หลิ่วเทียนฉีมองบิดาที่มีสีหน้าหดหู่นั่งอยู่บนเก้าอี้พลางถอนหายใจเบาๆ ที่นี่คือยุคโบราณ ยังค่อนข้างให้ความสำคัญกับความกตัญญู หากหลิ่วฮั่นชิงไม่ให้บิดาออกจากบ้าน บิดาก็ไร้หนทาง!
“ลูกกลับมีความคิดหนึ่ง ไม่ทราบว่าทำได้หรือไม่?” หลิ่วเทียนฉีครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงบอก
“ความคิดอะไรหรือ?” หลิ่วเหอมองบุตรชาย เอ่ยถามอย่างฉงน
“ในเมื่อท่านปู่ไม่ยอมให้ท่านพ่อแยกบ้านออกไปลำพัง เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องพูดถึงเื่นี้ เดือนหน้าข้ากับพี่สาม พี่สี่ พี่ห้าและเสี่ยวรุ่ย พวกเราห้าคนจะไปนครเซิ่งตูเพื่อเข้าร่วมการสอบคัดเลือกของวิทยาลัยเซิ่งตู ท่านพ่อเพียงอ้างว่าจะคุ้มครองพวกเราไปส่งนครเซิ่งตู รอจนถึงนครแล้ว ท่านค่อยส่งข่าวบอกท่านปู่ว่าทิ้งลูกไม่ลง ้าอยู่เป็เพื่อนลูก่หนึ่ง เช่นนี้ท่านก็แยกออกจากตระกูลหลิ่วได้แล้วมิใช่หรือขอรับ?” ทำในที่แจ้งไม่ได้ก็ทำในที่ลับเสีย ขอแค่ออกจากเมืองฝูเฉิง มือของหลิ่วฮั่นชิงยาวเท่าใด คงยากที่จะแตะหลิ่วเหอได้เสียแล้ว
เห็นบุตรชายพูดเป็ฉากๆ หลิ่วเหอก็พยักหน้ารับ “นี่ก็เป็วิธีหนึ่ง!”
“ถูกต้องขอรับ วิธีของนายน้อยเจ็ดดี รอนายท่านสามออกจากเมืองฝูเฉิงแล้วไม่กลับมา เ้าตระกูลย่อมไร้หนทางเหมือนกันขอรับ!” หลิ่วถงพยักหน้าเห็นด้วยกับวิธีการ
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ทำเช่นนี้! หลิ่วถงเตรียมพร้อมสักหน่อย วันพรุ่งนี้เ้าไปนครเซิ่งตูก่อน ซื้อเรือนหลังที่พอๆ กับเรือนหลังนี้ไว้สักแห่ง ซื้อสาวใช้อีกสอง แม่ครัวกับคนรับใช้ไว้สักจำนวนหนึ่ง จัดการทุกสิ่งให้เรียบร้อย เดือนหน้าข้ากับเทียนฉีจะเข้าไป!” หลิ่วเหอพูดพลางนำศิลาทิพย์ถุงหนึ่งออกมาส่งให้
หลิ่วถงเป็คนสนิทของเขา เื่นี้ต้องมอบให้หลิ่วถงจัดการ เขาถึงจะวางใจ
“ขอรับนายท่านสาม!” หลิ่วถงขานรับ รับถุงศิลาทิพย์แล้วหมุนตัวออกไป
“ท่านพ่อ!” หลิ่วเทียนฉีเห็นหลิ่วเหอสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก็เรียกเสียงเบา
“ไม่เป็ไร ไป พ่อจะพาเ้าไปเหลาสุรากินอาหาร!” หลิ่วเหอพูดพลางลุกขึ้นจะพาไป
“ท่านพ่อ แต่พิษของท่าน!” หลิ่วเทียนฉีมองบิดาอย่างกังวล รู้สึกไม่วางใจเล็กน้อย
“ไม่เป็ไร หมอเหยาบอกแล้วไม่ใช่หรือ? กินโอสถแก้พิษก็ไม่เป็ไรแล้ว!” หลิ่วเหอโบกมือตอบ เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ
“ขอรับ!” ได้ยินบิดาว่าเช่นนั้น หลิ่วเทียนฉีก็พยักหน้า ตามบิดาออกไปจากเรือนด้วยกัน
.........
หลายวันให้หลัง ณ เรือนของหลิ่วไห่
“ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าลุงใหญ่วางยาพิษท่านอาสาม แต่ถูกท่านใช้เข็มเงินตรวจพบเข้าเสียก่อนจึงวิ่งไปทะเลาะกับลุงใหญ่ ทำร้ายลุงใหญ่ไม่เบาจนนอนอยู่บนเตียงมาหลายวันแล้ว!” หลิ่วอู่เบะปาก เอ่ยขึ้นอย่างดูแคลน
หลิ่วเหอระดับดวงปราณ่กลาง หลิ่วเจียงแค่ระดับสร้างรากฐาน่ปลาย ย่อมไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ของหลิ่วเหอ
“ข้าว่า ไม่แน่พิษอาจเป็หลิ่วเจียงวาง!” ซูหงเอ่ยพลางก้มหน้าดมแป้งชาดในมือที่บุตรสาวซื้อมา
“ท่านแม่หมายถึง?”
“ไม่แน่บางที นี่อาจเป็อุบายทำร้ายตนเองของอาสามของเ้า! ก่อนหน้านี้ลุงใหญ่เ้าหาศพปลอมร่างหนึ่งมาใส่ร้ายและทำร้ายเทียนฉี ไยเขาจะไม่เคียดแค้นเล่า?”
ได้ยินซูหงบอก หลิ่วอู่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “หากเป็เช่นนี้ อย่างนั้นท่านอาสามก็ชังหลิ่วเจียงสุดหัวใจแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดเื่ขึ้น!”
“แต่หมอเหยาบอกว่าพิษนั่นกับพิษที่สังหารท่านพ่อเหมือนกันนะเ้าคะ?” หลิ่วซือพูดอย่างคลางแคลง
“เฮอะ เ้าจะรู้อะไร อาสามของเ้าเคยช่วยชีวิตหมอเหยาไว้ เรียกได้ว่าหมอเหยาเชื่อฟังทุกคำพูดเลย!” พูดถึงตรงนี้ ซูหงก็หรี่ตา
“อ้อ ที่แท้ก็เป็เช่นนี้!” หลิ่วอู่กับหลิ่วซือพยักหน้าเข้าใจ
“ข้าคิดว่าอาสามของเ้าทำเช่นนี้ บางทีอาจไม่ใช่เพื่อแก้แค้น คงคิดออกจากตระกูลหลิ่วมากกว่ากระมัง!” นิสัยของหลิ่วเหอ ซูหงพี่สะใภ้รองคนนี้เข้าใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เ้าสามพูดถึงเื่ออกจากตระกูลหลิ่ว อยากแยกบ้านไปอยู่ลำพัง แต่นายท่านผู้เฒ่าไม่เห็นด้วยก็เท่านั้น!
“ออกจากตระกูลหลิ่วงั้นหรือ? ท่านอาสามเป็ถึงผู้ใช้ยันต์ขั้นสี่เชียวนะ? หากออกจากตระกูลไป เท่ากับตระกูลหลิ่วเสียรายได้ไปครึ่งหนึ่งเลยมิใช่หรือ?” หลิ่วอู่พูดจบก็อดร้อนรนไม่ได้
“ใช่แล้ว หากท่านอาสามจากไป ถือเป็ความเสียหายอันใหญ่หลวงของตระกูลหลิ่วเชียวล่ะ!” หลิ่วซือพยักหน้า นางคิดเช่นนี้เหมือนกัน
“ไม่ ท่านปู่เ้าไม่มีทางให้เขาไปหรอก!” เ้าตระกูลไม่ใช่คนโง่ จะให้บุตรชายความสามารถร้ายกาจแยกบ้านไปอยู่ลำพังได้อย่างไรเล่า?
“ก็จริงนะเ้าค่ะ!” สองพี่น้องพยักหน้ารับ
“ด้วยนิสัยอาสามของพวกเ้า เกรงว่าคงไม่มีทางคิดเช่นนี้ได้ ข้าคิดว่าเื่นี้กว่าครึ่งเทียนฉีเป็คนคิด หลายปีมานี้เขาได้ดิบได้ดีขึ้นมาก ข้าเกือบจำเขาไม่ได้อยู่แล้ว!” ซูหงพูดพลางถอนหายใจแ่เบา
นึกถึงหลิ่วเทียนฉีตอนอยู่ในเรือนเ้าตระกูลเปิดโปงศพปลอม เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำหลิ่วเจียงโกรธจนเืขึ้นหน้า แล้วมานึกถึงหลิ่วเทียนฉีที่คุกเข่าโขกศีรษะต่อหน้าเ้าตระกูลจนหน้าผากแตกในเรือนของตน พูดตามตรง ซูหงรู้สึกว่าเด็กคนนี้เติบใหญ่เร็วเกินไปนัก เร็วจนนางแทบจำไม่ได้
“เทียนฉีเก็บตัวฝึกฝนสามปี ออกไปฝึกวิชาข้างนอกอีกครึ่งปี สามปีกว่านี้เขาเปลี่ยนไปมากจริงๆ” หลิ่วซือเห็นด้วย
“ใช่แค่เขาเปลี่ยนไปมากที่ไหนเล่า เขายังพาบุรุษสองเพศดุร้ายกลับมาอีก เ้าเด็กอัปลักษณ์นั่นทำร้ายข้าได้โเี้นัก!” หลิ่วอู่คิดถึงเฉียวรุ่ยก็ชิงชังจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ซูหงกับหลิ่วซือเห็นสีหน้าคับแค้นของหลิ่วอู่พลันหัวเราะขึ้น
“เสี่ยวอู่ เดือนหน้าเ้าจะไปวิทยาลัยเซิ่งตูแล้ว นิสัยต้องเก็บงำเสียบ้าง อย่าไม่ทันไรก็ลงไม้ลงมือทะเลาะกับผู้อื่นตามใจ นอกจากนี้ เ้าควรคิดก่อนพูด อย่าเพียงเอ่ยวาจาร้ายกาจแล้วเข้าทำร้ายใคร นครเซิ่งตูหาใช่เมืองฝูเฉิง ที่นั่นขุนนางใหญ่โตมีอยู่มากนัก หากเ้าไม่ระวัง ล่วงเกินผู้ที่ไม่ควรล่วงเกินเข้า ไม่ใช่แค่เ้าหรอกนะ กระทั่งพี่สาวของเ้า ข้า และตระกูลหลิ่วทั้งหมดล้วนจะถูกเ้าลากเข้าไปด้วย เข้าใจไหม?” ซูหงเอ่ยกำชับอย่างไม่วางใจ
“เ้าค่ะ ข้าทราบแล้วท่านแม่!” หลิ่วอู่พยักหน้ารับ
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด ข้าจะดูแลน้องเอง”
“ซือเอ๋อร์ เสี่ยวอู่ พวกเ้าต้องจำไว้ ท่านพ่อกับน้องชายพวกเ้าตายไปแล้ว จากวันนี้เป็ต้นไป พวกเ้าไร้ขุนเขาให้พึ่งพิง เื่ใดๆ ให้อาศัยตัวเ้าเองซะ ไม่ว่าเทียนฉี หลิ่วซาน เทียนอี้หรือเทียนไป่ คนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเขา พวกเ้าอย่าได้คิดล่วงเกิน โดยเฉพาะคนของบ้านลุงใหญ่ พวกเ้าต้องทำเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่สิ ต้องใกล้ชิดพวกเขายิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ดีกับพวกเขายิ่งกว่าเดิม ให้พวกเขาลดความระแวงพวกเ้าลงอย่างแท้จริง หลังจากนั้นพวกเ้าถึงจะแก้แค้นให้ทั้งสองคนได้ เข้าใจไหม?”
“เ้าค่ะ ลูกเข้าใจ!” สองคนขานรับตอบมารดา
.........
ครึ่งเดือนให้หลัง เฉียวรุ่ยที่เก็บตัวฝึกฝนมาได้สามเดือนก็ออกมา
หลิ่วเทียนฉีเห็นเฉียวรุ่ยหลังออกมาพลังไปถึงขีดสุดระดับฝึกปราณขั้นเก้า และยังมีวี่แววจะขึ้นระดับสร้างรากฐานอยู่เลือนราง เขาดีใจประหนึ่งคลุ้มคลั่ง
“เสี่ยวรุ่ย เ้าร้ายกาจยิ่งนัก! เก็บตัวฝึกฝนเพียงสามเดือนพลังก้าวหน้าขึ้นปานนี้แล้ว!”
“ข้าใช้สมบัติทั้งหมดเชียวนะ หากพลังไม่ยกระดับอีก เช่นนั้นข้าไม่ขาดทุนตายเลยหรือ!” เฉียวรุ่ยพูดจบพลันสีหน้าปวดใจ
ก่อนหน้านี้เขาหาของวิเศษพบสามสิบสองชิ้น นอกจากอุปกรณ์อาคมกับของที่มอบให้เทียนฉีสี่อย่าง ยังเหลืออีกยี่สิบสามชิ้นซึ่งเป็ของวิเศษยกระดับพลัง แม้เป็เพียงสมบัติขั้นหนึ่งกับขั้นสอง ปริมาณไม่มากมายนัก แต่ยี่สิบสามชิ้นรวมเข้าด้วยกันก็ถือว่าไม่น้อย ไหนจะศิลาทิพย์สามหมื่นก้อนที่หลิ่วเทียนฉีมอบให้อีก มีของดีมากเช่นนี้ พลังของเฉียวรุ่ยไม่เพิ่มขึ้นพรวดพราดก็แปลกแล้ว!
“ฮ่าๆ อย่าอารมณ์เสียสิ รอครั้งหน้านะ ครั้งหน้าข้าจะเก็บตัวฝึกฝนกับเ้า ใช้ของดีที่เ้าหากลับมาด้วยกันแน่!” เห็นคนรักไม่ค่อยดีใจ หลิ่วเทียนฉีก็โอบเข้ามาในอ้อมแขนพลางปลอบเบาๆ
ได้ยินอย่างนั้น เฉียวรุ่ยกะพริบตาปริบๆ สีหน้าผ่อนคลายลง “เ้าพูดแล้วนะ พูดคำไหนคำนั้นนะ!”
“แน่นอน!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้ารับประกัน
“หึๆๆ...” เฉียวรุ่ยได้ยินก็หัวเราะ
“ไปเถอะ ข้าจะพาเ้าไปเหลาสุราใหญ่ ฉลองที่เ้าเลื่อนระดับเป็ระดับฝึกปราณขั้นเก้า!” หลิ่วเทียนฉีจูงมือเฉียวรุ่ยพาเดินลงจากเขา
“แค่เลื่อนระดับหนึ่งขั้น ไม่ใช่ขึ้นระดับสร้างรากฐานสักหน่อย ไม่ต้องฉลองหรอก!” แม้ปากเอ่ยเช่นนั้น แต่หัวใจเฉียวรุ่ยมันหวานชื่นเป็อย่างยิ่ง
“ได้อย่างไรเล่า? เสี่ยวรุ่ยของข้าร้ายกาจเช่นนี้ เก็บตัวฝึกฝนสามเดือนก็เลื่อนระดับหนึ่งขั้น ไม่ฉลองสักรอบคงไม่ดีกระมัง?” หลิ่วเทียนฉีทำหน้าขึงขัง เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
“ใคร ใครเป็คนของเ้ากันเล่า?” เฉียวรุ่ยมองบุรุษข้างกาย ใบหน้าแดงเล็กน้อย
“เ้าไง เ้าเป็คู่หมั้นของข้า ไม่อย่างนั้นจะเป็ของใครเล่า?”
“เ้า เ้าคนนี้นี่ ชอบพูดจาเหลวไหลนักนะ!” เฉียวรุ่ยเหล่ตามองอีกฝ่าย หันหน้าหนีด้วยความเขิน
“ฮ่าๆๆ รีบไปเถอะ!” หลิ่วเทียนฉีจูงมือคนรักต่อ ชวนคุยเล่นหัวเราะออกจากตระกูลหลิ่ว
.........
สองวันให้หลัง ในเรือนของหลิ่วไห่
“พี่สะใภ้รอง!” หลิ่วเหอก้มหน้ามองซูหงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งเ้าบ้าน คำนับให้อย่างนอบน้อม
“น้องสามไม่ต้องมาพิธี รีบนั่งเถอะ!”
“ขอบคุณพี่สะใภ้รอง!” หลิ่วเหอพยักหน้าแล้วนั่งลง
“ข้าได้ยินว่าวันพรุ่งนี้น้องสามจะคุ้มกันเด็กๆ ไปนครเซิ่งตู? เป็เื่จริงหรือ?”
“ขอรับ ท่านพ่อให้ข้าคุ้มกันไปนครเซิ่งตูด้วยกัน!” หลิ่วเหอพยักหน้ายอมรับ
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ซือเอ๋อร์กับเสี่ยวอู่ของบ้านข้าคงต้องฝากน้องสามดูแลแล้ว” พูดจบ ซูหงก้มศีรษะต่ำคำนับ
“พี่สะใภ้รองโปรดวางใจ ข้าจะดูแลหลานสาวทั้งสองเป็อย่างดี!”
“น้องสามไปครานี้ เกรงว่าคงไม่กลับมาเร็วนักสินะ?” ซูหงรู้กระจ่าง ไปครั้งนี้ สามปีห้าปีคงไม่กลับมา!
“ตระกูลหลิ่วแห่งนี้ช่างมืดมนเป็พิษ ทำให้ข้ารู้สึกไม่คุ้นชินนัก!” หลิ่วเหอตอบกลับเสียงเ็า
“น้องสามเป็คนสำคัญที่เก่งกาจ พลังวัตรระดับดวงปราณ แล้วยังเป็ผู้ใช้ยันต์ขั้นสี่ แต่ข้าหญิงหม้ายคนนี้ เสียทั้งสามีและลูกชาย วันนี้ลูกสาวสองคนยังต้องจากข้าไปนตรเซิ่งตูอีก เกรงว่าวันหน้าที่ข้าอยู่ในตระกูลหลิ่ว คงยากที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว!” ซูหงกล่าว ขอบตานางเริ่มแดงเล็กน้อย
“พี่สะใภ้ไม่ต้องกังวล มีท่านพ่ออยู่ ไม่มีใครกล้าทำอันใดท่านแน่ ส่วนนี่เป็น้ำใจเล็กน้อยของน้องสาม ขอพี่สะใภ้รองโปรดรับไว้ด้วย!” หลิ่วเหอพูดพลางเอายันต์วิเศษตั้งหนึ่งกับศิลาทิพย์ถุงหนึ่งออกมา
“น้องสาม!” เห็นยันต์วิเศษตั้งหนาและถุงศิลาทิพย์ ซูหงก็ร้องเรียกเสียงเบา ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“พี่รองไม่อยู่แล้ว หากพี่สะใภ้รองพบความลำบากในบ้านก็ติดต่อข้าได้ตลอด หากข้าหลิ่วเหอผู้นี้มีกำลังช่วยได้ ข้าจะต้องช่วยเหลือท่านอย่างแน่นอน อีกอย่างซือเอ๋อร์กับเสี่ยวอู่ร่วมเดินทางครั้งนี้ด้วย ข้าจะดูแลพวกนางอย่างดี พี่สะใภ้รองวางใจเถิด”
“อืม ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณน้องสามยิ่ง!” ซูหงพยักหน้าติดกันหลายหน รีบร้อนเอ่ยขอบคุณ
“ล้วนเป็ครอบครัวเดียวกัน พี่สะใภ้รองไม่ต้องเกรงใจ!”