Chapter 25
His smile now so scary me
แสงเหลืองนวลอันริบหรี่เล็ดรอดผ่านช่องหน้าต่างที่แคบเพียงฝ่ามือ ความสลัวปกคลุมและย้อมสีผืนป่าแห่งนี้ให้มืดมิดจนหมด หากแต่ความมืดไม่อาจทำให้ร่างเล็กบนฟูกที่ส่งกลิ่นอับนั้นหวาดกลัวอีกต่อไป ความเงียบอยู่เป็เพื่อนจูเลียนมาเสมอ และในคืนนี้ที่เขากำลังนั่งกอดเข่าเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายนี้เองก็เช่นกัน
จูเลียนกำลังปล่อยให้สายธารแห่งความคิดหลั่งไหลจนเอ่อท่วมชั้นใต้ดิน ภาพห้วงขณะบางอย่างที่ได้พานพบผ่านสายตาในวันนี้คือบ่อเกิดของเื่ทั้งหมด เหตุการณ์เมื่อบ่ายในป่าลึกยังคงตราตรึงและติดอยู่ในห้วงคำนึงของเขาไม่จางหาย
แววตาของดวงตาสีมรกตนั่น
ความเย็นะเืที่ได้มอง
แน่นอนว่าตีคู่มาพร้อมกับความหวาดกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย
เหตุใดแววตาอันอ่อนโยนและไร้พิษภัยแปรเปลี่ยนไปเป็บางสิ่งที่เกินจะคาดเดาเช่นนั้น ท่าทางที่เคยกระอักกระอ่วนและเก้ๆกังๆเองก็เหมือนกัน เดิมที่จูเลียนแค่คิดว่าอีกคนอาจกำลังทำเพื่อปกป้องเขาอยู่ แฟรงค์อาจแค่ยื่นมือมาสะสางสถานการณ์ที่บีบคั้นในตอนนั้นเพียงแค่นั้นเอง หากแต่บางอย่างกระซิบเตือนแ่เบาในใจของเขาว่า มันไม่ใช่แบบนั้นเลย
มันไม่ใช่ครั้งแรกของการได้บังเอิญเห็นอะไรเช่นนี้ ไม่ใช่ว่ามาจากเด็กหนุ่มเ้าของเรือนผมสีมะฮอกกานีนั่นหรอก แต่ั้แ่จูเลียนสนใจเื่แนวๆนี้มา ไอ้เื่จำพวกอุปนิสัยหรืออะไรบางอย่างในตัวของใครสักคนที่ชวนค้นหานั้น ไม่ คนตัวเล็กสะบัดหัวไล่คำนั้นออกจากความคิด
ฆาตกร
อยู่ดีๆมันก็โผล่ขึ้นมาในหัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ จริงอยู่ที่ในหลายๆคดีที่ได้ศึกษามาตลอดระยะเวลาการทำงานเป็นักเขียนคอลัมน์นั้น หลายครั้งที่ตำรวจหรือคนที่เกี่ยวข้องเมื่อครั้นอธิบายลักษณะจำเพาะหรือจุดสังเกตของคนพวกนั้น พวกเขาแทบจะไม่มีเลยที่ไม่พูดถึงความเพลิดเพลินยามได้ทำบางสิ่งอันแปลกจากปกติทั่วไป
จูเลียนไม่อยากจะคิดในแง่ที่เป็ปรปักษ์ บางทีแฟรงค์อาจแค่เคยชินกับการบังคับของไอ้หมอนั่น เพราะฉะนั้นการจับปืนหรือแม้แต่สัญชาตญาณนักล่ามันก็อาจมาจากการบ่มเพาะของคนเป็พ่อแบบมัน แต่ทำไมกันนะ ทำไมคราวนั้นมันต่างกันลิบลับ แค่เพียงจะเล็งยิงกระป๋องผุพังที่วางเป็เป้านิ่งบนขอนไม้ อีกคนก็กลัวจนแทบจะถือปืนในมือไว้ไม่อยู่ แล้วทำไมจู่ๆครั้งนี้เขาถึงกล้าหาญถึงขนาดเอ่ยขอปืนลูกซองจากมันโดยไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแบบที่ผ่านมาเลย เขาขจัดความประหม่าได้ไวขนาดนั้นเชียวหรือ
หรือเขาเองเคยชินกับมันอยู่แล้ว
ความคิดตีกันสับสนเละเทะ หากแต่สิ่งหนึ่งที่จูเลียนมั่นใจเหลือเกินในตอนนี้คือ เขาอาจกำลังประเมินบางอย่างผิดไปหรือเปล่านะ หรือบางทีสิ่งที่จูเลียนคิดอาจจะผิดมหันต์มาตลอดเลยก็ได้ แล้วถ้าเขากำลังประเมินแฟรงค์ต่ำเกินไป สิ่งที่ควรทำต่อไปคืออะไรกันนะ หรือบางทีเขาอาจจะแค่กลัวจนกำลังคิดอะไรไปต่างๆนานาหรือเปล่า สุดท้ายร่างเล็กตัดสินใจล้มตัวลงนอนกับฟูก ยุติห้วงคำนึงที่เริ่มเลยเถิดเอาไว้เพียงเท่านี้จะดีกว่า
บางทีเกมที่เดินอยู่ในตอนนี้อาจต้องหันเหไปเป็ทางอื่น จากเดิมที่ไม่ได้ไว้ใจนัก จนก่อนหน้านี้จูเลียนเริ่มรู้สึกว่าแฟรงค์เองคงเป็พื้นที่ปลอดภัยเล็กๆให้เขาได้ อาจไม่มากนักแต่มันก็ถือว่าคงช่วยได้ไม่น้อย ทว่าในตอนนี้คงต้องบอกว่ามันต่างกันออกไป จูเลียนไม่อาจไว้ใจใครได้อีก นอกจากตัวเขาเอง
เสียงบางอย่างปลุกให้จูเลียนตื่นจากห้วงนิทรา บางอย่างที่ดูเหมือนว่าจะเป็เสียงของแข็งขุดลึกลงไปในผืนดินไม่ห่างจากห้องใต้ดินสักเท่าไหร่ คนตัวเล็กก้าวเท้าตามบันไดจนพาตัวเองขึ้นมาเหยียบบนพื้นไม้ของกระท่อมที่บัดนี้เงียบสงัดไปทั้งหลัง ไม่รู้เหมือนกันว่ากี่โมงแล้ว แต่เดาว่าคงสายจนเลยมื้อเช้า เพราะอาหารหน้าตาคุ้นเคยถูกวางไว้บนจานจนเย็นชืด
น่าแปลกที่มันไม่ส่งแฟรงค์มาปลุก และดูเหมือนว่ามันจะออกไปแล้วเพราะปืนลูกซองคู่ใจหายไปจากชั้นวางที่มันชอบวางเอาไว้ เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง จูเลียนชะโงกผ่านหน้าต่างอันขุ่นมัว พบเ้าของเรือนผมสีเด่นกำลังก้มหน้าทำบางสิ่งที่เดาว่าคงเป็ที่มาของเสียง ดวงตากลมมองจ้องเขานิ่ง อันที่จริงหากเป็ก่อนหน้านี้คงจะเดินออกไปหาเขาแล้ว ทว่าในตอนนี้จูเลียนกลับตัดสินใจเลือกนั่งลงบนเก้าอี้และจัดการมื้อเช้าบนโต๊ะแทน
ห้วงความคิดนั่นยังคงอยู่ทุกขณะ ภาวนาว่าขอให้แฟรงค์จัดการอะไรก็ตามภายนอกนั่นให้เสร็จหลังจากเขาจัดการมื้อเช้าตรงหน้าทีเถอะ ไม่อยากจะเริ่มวันด้วยการเสวนากับแฟรงค์ทั้งๆที่ใจหวาดหวั่นแบบนี้เลย เพราะกลัวว่าบางทีเื่ขุ่นข้องในใจอาจทำให้พูดจาหรือแสดงอาการอะไรแปลกไปจนอีกคนจับสังเกตได้
ไข่ข้นอันเย็นชืดถูกยัดเข้าปากอย่างรวดเร็ว ถ้าพี่หรือพ่อมาเห็นเขากินมูมมามแบบนี้มีหวังได้โดนเอ็ดยกใหญ่แน่ แต่ทำยังไงได้ เพราะยังไงสองคนนั้นหรือแม้แต่ใครอื่นนอกจากนี้ก็คงจะไม่ได้มาเห็นท่าทางของเขาง่ายนัก พอนึกถึงคนอีกฟากหนึ่งที่ไม่ได้พบหน้ากันเลยมันก็อดที่จะชะงักทุกอย่างลงไม่ได้ จูเลียนนิ่งไปชั่วครู่ ความรู้สึกบางอย่างแล่นจับหัวขั้วใจฉับพลัน
ความรู้สึกคิดถึงและคะนึงหามันวิ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว จูเลียนคิดถึงพี่ คิดถึงเคนโตะ และคิดถึงพ่อ แม้คนหลังสุดจะเป็คนที่จูเลียนไม่เคยคิดว่าจะมีความรู้สึกแบบนี้ให้เขาเลย หากแต่ในตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเหลือเกิน ความระแวงและสิ้นหวังกลายๆมันทำให้จูเลียนเปราะบางยิ่งกว่าแก้วใส บางทีเขาเองก็แอบคิดตื้นๆ ถ้าหากเขาไม่ได้หยัดยืนหรือมันเลือกที่จะฆ่าเขาทิ้งั้แ่วันแรก ร่างไร้ลมหายใจของเขาจะถูกเจอในสภาพแบบไหนกันนะ อีกไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง หรือแห้งเหี่ยวจนเหลือเพียงกระดูก หรือบางทีเขาอาจตายไปทั้งๆที่ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาได้จากไป
“คิดอะไรอยู่หรอ”
พลันเสียงหนึ่งปลุกจูเลียนขึ้นจากภวังค์ มือไม้อ่อนด้วยความใจนเกือบทำส้อมเก่าคร่ำครึตกลงพื้น ดีที่คว้าไว้ได้ทัน แฟรงค์หัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทีและใบหน้าอันตระหนกของจูเลียน ทว่าอีกคนนั้นไร้ซึ่งการแสดงอารมณ์อะไรบนใบหน้า คนมาใหม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือคว้าเก้าอี้ข้างๆและนั่งลง
“วันนี้ตื่นสายกว่าปกตินะ จริงๆผมลงไปดูมาแล้วรอบหนึ่งแต่เห็นคุณดูหลับสบายก็เลยไม่ได้ปลุก มื้อเช้าคงไม่อร่อยเลยสิท่า”
แฟรงค์เจื้อยแจ้วด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและท่าทางที่ปกติ เขาใช้แขนเสื้อปาดเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก รอยยิ้มเมื่อครู่พลันหายวับลงเมื่อพบว่าอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าโดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย หรือบางทีจูเลียนอาจไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด
“คุณตื่นเพราะเสียงผมขุดดินหรือเปล่า ที่จริงผมเองไม่ได้อยากจะแตะพื้นดินตรงนั้นหรอกเพราะผมรู้ดีว่ามันต้องรบกวนคุณแน่ๆ แต่…”
“คุณฟังผมพูดบ้างหรือเปล่าน่ะจูล”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามดูต่างไปจากเดิม เมื่อครู่ตอนที่เขาเอ่ยเล่านั้นยังดูสดใส ทว่าประโยคที่ผ่านทำเอาคนตัวเล็กหันมามองหน้าเขาอย่างช้าๆ แน่นอนว่าดวงตาสีมรกตฉายแววขุ่นมัวเล็กน้อย จูเลียนปั้นยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก
“ฟังอยู่ แต่ฉันกลัวว่ามันจะเย็นจนหมดก็เลยรีบกินน่ะ หิวแทบบ้า”
ประคองน้ำเสียงไม่ให้กระท่อนกระแท่นอย่างยากลำบากพอสมควร แน่นอนว่าจูเลียนเองสบตากับเด็กหนุ่มเพียงครู่และหันหน้ากลับมายังจานอาหารของตัวเองดังเดิม แฟรงค์นิ่งเงียบ ไร้เสียงใดเอื้อนเอ่ยมันยิ่งทำให้คนตัวเล็กใจสั่นระรัวขึ้นมา จูเลียนไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจเสียงดัง ลมหายใจเข้าออกแ่เบาราวกับขนนก
“แล้วไป”
“นึกว่าคุณไม่สบายซะอีก”
“หรือบางทีอาจนึกกลัวอะไรขึ้นมา”
หางเสียงแข็งทื่อทำเอาคนตัวเล็กปล่อยส้อมในมือกระทบกับจานเสียงดัง จูเลียนรีบคว้ามันมาถือในมือตามเดิม เมื่อกี้นั่นมันอะไรกันนะ ทำไมเขาถึงโพล่งออกมาแบบนั้นกัน
“หมายถึงอะไรหรอ” เสียงใสที่แสร้งทำเอ่ยถามราวกับไม่รู้ความ ดวงตากลมมองสบอย่างใสซื่อ
“หมายถึงเื่กวางแม่ลูกเมื่อวานไง บางทีคุณอาจกลัวหรือใก็ได้ จริงมั้ย”
แฟรงค์คลี่ยิ้มบางๆบนใบหน้า แววตาเขาแปรเปลี่ยนเป็อ่อยโยนดังเดิม ท่าทีเขาดูผ่อนคลายมากกว่าเมื่อครู่ จูเลียนส่งยิ้มกลับไปพร้อมส่ายหัว อีกคนพยักหน้ารับ ทำท่าจะเอื้อมมือมาลูบเรือนผมสีน้ำตาล ทว่าบางสิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาใบหน้าของเด็กหนุ่มฉายแววฉงนสงสัยอีกครั้ง
“คุณดูแปลกไปจริงๆนะจูล คุณเป็อะไรหรือเปล่า”
เขาเอ่ยถามราวกับจับผิดมากกว่าจะเป็ห่วง ก็เพราะปกติแล้วจูเลียนไม่มีทางจะกระถดตัวถอยเขาด้วยซ้ำ แล้วไยครั้งนี้จูเลียนถึงดูไม่เปิดรับััจากเขาขนาดนั้นกันล่ะ ดวงตาสีมรกตเรียบเฉยทว่าซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้ ต่างจากอีกคนที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มแสร้งทำต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และหลุดแสดงอาการให้อีกฝ่ายเห็นจนได้
“ปะ เปล่า ก็นายยังไม่ได้ล้างมือนี่ ถ้าผมฉันเปื้อนดินขึ้นมาจะทำยังไง ฉันี้เีสระใหม่นะ”
ท่าทางทีเล่นทีจริงและพูดกลั้วหัวเราะไม่อาจดึงสถานการณ์ตรงหน้าให้ดีขึ้นมาได้เลย แฟรงค์ยังคงไม่เอ่ยอะไร บรรยากาศเริ่มทำจูเลียนไม่กล้าแม้กระทั่งกลืนน้ำลายลงคอ ถ้าจะให้เทียบกันจริงๆแล้ว หากเป็หมอนั่นพ่อของเขา แม้ทำท่าจะบีบคอจูเลียนเองก็ไม่มีทางจะเกรงกลัวหรอก เผลอๆอาจท้าทายเขากลับด้วยซ้ำ
“ไปทำงานกันต่อเถอะ พ่อนายมาเห็นเข้าว่าเรานั่งเฉยๆกันแบบนี้เขาอาจไม่พอใจก็ได้”
จูเลียนตัดสินใจลุกและคว้าจานอาหารเช้าเดินเลี่ยงไปยังอ่างล้างจานแทน อย่างน้อยอาจทำให้ไม่ต้องเผชิญกับสายตาจับผิดของอีกคน ร่างเล็กค่อยๆบรรจงจัดการจานเพียงใบเดียวในมืออย่างทะนุถนอม พยายามจะถ่วงเวลาทั้งที่ตอนนี้แผ่นหลังที่หันหลังให้เด็กหนุ่มนั้นเย็นวาบไปทั้งตัวอย่างบอกไม่ถูก มันช่างเป็ความรู้สึกที่เย็นะเืจับขั้วหัวใจ ทำไมกันนะ ทำไมถึงได้รู้สึกระแวงขนาดนี้กัน
มือเรียวเอื้อมบิดปิดก๊อกน้ำ คว้าผ้าขนหนูสีมอเช็ดจานและส้อม พยายามสะกดพิรุธ กระทั่งเสียงลากของเก้าอี้ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงปิดประตูเบาๆ นั่นเป็สัญญาณว่าแฟรงค์ได้ออกไปแล้ว คนตัวเล็กจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก มือลูบใบหน้าเพื่อเรียกสติคืนมา ไม่แสดงพิรุธหรืออาการอะไรต่อหน้าเขาอีก
มือหนากำแน่นจนรู้สึกได้ถึงแรงจิกของเล็บบนฝ่ามือ เ้าของเรือนผมสีมะฮอกกานีกำลังจ้องมองร่างเล็กผ่านหน้าต่างบานมัวโดยที่อีกคนไม่รู้ตัว เขากะไว้แล้วว่ามันต้องเป็แบบนี้ จูเลียนกำลังกลัวเขา มันต้องเพราะเื่ล่าสัตว์เมื่อวานแน่ เพราะมันคนเดียว มันตั้งใจให้เป็แบบนี้ มันกำลังคิดจะทำแบบนั้นแน่ๆ ไอ้สารเลวเอ๊ย
“คุณแน่ใจนะว่าเขาจะช่วยเราได้”
“อาจไม่เก่งเท่าเจค แต่เื่เฉพาะแบบนั้นเขาทำได้ดีนะ”
เดวิดเอ่ยตอบก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ คาเฟ่ขนาดเล็กย่านชานเมืองกำลังรอเขาอยู่ตรงหน้า เจย์ลีนเดินลงตามมา หาวหนึ่งทีด้วยความง่วงนอน ่นี้เข้าใกล้เทศกาลแล้ว ลูกค้าที่ร้านจึงเยอะเป็พิเศษ ทั้งภาระงานและเื่นี้ทำให้เขาจัดการอะไรยากสักนิดหน่อย ที่จริงเดวิดเองบอกทางโทรศัพท์เมื่อวานว่าเขามาที่นี่คนเดียวก็ได้แต่แน่นอนว่าคนตัวเล็กหัวดื้อไม่มีทางยอมแน่นอน
มือหนาผลักบานประตูเข้าไป ทันทีที่ใครคนหนึ่งหลังเคาท์เตอร์เห็นคนมาใหม่ก็ยิ้มกว้างทันที เดวิดตรงไปหาเขาก่อนที่ทั้งสองจะสวมกอดกันดูท่าทางจะสนิทกันพอสมควร เจย์ลีนเห็นแบบนั้นก็วางใจ เดวิดดูเหมือนจะรู้จักคนเยอะจัง แต่ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ เพราะนายตำรวจหนุ่มคนนี้แม้จะปากเสียใน่แรกที่เจอกัน แต่นับว่าเขาเป็คนอัธยาศัยดีไม่น้อย
“หอบอะไรมาให้ฉันช่วยอีกล่ะ”
ชายคนนั้นเอ่ยถามหลังจากจิบกาแฟกลิ่นหอมกรุ่นจากแก้วใบใส เดวิดเดินตรงไปคุยกับเขา ขณะที่เ้าของดวงตากลมมองไปรอบๆร้านด้วยความตื่นตาตื่นใจ มันเป็ร้านเล็กๆแถบชานเมืองอย่างที่ว่า แต่การตกแต่งภายในร้านคงต้องบอกว่าทำให้ประหลาดใจเหลือเกิน เพราะผนังไม้สีโอ๊คตัดกับโซฟาสีครีมได้อย่างลงตัว ด้วยความที่เป็ร้านเล็กๆ มันเลยทำให้รู้สึกเหมือนกับมาจิบกาแฟที่บ้านเพื่อน
“ฉันไม่แน่ใจว่าจะเจอหรือเปล่านะเดฟ” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากฟังคำขอร้องของนายตำรวจหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขาเป็สิบปี
“คุณช่วยลองก่อนได้มั้ยเคิร์ต”
เคิร์ต ชายวัยกลางคนเ้าของเรือนผมสีเทาจากอายุอานามสี่สิบปลายๆ ทว่าความแก่คืบคลานเขาไวกว่าคนรุ่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นผมที่สั้นเกรียนจนแทบจะเป็สกินเฮดนั้นจึงมีสีเทาจากผมที่หงอก เดวิดแบกหน้ามาขอความช่วยเหลือเขาไม่บ่อยนัก เพราะเคิร์ตมักไม่ได้อยู่ที่นี่สักเท่าไหร่ เขาชอบเดินป่า ชอบผจญภัยไปเรื่อย นี่จึงถือเป็โอกาสดีที่ได้เจอเขาตัวเป็ๆ
“งั้นรอนี่เดี๋ยว ฉันคงต้องรื้อเอกสารเก่าๆมากมายเหลือเกิน นายชงกาแฟหรือหยิบขนมในตู้กินได้เลยนะ ชวนเด็กคนนั้นกินด้วยก็ได้”
“อะไร” เดวิดเอ่ยหลังจากที่คนแก่กว่าทำหน้าตากรุ้มกริ่มพร้อมรอยยิ้มที่เตรียมกระเซ้าเย้าแหย่เต็มที่
“แฟนนายหรอ”
“ไปกันใหญ่แล้ว ไหนว่ามีเอกสารให้รื้อเยอะไง ทำไมคุณไม่รีบไปทำซะล่ะ”
คนแก่กว่าหัวเราะออกมาอย่างชอบใจก่อนจะเปิดประตูไม้บานเล็กหายไปหลังร้าน เดวิดใบหน้าร้อนผ่าวอย่างไม่ต้องเดา ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงเป็แบบนั้น และเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆทุกคนถึงเริ่มจับตามองเขากับคนตัวเล็กนั่นอย่างตั้งใจ เดวิดนึกขึ้นได้ก็หันไปหาเจย์ลีนที่เงียบไปทันที พลันพบกับคนอายุน้อยกว่ากำลังจ้องสโนวบอลบนชั้นวางของในร้านด้วยดวงตากลมใส
เพราะแบบนี้ไงเดวิดถึงอยากจะเจอจูเลียนให้ไว เขาอยากมอบความสดใสและชีวิตชีวากลับมาให้แก่คนตัวเล็กนั่นให้ไวที่สุด แม้รู้ดีว่ามันผ่านมาจะร่วมเดือนแล้วที่การตามหาจับจุดได้ยากเหลือเกิน แต่ยังไงซะความพยายามของเขาก็ไม่เคยลดลงเลย บางทีมันอาจเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาเสียด้วยซ้ำ แต่ดูท่าอุปสรรคที่เจอจะมากขึ้นไปด้วยเช่นกัน
“ชอบหรอ” เจย์ลีนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมาทำตาเขียวใส่อีกคนที่ทำให้เขาใ เดวิดหัวเราะออกมาเบาๆ
“นึกถึงตอนเด็กๆน่ะ” เดวิดไม่ตอบอะไร เพียงพยักหน้าเป็เชิงบอกให้เจย์ลีนพูดต่อ
“พ่อมักจะมีของติดไม้ติดมือมา่คริสต์มาสเสมอ ผมกับน้องเรารอคอยเทศกาลนี้กันมาก เพราะจะได้ช่วยกันจัดต้นสน แถมร้านขนมก็มักจะมีอะไรอร่อยๆที่พิเศษกว่าปกติให้กินด้วย”
“เรามีสโนวบอลกันคนละอัน จูเลียนไม่ค่อยชอบของกระจุกกระจิกแบบนี้หรอก แต่ผมชอบมากๆ ให้นั่งดูมันทั้งวันยังได้เลย แต่จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าเอาของพวกนี้ไปเก็บไว้ที่ไหน เหมือนพอรู้ตัวอีกทีก็โตจนไม่ได้รู้สึกอินกับอะไรแบบนี้แล้ว แต่พอเห็นมันก็อดนึกถึงไม่ได้เลย ผมพูดมากจัง” เจย์ลีนหยุดพูดพร้อมกับหัวเราะแก้เก้อเล็กน้อย
ต่างจากเดวิดที่ในตอนนี้แม้ไม่เอ่ยปากพูดอะไรสักคำ หากแต่ไม่สามารถหยุดมองสบกับดวงตากลมที่ฉายแววเป็ประกายเมื่อครู่ได้เลย เจย์ลีนดูมีความสุขเหลือเกินยามได้พูดถึงเื่เก่าๆ เขาดีใจที่มันเป็แบบนั้น หากแต่อีกนัยหนึ่งมันคงจะแปลได้ว่าปัจจุบันมันขมขื่นเอาการจนทำให้ต้องพาลนึกถึงอดีตที่น่าจนจำแทน
“คุณอยากพูดอะไรผมเคยขัดซะที่ไหน อยากพูดอะไรก็พูดสิ”
“เมื่อคืนผมก็พูดเยอะจนแสบคอไปหมดแล้ว จริงสิ”
“อะไร”
อยู่ดีๆใบหน้ากลมก็ฉายแววขบคิดขึ้นมา เจย์ลีนดูอ้ำๆอึ้งๆ ก่อนจะเดินหนีไปนั่งที่โซฟาอีกมุมของร้านแทน เดวิดขมวดคิ้วงุนงงกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของอีกคน เขาเดินตามไปนั่งลงตรงข้าม นายตำรวจหนุ่มกอดอกทำท่าราวกับจะสอบปากคำก็ไม่ปาน
“เมื่อกี้ยังพูดไม่จบเลย เดินหนีมาทำไม” คนผิวแทนเอ่ยถาม ดวงตาคมมองจ้องลึกที่ใบหน้ากลม ขณะที่คนกระอักกระอ่วนในตอนนี้ไม่แม้แต่จะสบตาเขาด้วยซ้ำ
“เปล่า นึกไม่ออกแล้วว่าจะพูดอะไร อยากจะดื่ม…”
“เจย์ลีน”
เสียงทุ้มต่ำพร้อมกับการเรียกชื่อเต็มของคนโตกว่าทำเอาเจย์ลีนสบตาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ท่าทางเดวิดดูคาดคั้นเสียเหลือเกิน อยากจะทุบหัวตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมกันนะถึงโพล่งอะไรที่น่าสงสัยแบบนั้นออกไปได้ แล้วดูเขาสิ ดูท่าคงจะต้องรู้ให้ได้ว่าเจย์ลีนจะพูดอะไรกันแน่
“ผมก็แค่…”
“ก็แค่อะไร” เจย์ลีนมองใบหน้าเรียบเฉยของเดวิด รู้โดยทันทีว่าหนีไปไหนไม่พ้นเสียแล้ว มีแต่จะต้องพูดความจริงเท่านั้น เอาล่ะ เป็ไงเป็กัน
“ผมแค่อยากรู้ว่าที่ผมโทรหาคุณทุกคืนแบบนั้น คุณรำคาญมันบ้างมั้ย”
เดวิดเลิกคิ้วและเอียงคอด้วยความฉงนกว่าเดิม เจย์ลีนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีมันซะตรงนี้เลย บ้าหรือดีที่จู่ๆไปถามเขาแบบนั้น ดวงตาคมยังคงมองจ้องไม่ย้ายหนี พลันรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นพร้อมคำถามที่ไม่อยากตอบเอาเสียเลย
“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะรำคาญกันล่ะ”
“ก็เวลานั้นมันเป็เวลาทำงานของคุณหรือเปล่า อีกอย่างบางทีผมเองก็พูดอะไรเรื่อยเปื่อย หรือบางครั้งเราก็แค่ฟังเสียงพลิกหน้ากระดาษกันเอง ผมเลยคิดว่าผมอาจกำลังรบกวนคุณอยู่หรือเปล่า”
ในตอนนี้เรียกได้ว่าเจย์ลีนแทบจะแบไต๋เผยหมดหน้าตักอย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่เขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงเลือกถามไปแบบนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะตอบมาแบบไหน แล้วทำไมถึงจะต้องกลัวเขารำคาญกันนะ ในเมื่อคนทั้งคู่เองก็เป็เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น
“คุณนี่คิดแทนผมอย่างกับมานั่งในหัวเลยนะ”
“ก็ผม…”
“ผมอาจดูหงุดหงิดกับทุกเื่ได้ง่ายก็จริง แต่ผมเป็คนที่บอกชัดเหมือนกันถ้าหากผมรู้สึกว่ามันกำลังรบกวนผมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ผมไม่เคยพูดแบบนั้นกับคุณเลยจริงมั้ย”
“ผมไม่รู้สักหน่อย บางทีที่คุณไม่พูดเพราะอาจกำลังรักษาน้ำใจผมอยู่ก็ได้”
“ถ้ามันรบกวนจริงๆผมคงตัดสายทิ้งไปตั้งนานแล้ว หรือไม่ก็แค่ไม่รับสายแล้วปล่อยให้มันสั่นอยู่แบบนั้น”
“แล้ว…”
“ฟังคุณเล่าเื่ก็สนุกดี เมื่อก่อนผมเคยทำงานเงียบๆไม่ได้มีเสียงอะไรก็รู้สึกว่ามันเงียบดีนะ แต่พอคุณโทรมาบ่อยๆผมเองก็กลายเป็ว่า…”
“อะไรหรอ”
ในตอนนี้ดูท่าคนที่ประหม่าจนต้องคลายมือที่กอดอกไว้อยู่มาเกาหลังคอแก้เก้อจะเป็คนในชุดเครื่องแบบเองเสียแล้ว เดวิดรู้สึกถึงอุณหภูมิในร่างกายที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจนรู้ตัว ใบหน้าคมกำลังเริ่มร้อนผ่าวทีละน้อย กลับกันมือเรียวดันเย็นเฉียบจนแทบจะแข็งทื่อเสียด้วยซ้ำ อะไรกัน เมื่อกี้เขายังเป็ต่ออยู่เลยนี้นา ไหงผ่านมาเพียงครู่เขากลายเป็รองอย่างไม่ต้องสืบ
“ถึงตาคุณพูดแล้วนะ จะมาโกงกันแบบนี้ได้ยังไงกันเล่า” เสียงโวยวายของเจย์ลีนทำเอาเดวิดอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ทั้งที่ยังประหม่าไม่ต่างกัน เขาสูดหายใจเข้าก่อนจะตัดสินใจพูดมันออกมาด้วยเสียงแ่เบา ไม่เหมือนกับที่คาดคั้นเจย์ลีนเมื่อครู่เลยสักนิด
“ผมเองก็ คือ คุณจะโทรมาทุกสามทุ่มใช่มั้ย มันก็ ก็”
“คุณกลายเป็คนติดอ่างั้แ่เมื่อไหร่กัน ผมไม่ยักกับรู้”
เดวิดมองใบหน้ากลมที่มีความสุขยามได้กระเซ้าเย้าแหย่เขาด้วยความหมั่นไส้ เมื่อกี้เจย์ลีนยังดูประหม่าแทนที่จะเป็เขาด้วยซ้ำ แต่ไหงตอนนี้เขาดันเป็หนักกว่าคนตัวเล็กเสียอีก ให้ตายเถอะ
“แสบจริงๆเลยนะเจย์”
“แล้วคุณจะพูดได้หรือยัง ถ้าคุณไม่พูดล่ะก็ เราก็คงต้องนั่งกันอยู่แบบนี้จนดึกดื่นนั่นแหละ ยังไงซะผมเองก็มีเวลาทั้งวันอยู่แล้ว”
เจย์ลีนทำท่ายกนาฬิกาขึ้นดู คนตัวเล็กกอดอกและเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างสบายใจ ดูเหมือนว่าจะโยนมวลอึดอัดที่ผ่านมาเมื่อครู่มาให้เดวิดแทนเสียแล้ว นายตำรวจหนุ่มปากแข็งตัดสินใจเอ่ยมันออกมาตามที่คนตรงข้ามอยากรู้
“ผมรู้ว่าคุณจะโทรมาทุกสามทุ่มตรง พอเป็แบบนั้นผมจะทำทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยั้แ่สองทุ่มครึ่ง อีกครึ่งชั่วโมงผมเหลือเวลาให้ตัวเองนั่งคิดว่าจะคุยอะไรกับคุณดี ไม่ใช่ว่ามันไม่มีเื่ให้พูดนะ แต่ผมเองไม่ได้คุยกับใครนอกเหนือจากเื่งานมานานมากแล้ว แต่ผม เห้อ จะว่ายังไงดีล่ะ ผมไม่ได้รำคาญ กลับกันผมเฝ้ารอคอยสามทุ่มของทุกวันเสียมากกว่า ไอ้เสียงพลิกกระดาษที่คุณได้ยินน่ะ ผมก็แค่แกล้งทำว่าทำงานอยู่เท่านั้นแหละ ที่จริงผมฟังคุณทุกประโยคเลยด้วยซ้ำ เจย์”
เขาพูดจบก็ลุกพรวดจากโต๊ะไปทันที เจย์ลีนกลับงุนงงกว่าเดิม คนตัวเล็กรีบลุกตามไปทำท่าจะถามต่อ แต่แล้วบานประตูที่ปิดเงียบอยู่นานก็เปิดออก เคิร์ตเดินมาพร้อมเอกสารในมือ เขาตรงเข้ามาหาเดวิดที่ยืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์ทันที
“ฉันเจอแล้ว”