตัว ท่านอ๋องก็ทรงมีพระบัญชาปิดถนนทุกสาย เรียกกำลังจากจวนว่าการและทหารม้าห้าเมืองเปิดทาง กระทั่งได้รับข่าวจากชายหนุ่มผู้นั้นจึงรีบเร่งเดินทางมารับเสี่ยวโหวเหฺยขอรับ ไม่ได้นอนมาตลอด เมื่อเหนื่อยมากจึงหลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง ท่านอ๋องใส่ใจในเสี่ยวโหวเหฺยเป็อย่างยิ่ง”
หลี่ลั่วทำปากคว่ำ “เช่นนั้น...เช่นนั้นไฉนจึงไม่อาบน้ำกับข้าเล่า” จริงๆ เลย อย่างมาก...อย่างมากก็ขอแค่ได้มองกล้ามเนื้อบนร่างกายเขาเท่านั้นเอง
“ท่านอ๋องอาจจะอยากพักผ่อนสักครู่น่ะขอรับ” จวิ้นอีคาดเดา “ไม่อยากให้เสี่ยวโหวเหฺยเห็นท่าทางเหนื่อยล้าแล้วจะรู้สึกผิดต่อท่านอ๋องน่ะขอรับ”
“ข้า...ข้าย่อมไม่รู้สึกผิดอยู่แล้ว” มาบอกเื่เหล่านี้กับเขาทำไมเล่า ทำเื่ดีแล้วต้องไม่ออกนามรู้หรือไม่? คนในยุคสมัยโบราณช่างไม่รู้จักเอาเสียเลยว่าอะไรจึงจะเรียกว่าความดีงาม “จับโจรลักพาตัวได้แล้วหรือไม่?”
“ผู้ที่ชักใยอยู่เื้ัจับตัวได้แล้วเช่นกันขอรับ เสี่ยวโหวเหฺยหายตัวไปวันที่สองก็จับตัวได้แล้ว หลังจากลงนามรับผิดในวันที่สองจึงตัดหัวทันที” จวิ้นอีปฏิบัติต่อหลี่ลั่วอย่างเคารพนับถือตลอดมา
“ผู้ใด? หยวนข่ายหรือ?” หลี่ลั่วถาม
จวิ้นอีตกตะลึง “ไฉนเสี่ยวโหวเหฺยจึงรู้เล่า?”
หลี่ลั่วหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ข้อที่หนึ่ง อีกฝ่ายเพียงแค่ลักพาตัวข้า ไม่ได้้าเอาชีวิตข้า ดังนั้นความแค้นจึงไม่ได้ใหญ่หลวงนัก ข้อสอง ขณะที่ถูกลักพาตัวนั้นข้าได้กลิ่นยาสลบราคาถูก ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็ฝีมือของมือใหม่ มิใช่ผู้ที่มีความชำนาญในการลักพาตัว ข้อสาม ข้าสามารถะโหนีจากรถม้าได้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ป้องกันอันใดต่อข้าเลย ยิ่งชัดเจนขึ้นอีกว่าไม่ใช่โจรลักพาตัว ข้อสี่ การลักพาตัวเพื่อทำมิดีมิร้ายนั้นมีอยู่สองอย่าง ไม่ใช่เื่ทรัพย์สินเงินทองก็ย่อมเป็เื่ของความแค้น หากเป็เื่ทรัพย์สิน ไม่ควรพาข้าออกจากเมืองหลวง ส่วนข้านั้นเพิ่งจะมาเมืองหลวง หากจะนับว่ามีผู้ใดเป็คู่แค้นย่อมต้องเป็หยวนข่าย” เขาเป็เพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบ ไม่มีผู้ใดมีความแค้นอันใหญ่หลวงกับเขาจนถึงขั้นต้องลักพาตัวเขา
ั้แ่ที่จวิ้นอีรู้ว่าหลี่ลั่วสามารถถอนพิษของกู้จวิ้นเฉินได้ เขาก็รู้สึกนับถือหลี่ลั่วเป็อย่างมาก ยามนี้เมื่อได้ฟังเขาคิดวิเคราะห์ออกมา แทบจะตาค้างไปเลยก็ว่าได้ เด็กน้อยคนนี้ไม่เหมือนคนธรรมดาสามัญทั่วไป ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องจนทำให้แทบจะพลิกแผ่นดินเมืองหลวงเช่นนี้ มีเขาเพียงคนเดียวแล้ว
สามขวบปูพื้นฐาน ห้าขวบเขียนบทกวี
ไม่เสียแรงที่เป็บุตรของวีรบุรุษผู้กล้าหลี่ซวี่
หลี่ลั่วได้อาบน้ำและแช่น้ำจนรู้สึกสบายไปทั่วสรรพางค์กาย เขาออกมาจากห้องเพื่อที่จะไปหากู้จวิ้นเฉิน แต่ทว่าจวิ้นอีถูกวาจาของหลี่ลั่วทำให้หยุดชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดิน “จวิ้นอี ในตัวท่านมีเงินหรือไม่?”
“เสี่ยวโหวเหฺย้าเท่าใดขอรับ?” เขาออกมาข้างนอกกับท่านอ๋อง ตลอดมาเขาเป็ผู้ตระเตรียมเงินเสมอ
หลี่ลั่วยิ้มบางๆ “ไป พาข้าไปเที่ยว”
จวิ้นอีลังเลเพียงเล็กน้อยจึงตอบรับ “องครักษ์ทั้งห้าอยู่ที่นี่คุ้มกันท่านอ๋อง” เขาไม่วางใจที่จะให้ผู้อื่นมาดูแลหลี่ลั่ว หากเ้าบรรพบุรุษตัวน้อยนี่เกิดเื่อันใดขึ้นอีก คาดว่าแม้กระทั่งเขาก็คงจะต้องถูกท่านอ๋องลงโทษไปด้วย
สถานที่แห่งนี้เป็หัวเมืองระดับมณฑลเล็กๆ เมืองหนึ่ง อยู่ในอาณัติการปกครองของจวนว่าการ แต่ห่างจากเมืองหลวงค่อนข้างไกล ทว่าก็ยังคงอยู่ในอาณาเขตของจวนว่าการ ดังนั้นความเจริญของเมืองนั้นจึงดียิ่ง ความปลอดภัยของเมืองนั้นไม่ต้องพูดแล้ว
สภาพอากาศในปลายเดือนแปดเย็นสบาย สายลมพัดพาลมเย็นมา ช่างปลอดโปร่งยิ่งนัก
เมืองระดับมณฑลเป็ศูนย์กลางของชุมชนอีกหลายชุมชน ดังนั้นในทุกๆ วันจึงคึกคักยิ่ง หลี่ลั่วเดินอยู่ไปมาบนถนนหลายสาย เห็นผู้คนคึกคักแล้วก็ให้รู้สึกน่าสนใจยิ่ง
หลายวันมานี้อยู่ในบ้านของชายหนุ่มผู้นั้นอาหารการกินไม่ดีนัก กับข้าวหยาบๆ จืดๆ เป็เพียงฝีมือการทำอาหารเพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น ยามนี้หลี่ลั่วได้กลิ่นหอมของอาหารที่อยู่บนถนน จึงรู้สึกว่าน้ำลายในปากตนจะไหลแล้ว
จวิ้นอีไม่เคยได้พบได้เจอเด็กน้อยเช่นนี้มาก่อน เห็นกันอยู่ว่าเป็เพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบ แต่ความกล้าหาญและสติปัญญานั้นกลับไม่แพ้ผู้ชายตัวโตๆ เลย ทั้งยังอาจจะฉลาดเฉลียวยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ
หลี่ลั่วยื่นเต้าหู้เหม็นไม้หนึ่งให้กับจวิ้นอี “เ้าอยากกินใช่หรือไม่?” เขาถามอย่างเอาใจใส่เป็พิเศษ
จวิ้นอีปิดจมูกของตนเองเอาไว้ ที่จริงแล้วเขามองตามหลี่ลั่วเสียจนตัวเองใจลอยไปไกลแล้ว “ตอบเสี่ยวโหวเหฺย ข้าน้อยไม่ชอบกินของกินเล่นเหล่านี้ขอรับ”
“เช่นนั้นเ้ามองข้าด้วยเหตุอันใดเล่า?” คิดว่าเขาอยากกินเสียอีก ช่างเสียแรงที่เขาเอาใจใส่จริงๆ
“ข้าน้อยเห็นเสี่ยวโหวเหฺยกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่...ของข้างทางเหล่านี้ไม่ค่อยสะอาดนัก กินให้น้อยจะเป็การดีขอรับ” จวิ้นอีนั้นเพียงแต่เตือนด้วยความหวังดี แต่น่าเสียดายที่มีคนไม่ชอบฟังเสียแล้ว
เถ้าแก่แผงขายของหน้าดำคล้ำ “ข้าขายเต้าหู้เหม็นอยู่ที่นี่เป็เวลาห้าปีแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดบอกว่าของที่ข้าขายนั้นไม่สะอาด เ้าหนุ่มคนนี้มาแล้วก็ไม่ยับยั้งวาจาเอาเสียเลย นี่เ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?”
“ท่านลุง ท่านลุง ข้าไม่ได้...”
“ท่านลุงเรอะ? เ้าหนุ่ม เ้าดูแล้วก็ไม่น่าจะเกินยี่สิบกว่าปี พวกเราอายุไม่ต่างกันมากนัก” เถ้าแก่แผงขายของปีนี้อายุสามสิบต้นๆ ชาวบ้านทำการค้าค่อนข้างลำบาก ยามปกติในเรือนยังมีงานในไร่นาอีกมากมาย ดังนั้นเมื่อดูแล้วจึงแก่เกินวัยไปสักหน่อย
ส่วนจวิ้นอีนั้นมีบุคลิกท่าทางเคร่งขรึม ปีนี้อายุยี่สิบปีพอดี แต่เขากลับมีท่าทางเป็การเป็งานยิ่ง “พี่ชายพูดถูกต้อง เป็ข้าเองที่หูตาคับแคบ จึงล่วงเกินแล้ว”
“เ้าหนุ่มพูดเช่นนี้ถูกต้องแล้ว” ยามเมื่อยอมยื่นมือออกมาแล้วย่อมไม่ตบคนหน้ายิ้ม เถ้าแก่แผงขายของเห็นว่าเ้าหนุ่มลงให้แล้วจึงไม่ถือสาอันใด
หลี่ลั่วเอามือปิดปากแอบหัวเราะ จวิ้นอีในยามปกติพูดน้อยเคร่งขรึม คิดไม่ถึงว่าที่จริงแล้วเป็คนซื่อสัตย์นัก ั้แ่ออกมาจากร้านเต้าหู้เหม็น สายตาของหลี่ลั่วก็ไม่คลาดไปจากจวิ้นอีเลย เขามองจนกระทั่งจวิ้นอีประหลาดใจ “เสี่ยวโหวเหฺยมองข้าน้อยด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ?” ความคิดของนายท่านตัวน้อยผู้นี้ เขานั้นเดาไม่ถูกจริงๆ
ช่างมีความคิดลึกลับซับซ้อนเช่นเดียวกับท่านอ๋องของเขา
“จวิ้นอีปีนี้อายุเท่าใดแล้ว?” หลี่ลั่วถาม
ไม่รู้ด้วยเหตุใด จวิ้นอีรู้สึกว่าขนบนร่างกายของเขาแทบจะตั้งขึ้นมาทั้งตัว แต่ยังคงตอบกลับไปตามความจริงว่า “ยี่สิบปีขอรับ” จวิ้นอีปฏิบัติต่อหลี่ลั่วด้วยความเคารพเฉกเช่นเดียวกับที่เขาปฏิบัติต่อกู้จวิ้นเฉิน ในสายตาของเขาแล้วนั้น หลี่ลั่วเป็ผู้มีพระคุณของท่านอ๋อง ท่านอ๋องรักและเอ็นดูต่อหลี่ลั่วเสมือนน้องชายของตน
“แต่งงานแล้วหรือไม่?” หลี่ลั่วถามอีก
จวิ้นอีหน้าแดง ผู้ชายเมื่อเอ่ยถึงเื่นี้อย่างไรก็ย่อมมมีรู้สึกขัดเขิน แล้วเขายังเป็ชายหนุ่มที่โตเป็ผู้ใหญ่แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือเขายังไม่เคยได้แตะต้องหญิงสาวเลย
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขาหลี่ลั่วก็รู้โดยพลัน “ท่านพี่ฉีอ๋องช่างไม่เอาใจใส่ คนทั่วไปหากอยู่ในวัยของพี่จวิ้นอีล้วนแต่งงานแล้ว เช่นนั้นมีคนรักแล้วหรือไม่?”
คำเรียกขาน ‘พี่จวิ้นอี’ นี้ทำให้จวิ้นอีรู้สึกไม่เป็ตัวของตัวเองทันที “ยังไม่มีคนรักขอรับ” เขาเป็เด็กกำพร้า ติดตามท่านอ๋องมาั้แ่ยังเล็ก ชื่อของเขาท่านอ๋องเป็ผู้ตั้งให้ ต่อมาด้วยวิชายุทธ์ของเขาโดดเด่นจึงกลายมาเป็หัวหน้าองครักษ์ข้างกายท่านอ๋อง เื่การแต่งงานนั้นเขาไม่เคยคิดมาก่อน ต่อให้มีหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีเดินผ่านหน้าเขา จิตใจของเขาก็นิ่งสงบดุจสายน้ำ ไม่มองตามไป ภารกิจของเขาั้แ่เล็กจนเติบใหญ่คือการอารักขาท่านอ๋อง
“ท่านพี่ฉีอ๋องช่างไม่เอาใจใส่เกินไปแล้ว” หลี่ลั่วเอ่ยวาจาตำหนิกู้จวิ้นเฉินอย่างจริงจัง แล้วยังเสริมอีกว่า “จวิ้นอีชมชอบหญิงสาวลักษณะเช่นใดเล่า?”
ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ใดก็คงไม่นำเื่เช่นนี้มาพูดคุยกับเด็กน้อยอายุห้าขวบ จวิ้นอีรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าน้อยไม่เคยคิดมาก่อน เสี่ยวโหวเหฺยยังชอบกินอะไรอีกหรือไม่ขอรับ?”
หลี่ลั่วส่งเสียง ฮึ ขึ้นครั้งหนึ่ง “เ้าโตเป็ชายหนุ่มแล้วยังจะอายอันใดอีก? ไม่สู้ข้าแนะนำให้เ้าสักหลายคนดีหรือไม่?”
“ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนี้ขอรับ” เหงื่อเย็นของจวิ้นอีเริ่มผุดออกมา หากท่านอ๋องรู้ว่าตนมาพูดคุยเื่เหล่านี้กับเสี่ยวโหวเหฺย จะต้องถูกท่านอ๋องลงโทษเป็แน่
“เช่นนั้นเ้าชอบหญิงสาวลักษณะเช่นใดเล่า? หรือว่า...เ้าชมชอบผู้ชายใช่หรือไม่?”
จวิ้นอีสะดุ้งโหยง “ไม่ๆๆ ข้าน้อยชมชอบแม่นางน้อย” ในบางครั้งที่เขามีความรู้สึกพรรค์นั้น สิ่งที่เขานึกถึงก็คือหญิงสาวที่หน้าอกเต็มอิ่มและสะโพกที่งามงอน
“ผู้หญิงมีหลากหลายนะ? อ่อนโยนนุ่มนวล? หรือว่าดุเด็ดเผ็ดร้อน?” หลี่ลั่วถามอย่างสนอกสนใจ
นี่เป็เด็กชายตัวน้อยอายุห้าขวบจริงหรือไม่? จวิ้นอีคิดย้อนกลับมา ต่อให้เป็โอรส์ ก็ไม่ได้...รู้เดียงสาเร็วเช่นนี้ไหม
“คงไม่ใช่หญิงที่มีอายุมากกว่าหรอกนะ?” หลี่ลั่วกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค
“อ่อนโยน...อ่อนโยนเป็ศรีภรรยาขอรับ” จวิ้นอีรีบตอบ เขาเกรงว่าเสี่ยวโหวเหฺยจะสนุกสนานใหญ่โต ให้ท่านอ๋องพระราชทานสมรสกับหญิงชราให้เขา
“ฐานะ พื้นฐานครอบครัว มีเงื่อนไขหรือไม่?”
“ข้าน้อยเป็เด็กกำพร้าคนหนึ่ง ั้แ่เล็กถูกเลี้ยงดูโดยพ่อบุญธรรม หลังจากฝึกยุทธ์สำเร็จจึงได้ติดตามอยู่ข้างกายท่านอ๋องมาโดยตลอดขอรับ” จวิ้นอีคิดเื่ที่ผ่านมา “พ่อบุญธรรมเสียชีวิตเมื่อหกปีก่อน ความปรารถนาเดียวของข้าคืออยากมีบุตรเพื่อสืบทอดวิชายุทธ์ของพ่อบุญธรรม ร้อยปีจากนี้มีผู้มากราบไหว้จุดธูปหน้าหลุมฝังศพของพ่อบุญธรรมแทนข้าน้อย”
หกปีก่อน? ใจของหลี่ลั่วสะดุด “ตายท่ามกลางการก่อฏเมื่อหกปีก่อนใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วขอรับ พ่อบุญธรรมเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในเขตพระราชฐานชั้นใน คนข้างกายคนแรกของฮ่องเต้องค์ก่อนไท่จื่อเยี่ยน ด้วยกำลังของเขาเพียงคนเดียวต้านเอาไว้จนกระทั่งท่านพ่อของเสี่ยวโหวเหฺยมาถึง” จวิ้นอีพูดถึงเื่ที่เกิดขึ้นในอดีต “แต่พ่อบุญธรรมได้รับาเ็สาหัส จึงกลับสู่สรวง์ไปแล้วขอรับ”
หลี่ลั่วฟังแล้วรู้สึกปวดใจเล็กน้อย เื่ราวของวีรบุรุษผู้กล้าแทนคุณแผ่นดินสำหรับเขาแล้วนั้นเป็เื่ที่ไกลตัวนัก ตลอดมาปรากฏอยู่เพียงแต่ในเื่เล่าตำนาน ประวัติศาสตร์ อย่างเช่น เยวี่ยเฟย หลินเจ๋อสวี...คิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาได้มาเห็นด้วยตาตนเอง
“ไม่ว่าจะเป็ท่านพ่อของข้า หรือท่านพ่อของเ้า ล้วนยิ่งใหญ่เกรียงไกร” แม้ว่าจะไม่เคยได้พบหน้าบิดาผู้เอาเปรียบเขาผู้นั้น แต่ความรู้สึกนับถือบูชานั้นเกิดขึ้นอย่างเป็ธรรมชาติ อาจจะเป็เพราะเืในกายของเขาเป็เืของหลี่ลั่ว ทุกครั้งที่ได้ฟังเื่ราวของหลี่ลั่ว ร่างกายของเขามักจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นมาเอง
นั่นคือท่านพ่อของเขา
หลังจากทั้งสองคนเดินเล่นในตลาดอยู่ครู่หนึ่งจึงกลับโรงเตี๊ยม พอเดินผ่านห้องของกู้จวิ้นเฉิน ก็พบว่าประตูห้องเปิดค้างเอาไว้ หลี่ลั่วหยุดชะงักฝีเท้าแล้ววิ่งเข้าไปในห้องของเขา กู้จวิ้นเฉินนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มือลูบไล้หยกพกชิ้นนั้น หยกพกชิ้นที่เขามอบให้กับหลี่ลั่ว
“ท่านพี่ฉีอ๋อง” หลี่ลั่ววิ่งเข้ามายืนเบื้องหน้าเขา ฟุบกายลงไปบนต้นขาของเขา จากนั้นมองเขา ท่ามกลางแสงพระอาทิตย์ยามอัสดง กู้จวิ้นเฉินก้มหน้าลงอยู่ในมุมย้อนแสง เขามองมาที่ตนเอง สายตานั้นลุ่มลึกแต่ทว่าตัวคนกลับอ่อนโยนไปทั้งร่าง
อวัยวะทั้งห้าที่งดงามบนใบหน้าหล่อเหลานั้น ทั้งๆ ที่แสงแดดกำลังสาดส่องเขาอยู่แต่ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงความกระตือรือร้นใดๆ หากกลับรู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นชนิดหนึ่ง เยือกเย็นราวกับแสงจันทร์
เขาไม่ค่อยยิ้มแย้ม ดังนั้นเมื่อเขาอยู่คนเดียว จึงไร้ซึ่งเสียงพูดจาไถ่ถาม ล้วนทำให้ผู้อื่นรู้สึกราวกับถูกกดดันด้วยรังสีที่แผ่ออกมาจากกายเขา
หลี่ลั่วหยิบหยกพกชิ้นนั้นมาจากมือของเขา “นี่เป็ของของข้า”
กู้จวิ้นเฉินไม่ได้ยื้อกลับมา ทว่ากลับมองหยกพกชิ้นนั้น “หยกชิ้นนี้ ที่จริงแล้วเป็หยกคู่หนึ่ง หยกชิ้นนี้ก่อนที่เสด็จแม่จะจากไปได้มอบให้ข้า ส่วนชิ้นของเ้านั้นก่อนที่เสด็จพ่อจะจากไปได้มอบให้กับเสด็จอา”
“นี่เป็สิ่งของที่แสดงถึงความรักระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ของท่านหรือ?” หลี่ลั่วตกตะลึงอยู่บ้าง
ท่านพ่อท่านแม่? กู้จวิ้นเฉินท่องสองคำนี้ “อืม”
หลี่ลั่วครุ่นคิด “เช่นนั้นข้าไม่้ามันแล้ว” เขานำหยกชิ้นนั้นยัดใส่มือกู้จวิ้นเฉิน “มันมีค่ามากเกินไป”
กู้จวิ้นเฉินนำหยกชิ้นนั้นคล้องเข้ากับลำคอของหลี่ลั่ว “เป็ของธรรมดาๆ เท่านั้น”
ในสายตาของฉีอ๋องผู้มีอำนาจล้นฟ้าและทรัพย์สมบัติล้นมือ ของรักระหว่างบิดามารดาเป็ของธรรมดาๆ เช่นนั้นหรือ? หลี่ลั่วพลันรู้สึกว่าความจริงนั้นช่างทำร้ายจิตใจยิ่งนัก เขาพยายามหาเงิน ในสายตาของเขาก็เป็เพียงสิ่งของธรรมดาๆ เช่นกัน “ข้าก็ธรรมดาสามัญมากๆ เช่นกัน” หลี่ลั่วเอ่ยขึ้น
“อ้อ?” กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว เสียงขึ้นจมูกอย่างคนที่ยังพักผ่อนไม่เพียงพอ
“ข้าชอบเงิน” หลี่ลั่วกล่าว
“ธรรมดาสามัญจริงๆ” กู้จวิ้นเฉินเห็นด้วย
หลี่ลั่วทำปากคว่ำ คิดในใจว่า “หากไม่มีเงินจะกินอิ่มท้องได้หรือไม่เล่า?
“แต่เลี้ยงง่ายยิ่งนัก” กู้จวิ้นเฉินกล่าวเสริมอีกประโยค
หลี่ลั่วตะลึง คิดในใจอีกว่า อื้อหือ วิธีการหยอกสาวของตานี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ดีนะที่ข้าไม่ใช่สาวน้อย ไม่งั้นคงต้องอ่อนยวบไปทั้งตัวแล้วละ
เมื่อถึงเวลาเข้านอนตอนกลางคืน หลี่ลั่วกอดหมอนมาถึงห้องของกู้จวิ้นเฉิน “ท่านพี่ฉีอ๋อง หลายวันมานี้ข้ามักจะฝันร้ายอยู่เสมอ กลางคืนนอนกับท่านได้หรือไม่?”
กู้จวิ้นเฉินนั้นคำปฏิเสธนั้นมารออยู่ที่ริมฝีปากแล้ว แต่หลี่ลั่วยังพูดขึ้นอีกว่า “ข้านอนหลับแล้วฝันเห็นตัวเองถูกลักพาตัว ข้ากลัวยิ่งนัก” น้ำเสียงนั้นสั่นสะท้านอยู่หลายส่วน ราวกับจะร่ำไห้
ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำพูดของหลี่ลั่วนั้นน่าจะเป็คำลวงมากกว่า แต่กู้จวิ้นเฉินยังยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง เด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่ง ไม่ว่าสติปัญญาจะเฉลียวฉลาดสักเพียงใด ต่างจากผู้อื่นสักเพียงไหน แต่ทว่า...การลักพาตัว ะโหนีทางหน้าต่าง ลอยไปกับสายน้ำ...เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขานั้น ทำให้เขาต้องตกระกำลำบากแล้วจริงๆ
กู้จวิ้นเฉินเข้าไปอุ้มหลี่ลั่วไปที่เตียง จากนั้นถอดรองเท้าให้กับหลี่ลั่ว ฉีอ๋องผู้สูงศักดิ์ต้องลดตัวมาปรนนิบัติหลี่ลั่วเป็ครั้งแรก “นอนเถิด พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อกลับเมืองหลวง”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วคลานเข้าไปด้านในของเตียงด้วยความยินดี
หลี่ลั่วยังเป็เพียงเด็กคนหนึ่ง การนอนหลับของเขานั้นดีตลอดมา ยิ่งเวลานี้ผู้ที่นอนข้างกายเขาเป็ผู้ที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจ หลังจากกู้จวิ้นเฉินขึ้นมาบนเตียง เขาก็กลิ้งมาซุกอยู่ในอ้อมกอดของกู้จวิ้นเฉิน ม้วนตัวเองตัวเป็ก้อนกลมๆ จากนั้นส่งเสียงลมหายใจแ่เบาสม่ำเสมอ
กู้จวิ้นเฉินก้มหน้าลงมองเขา ใบหน้าขาวๆ ผิวนุ่มๆ แก้มแดงๆ ของเด็กน้อย ขนตางอนยาวเฟื้อย เมื่อนอนหลับก็เหมือนเด็กกับที่ไม่รับรู้เื่ต่างๆ บนโลกใบนี้ ช่างปลอดภัยไร้กังวลยิ่งนัก ความจริงแล้วเป็ดวงตาของเขาต่างหากที่งดงามที่สุด หลังจากที่ดวงตาคู่นั้นลืมขึ้น มันจะส่องประกายวับวาบสว่างไสวดุจแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้าไปในใจคนได้
“ไม่ต้องกังวล” กู้จวิ้นเฉินลูบไหล่แบบบางของหลี่ลั่วเบาๆ เด็กน้อยตัวเล็กเท่านี้ต้องมารับภาระอันหนักอึ้งของจวนโหว ต้องปกป้องตัวเองและพี่สาว ช่างเป็บุญกุศลที่หลี่ซวี่ได้ทำมาสามชั่วอายุคน จึงได้มาซึ่งบุตรชายที่ดีเช่นนี้
ก่อนที่กู้จวิ้นเฉินจะล้มตัวลงนอน ปลายนิ้วของเขาส่งพลังลมปราณออกไป พัดแสงเทียนในห้องให้ดับลง
ชั่วพริบตา ความมืดก็ครอบคลุมทั่วทั้งห้อง
หลี่ลั่วนอนหลับสนิทอย่างแท้จริง เมื่อตื่นขึ้นมาพบว่ากู้จวิ้นเฉินอยู่ข้างกายตน จึงเพิ่งจะคิดได้ถึงเื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างสะลึมสะลือ เขาค่อยๆ ตื่นตัวและสมองปลอดโปร่งขึ้น เขายืดกายขึ้นมองดูกู้จวิ้นเฉิน หน้าผากของหนุ่มน้อยเต็มอิ่มดียิ่ง ดวงตานั้นพริ้มหลับเบาๆ สันจมูกสูงโด่ง สีของริมฝีปากจางๆ ระหว่างริมฝีปากมีช่องว่างเส้นหนึ่งที่ไม่ได้ปิดสนิท หลี่ลั่วกลอกตาไปมาจากนั้นก้มหน้าลงไปนำริมฝีปากของตนกดลงไปหนักๆ บนริมฝีปากของกู้จวิ้นเฉิน ในใจคิดว่า ใครใช้ให้ท่านแกล้งหลับเล่า
กู้จวิ้นเฉินลืมตาขึ้นพรึ่บ ท่านอ๋องฉีตกตะลึงจนทึมทื่อไปเลยทีเดียว เขา...ถูกเด็กน้อยอายุห้าขวบล่วงเกินแล้วใช่หรือไม่?
ฮ่าๆๆ...ต่อมาเป็เสียงหัวเราะอย่างได้ใจของหลี่ลั่ว เขารีบตะเกียกตะกายออกจากอ้อมกอดของกู้จวิ้นเฉิน จากนั้นคลานลงจากเตียง แต่ด้วยความที่แขนขาของเขาทั้งสั้นทั้งเล็กจึงคลานลงจากเตียงได้ไม่เร็วพอ พลันถูกคนด้านหลังหิ้วคอเสื้อขึ้นมา
“ข้าผิดไปแล้ว ท่านพี่ฉีอ๋องข้าผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วมีท่าทางยอมรับผิดของเด็กน้อย
กูจวิ้นเฉินเม้มปากแน่นไม่เอ่ยวาจา
“ท่านพี่ฉีอ๋อง ข้าเพียงแต่ล้อท่านเล่นเท่านั้น” หลี่ลั่วพูดอีก
กู้จวิ้นเฉินเองก็ไม่ใช่ว่าจะล้อด้วยเล่นไม่ได้
“ท่านพี่ฉีอ๋อง ข้ารู้สึกว่าริมฝีปากของท่านช่างน่ามองยิ่งนัก” หลี่ลั่วยิ้มไปถึงดวงตา
กู้จวิ้นเฉินมีความมั่นใจในรูปร่างหน้าของตนยิ่งนัก แต่เขาจับหลี่ลั่วกลับไปนอนคว่ำอยู่บนเตียงแล้วถอดกางเกงของเขาออก จากนั้นเสียงดัง ‘เพียะ’ ก็ดังขึ้น ก้นขาวจั๊วะของหลี่ลั่วโดนฟาดเสียแล้ว
เสี่ยวโหวเหฺยตกตะลึงจนโง่งมไปเช่นกัน เขาถูก...เขาถูกตีก้นแล้ว ั้แ่เขาจำความได้ ใครกล้าตีก้นเขา? แต่เสี่ยวโหวเหฺยที่นอนคว่ำลงกับเตียงนั้นไม่เห็นว่าฉีอ๋องที่ถูกเขาจุมพิตนั้นติ่งหูแดงไปหมดแล้ว กู้จวิ้นเฉินไม่ได้ตีแรงนัก เขายังมีความขัดเขินอยู่บ้าง แต่อย่างไรหลี่ลั่วก็เป็เพียงเด็กคนหนึ่ง ก้นที่ขาวราวกับหมั่นโถวของหลี่ลั่ว ไฉนเขาจะเหี้ยมโหดตีลงไปได้เล่า
แต่เสียงร้องไห้ดังโฮของเสี่ยวโหวเหฺยนั้น ฟังดูอัดอั้นตันใจยิ่งนัก “กู้จวิ้นเฉิน ท่านตีข้า ท่านตีข้าให้ตายไปเลย ข้าไม่ได้ถูกลักพาตัว แล้วยังต้องมาถูกท่านตีก้น หน้าของข้าไม่มีแล้ว ฮือๆๆๆๆ...”
จวิ้นอีอยู่หน้าประตู เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวโหวเหฺยเข้า เขาก็ทำตัวไม่ถูก เสี่ยวโหวเหฺยพูดจาไม่เพียงแต่ขวัญกล้านัก ยังหน้าไม่อายอย่างยิ่งอีกด้วย
“หุบปาก” กู้จวิ้นเฉินพูดเสียงเย็น
“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว ท่านมันคนไม่มีหัวใจ ข้าลำบากแทบตายกว่าจะหายาถอนพิษให้ท่านได้ ท่านตอบแทนบุญด้วยการล้างแค้น” หลี่ลั่วร้องไห้ไปด้วยพร้อมกับกล่าวหาเขาไปด้วย “ข้าก็แค่จุมพิตท่านครั้งเดียวเองมิใช่หรือ? ไฉนท่านต้องดุเช่นนี้ด้วย? ถ้าท่านยังเป็เช่นนี้ต่อไปจะหาภรรยาไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
จวิ้นอีได้ยินแล้วอยากยกมือขึ้นอุดหูของตนนัก คิดในใจว่า ‘เสี่ยวโหวเหฺยช่างกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก’
“ในฐานะที่เป็ผู้ชายคนหนึ่ง ต้องจุมพิตเป็ ต้องจุมพิตให้เก่งรู้หรือไม่?” หลี่ลั่วนอนคว่ำอยู่บนเตียงพลางอบรมสั่งสอน “หากแม้แต่จุมพิตริมฝีปากก็ยังทำไม่เป็ ภรรยาของท่านก็จะไม่รู้สึกมีความสุข”
คิ้วของกู้จวิ้นเฉินขมวดมุ่นเป็ปมตายที่แกะไม่ออก
“ยังมีอีก นิสัยเช่นนี้ของท่านจะหาคนรักได้อย่างไรเล่า?” หลี่ลั่วพูดอีก “ไม่ว่าจะชายหนุ่มหรือหญิงสาว ล้วนชมชอบให้อีกฝ่ายกระตือรือร้นสักหน่อย มีน้ำใจสักหน่อย อ่อนโยนสักหน่อย แล้วท่านเล่า?”
กู้จวิ้นเฉินเงื้อมือขึ้น
“ท่านไม่กระตือรือร้นเลยสักนิด ไม่มีน้ำใจเลยสักนิด ไม่อ่อนโยนเลยสักนิด... อ๊า...”
เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือนี้หนักกว่าฝ่ามือเมื่อสักครู่ ก้นของเสี่ยวโหวเหฺยกลายเป็สีแดง ปรากฏเป็รอยนิ้วมือทั้งห้าของกู้จวิ้นเฉินบนก้นของเสี่ยวโหวเหฺย
หลี่ลั่วไม่พูดอันใดอีก ซุกหน้าลงไปในผ้าห่ม ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงเบา ไม่ได้เจ็บเพียงก้นเท่านั้น เมื่อคิดว่าตนเองนั้นเป็ชายหนุ่มจากครอบครัวมั่งคั่งอยู่ดีๆ ครอบครัวมีอำนาจมีเงิน กำลังฝึกงานอยู่ในโรงพยาบาลและเรียนดอกเตอร์ไปด้วย กำลังคิดว่าจะหาสามีและมีชีวิตที่ดี ใครจะรู้เล่าว่า คนคิดหรือจะสู้ชะตาฟ้าลิขิตได้
ยิ่งคิด หลี่ลั่วก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้นตันใจนัก เขาตายไป พ่อของเขาเป็ผู้ชายที่เข้มแข็ง คาดว่าคงรับไม่ไหว ยังมีปู่ของเขาที่อายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วจะรับไหวได้อย่างไร แล้วยังมีแม่ของเขาที่ปีนี้อายุห้าสิบปีอีก ให้กำเนิดลูกชายคนที่สองไม่ได้แล้ว ครอบครัวสกุลหลี่ของเขาต้องมาจบลงในรุ่นของเขา
ทวดของเขา ปู่ของเขา พ่อของเขา ทรัพย์สมบัติของครอบครัวสกุลหลี่สามรุ่นที่ได้ก่อร่างสร้างตัวกันมาไม่มีผู้ใดรับ่ต่อ ฮือๆๆๆ...หลี่ลั่วร้องไห้ด้วยความปวดใจ เขาไม่มีความตั้งใจยิ่งใหญ่อันใด คิดเพียงแต่จะมีสามีแล้วใช้ชีวิตของตนเองไป
ร่างของเด็กน้อยสั่นสะท้าน ดูแล้วช่างน่าเวทนายิ่งนัก เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้นทำให้กู้จวิ้นเฉินอดไม่ไหว สงสัยว่าตนตีแรงเกินไปหรือไม่? เมื่อมองไปที่ก้นเล็กๆ ของหลี่ลั่วอีกครั้งก็เห็นว่ารอยนิ้วมือยังอยู่ครบ อาจจะตีหนักเกินไปแล้วจริงๆ ฉีอ๋องคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็อุ้มหลี่ลั่วมาไว้ในอ้อมกอด “ไม่ร้องแล้ว”
รอบดวงตาของหลี่ลั่วเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา กู้จวิ้นเฉินไม่ปลอบโยนเขายังดีสักหน่อย เมื่อกู้จวิ้นปลอบเขาจึงร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม เสียงร้องไห้นั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังพูดจากล่าวหาต่อ “แม้แต่ปลอบโยนท่านก็ทำไม่เป็ ท่านช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก”
กู้จวิ้นเฉินรู้สึกว่าไม่ว่าตนจะพูดอะไรก็ล้วนเป็เป้าถูกยิงไปเสียทั้งสิ้น เ้าเด็กนี่ให้สีสักหน่อยก็ทำท่าว่าจะเปิดโรงย้อมผ้าได้ พูดนิดพูดหน่อยเป็ขยายความเสียยืดยาว แต่ว่า...กู้จวิ้นเฉินไม่ชอบให้เขาร้องไห้ ถึงอย่างไรก็เป็เด็กน้อยที่เขารักและเอ็นดูมาตลอดระยะเวลาสามเดือนจริงๆ กู้จวิ้นเฉินไม่มีผ้าเช็ดหน้าติดตัว จึงใช้นิ้วมือไล้ดวงตาของเขา เช็ดน้ำตาให้เขา “ต่อไปจะไม่ให้เ้าถูกลักพาตัวอีก” เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะพูดอันใดดี
หลี่ลั่วยังคงสะอึกสะอื้นต่อไป แต่ใบหน้าเล็กๆ นั้นฝังลงไปในอ้อมกอดของกู้จวิ้นเฉิน หนุ่มน้อยผู้นี้ ทำให้หัวใจของเขา...อบอุ่นนัก “ห้ามตีก้นด้วย” ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่ลั่วจึงเอ่ยประโยคนี้ออกมา
มือของกู้จวิ้นเฉินที่ตบเบาๆ บนไหล่ของเขาชะงักกึก กลางฝ่ามือยังมีความรู้สึกยามที่ัักับก้นของหลี่ลั่วหลงเหลืออยู่ ความรู้สึกเมื่อฟาดลงไปนั้นช่างดียิ่งนัก
“ห้ามตีก้นด้วย” หลี่ลั่วเอ่ยขึ้นอีก
“ไม่ทำผิดก็ไม่ตี” กู้จวิ้นเฉินตอบ ความหมายคือ หากทำผิดยังคงตีนั่นเอง
“ฮึ” หลี่ลั่วผลักเขาออก คลานไปอีกด้านหนึ่งของเตียง “เช่นนั้นท่านลองพูดมาซิว่าวันนี้ข้าทำผิดตรงไหน?” เขาพูดพลางเช็ดน้ำตาของตัวเองเปะปะไปมา ท่าทางช่าง...น่าเวทนานัก
กู้จวิ้นเฉินทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง เ้าเด็กนี่ไม่ได้ทำอันใดผิดเลยจริงๆ แต่ว่า “เ้าจะมากระทำการล่วงเกินเช่นนี้ไม่ได้”
ให้ตายสิ ลูกั์ตาสีดำของหลี่ลั่วแทบจะถลนออกมาแล้ว “ข้าล่วงเกินอย่างไรเล่า หรือว่าไม่สามารถจุมพิตท่านได้?”
ก็ไม่ใช่หรอก แต่ว่า... “ลั่วเอ๋อร์ ข้าปฏิบัติต่อเ้าเสมือนน้องชายคนหนึ่ง จุมพิตก็จุมพิตไปแล้ว แต่หากกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็หญิงสาว ทำเช่นนี้จะทำให้ชื่อเสียงของหญิงสาวเสียหายได้” กู้จวิ้นเฉินอบรมสั่นสอนอย่างจริงจัง
[1] จ่าวโต้ว (澡豆) สบู่อาบน้ำในสมัยโบราณ ทำมาจากถั่ว