ตอนที่หลงอวี้เอาชนะเฟิงหยางได้นั้น ผู้คนที่อยู่รอบๆ พากันตื่นตะลึงจนนิ่งค้างพวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่า หลงอวี้จะแข็งแกร่งกว่าเฟิงหยางจริงๆ
และเมื่อฟางคางก้าวออกมายังลานกว้าง คนเ่าั้ก็กลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง
ที่หลงอวี้ชนะเฟิงหยางได้ จะบอกว่าเป็เื่บังเอิญก็ไม่ผิดนัก เพราะเสียงะโ ‘คารวะผู้าุโ’ ของเลี่ยวเล่อเล่อนั้นส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ต่อสู้ไม่น้อย
แต่ถ้าเจอกับฟางคาง พวกเขาก็อยากเห็นเหมือนกันว่าหลงอวี้จะมีลูกไม้อะไรอีกหรือเปล่า!
หลงอวี้มองชายหนุ่มผิวดำฟางคางที่เดินเข้ามา อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
“ที่แท้ก็ศิษย์พี่ฟางคางนี่เอง ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมานานแล้ว มีโอกาสได้พบท่านเช่นนี้ นับเป็เกียรติของศิษย์น้องจริงๆ”
ฟางคางที่ได้ยินคำพูดนี้ แม้จะรู้สึกดูถูกหลงอวี้เป็อย่างมาก แต่ก็อดดีใจไม่ได้
เ้าหลงอวี้เข้าลัทธิมาได้เพียงสองวันก็ได้ยินชื่อเสียงของฟางคางผู้นี้แล้ว หมายความว่า ตอนนี้เขามีชื่อเสียงมากเลยน่ะสิ?
ลองคิดๆ ดูก็ไม่แปลก ตอนนี้เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบปีก็สามารถเข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์ขั้นหกได้แล้ว อีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็จะได้เป็ตัวแทนของลัทธิสยบฟ้าเพื่อเข้าไปยังป่าโสมโบราณของราชวงศ์ด้วย ความสำเร็จระดับนี้มันมากพอจะภูมิใจในตัวเองแล้ว
“หึ เ้าจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ศิษย์พี่ถานสั่งให้ข้ามาสั่งสอนเ้า เ้าหนีไม่รอดแน่”
ฟางคางมีสีหน้าเหิมเกริม หรี่ตาดูหลงอวี้พร้อมพูดขึ้น
“สมควรแล้ว สมควรสั่งสอนแล้ว”
หลงอวี้ไหลไปตามคำพูดอีกฝ่าย กล่าวขึ้นพร้อมหัวเราะ
“ถึงอย่างไรศิษย์พี่ฟางคางก็เป็คนจิตใจกว้างขวาง เที่ยงตรง และเป็แบบอย่างที่ดีของพวกเราลูกศิษย์หน้าใหม่!”
“นั่นก็ถูก”
ฟางคางกระแทกเสียงอย่างได้ใจ
“ดังนั้น ข้าเชื่อว่าคนอย่างศิษย์พี่ฟางคางไม่มีทางเอาเปรียบพวกเราที่เป็ลูกศิษย์หน้าใหม่อยู่แล้ว จริงไหม?”
หลงอวี้พลันเปลี่ยนเื่
“ตอนนี้ข้าเพิ่งจะมีวิถียุทธ์เพียงขั้นสี่เท่านั้น แต่ศิษย์พี่มีวิถียุทธ์ถึงขั้นหก แม้จะบอกว่าการที่ศิษย์พี่ลงมือสั่งสอนเป็เื่สมควร แต่เกรงว่าศิษย์พี่จะกลายเป็ที่ติฉินนินทาเอาได้ ข้าว่าศิษย์พี่คงไม่้าเช่นนั้น สู้ศิษย์พี่ฟางคางรอให้ข้าดูดกลืนโอสถชิงหัวก่อน เมื่อถึงตอนนั้น ศิษย์พี่ค่อยสั่งสอนข้า หากเป็เช่นนั้นผู้อื่นย่อมไม่มีทางว่าอะไรศิษย์พี่ ท่านเห็นเป็เช่นไร”
หลังพูดจบ เลี่ยวเล่อเล่อที่อยู่ข้างๆ ก็โล่งใจไปเปราะใหญ่
ตอนแรกนางคิดว่าที่หลงอวี้พูดจาดีๆ กับฟางคาง เป็เพราะ้าจะร้องขอความเมตตาจากอีกฝ่ายเสียอีก คิดไม่ถึงว่าหลงอวี้แค่้าดึงเวลาเพื่อกินโอสถชิงหัวก่อนเท่านั้น
ส่วนคนอื่นๆ ที่ยืนมุงดูจากวงนอกนั้น ต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเ้าหลงอวี้จะพูดแบบนี้
ดูท่าเ้าหลงอวี้จะรู้ตัวเหมือนกันว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฟางคาง!
ต่อให้มันกินโอสถชิงหัวเข้าไป ก็ไม่น่าจะทะลวงขีดจำกัดได้อยู่ดีมิใช่หรือสุดท้ายมันก็ยังต้องโดนฟางคางสั่งสอนอยู่ดี!
ฟางคางเองก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของหลงอวี้ก็ชักสีหน้าดูถูกทันที
“โอสถชิงหัว เป็โอสถที่ลัทธิมอบให้ลูกศิษย์ฝ่ายธุรการเป็รางวัล ผลลัพธ์ไม่ธรรมดา ถ้าเ้าคิดจะใช้มันยกระดับวรยุทธ์ขึ้นเป็วิถียุทธ์ขั้นห้าละก็ ไม่มีทาง แต่ข้าจะรอเ้าสักหนึ่งชั่วยามก็ได้”
เพราะหลงอวี้พูดเยินยอเขาไว้ตั้งมากมาย ฟางคางที่้ารักษาภาพพจน์ของตัวเองที่ ‘มีจิตใจกว้างขวางและเที่ยงตรง’ จึงไม่ได้รีบร้อนลงมือ ถึงอย่างไรหลงอวี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี แล้วยังต้องกลัวอะไรอีก?
ถานเยว่ที่อยู่บนเปลหามเห็นเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าเกลียดชังออกมาทันที แต่กับฟางคางแล้ว นางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรนัก ขอเพียงช่วยนางสั่งสอนหลงอวี้ได้ในท้ายที่สุดก็พอ!
“ข้าถานเยว่คืนนี้ต้องได้เหยียบหน้าไอ้สวะอย่างเ้าแล้วฟังเ้าร้องขอความเมตตาให้ได้!”
ในดวงตาของถานเยว่สาดประกายชิงชัง จ้องเขม็งไปที่หลงอวี้บนลานกว้างไม่ละสายตา
แต่หลงอวี้กลับไม่ได้สนใจถานเยว่เลยแม้แต่น้อย นังขี้แพ้แบบนั้น ไม่คู่ควรให้เขาสนใจ
พอได้ยินว่าฟางคางเห็นด้วย หลงอวี้ก็ลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิบนพื้นทันที กลืนโอสถชิงหัวที่ส่งกลิ่นหอมสมุนไพรในมือลงไป
โอสถชิงหัวที่เป็โอสถระดับกลางเป็ของล้ำค่า ถ้าบอกว่าไม่มีใครในที่นี้หวั่นไหวเลยนั่นคงเป็เื่โกหกแน่
ในลัทธินั้นห้ามลงมือแย่งชิงกันอยู่แล้ว แต่หลงอวี้ที่ได้มาจากการชนะเดิมพันแล้วนั้นถือเป็ข้อยกเว้น หากพวกเขาลงมือแย่งชิงละะก็ ลัทธิไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่
มีคนไม่น้อยที่มองหลงอวี้กลืนโอสถแล้วแสดงความสีหน้าเสียดายออกมา โอสถดีๆ เม็ดหนึ่งกลับถูกไอ้หน้าใหม่กลืนทิ้งอย่างสิ้นเปลืองเสียแล้ว!
เ้าหลงอวี้นี่ได้ตกเป็เป้าหมายของหานเจียนแล้ว ต่อให้มันยกระดับขึ้นเป็วิถียุทธ์ขั้นห้าได้ ต่อให้เอาชนะฟางคางได้จริง ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายก็ต้องโดนหานเจียนเล่นงานอยู่ดี เช่นนั้นโอสถชิงหัวก็ถูกใช้อย่างสูญเปล่าน่ะสิ?
ยิ่งไปกว่านั้น แค่ด่านของฟางคาง หลงอวี้ก็ไม่มีทางผ่านไปได้อยู่แล้ว!
เงาร่างอ้อนแอ้นของเลี่ยวเล่อเล่อยืนอยู่ไม่ห่างจากหลงอวี้ คอยเฝ้าระวังผู้คนรอบตัวไว้ ป้องกันไม่ให้มีใครมารบกวนตอนที่หลงอวี้กำลังดูดกลืนพลังฟ้าดินจากโอสถ
ตามหลักการแล้ว ถือว่าเลี่ยวเล่อเล่อได้ตราประจำตัวคืนมาและจบเื่กับเฟิงหยางแล้ว เื่ของหลงอวี้ย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางอีก แต่จะให้นางทิ้งหลงอวี้ไว้คนเดียวตอนนี้ เกรงว่านางคงทำไม่ลง
ต่อให้การทำแบบนี้จะหมายถึงการตั้งตนเป็ศัตรูกับถานเจียน นางก็ไม่มีทางถอยหนีแน่!
โอสถชิงหัวถูกกลืนลงท้องไปแล้ว หลงอวี้พลันรู้สึกได้ถึงพลังจากโอสถที่เริ่มแผ่ซ่านภายในร่าง เขากระตุ้นพลังของสัญลักษณ์ัปรภพขึ้นอย่างไม่ลังเล เตรียมใช้พลังของสัญลักษณ์ช่วยในการดูดกลืนพลังของโอสถ
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็สถานการณ์เร่งด่วน ฟางคางบอกแล้วว่า จะให้เวลาเขาแค่หนึ่งชั่วยาม ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ เขาต้องดูดกลืนพลังจากโอสถชิงหัวจนหมดให้ได้
‘ยังดีที่มีเศษเสี้ยวพลังฟ้าดินจากโอสถยอดหยกก่อนหน้านี้เหลือเก็บไว้ในสัญลักษณ์ั ถ้ารวมกับโอสถชิงหัวที่มีสรรพคุณดียิ่งกว่าโอสถยอดหยกนี่ด้วยละก็ ข้าก็ยังพอมีหวังที่จะก้าวขึ้นสู่วิถียุทธ์ขั้นห้าได้อยู่...’
ขณะที่หลงอวี้คิดในใจเช่นนั้น พลังฟ้าดินภายในโอสถชิงหัวค่อยๆ ถูกเปลี่ยนเป็ลมปราณและถูกชีพจรของเขาดูดกลืน
เขาพบว่า หลังจากฝึกวิชากายาพิชิตมารแล้ว ความเร็วในการดูดกลืนโอสถเองก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย สาเหตุหลักมาจากชีพจรของเขาทั้งหนาและแข็งแรงขึ้น จึงดูดกลืนเข้าไปได้มากขึ้น
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม พลังของหลงอวี้ก็เพิ่มขึ้นฉับพลัน ในที่สุดก็ยกระดับขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของขั้นสี่ พลังเป็หนึ่งหมื่นชั่งแล้ว ตอนนี้เขาเพิ่งดูดกลืนพลังฟ้าดินในโอสถชิงหัวไปเพียงสามส่วนเท่านั้น
ต่อจากนั้น พลังฟ้าดินที่ถูกเก็บไว้ในสัญลักษณ์ก่อนหน้านี้ก็ถูกถ่ายทอดเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ลมปราณภายในชีพจรทั่วร่างของเขาไหลเวียนอย่างเชี่ยวกราก ส่วนอากาศรอบตัวเขาได้ไหลเวียนกลายเป็วังวนที่ไร้รูปร่างสายหนึ่ง
ดูเหมือนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ััได้ถึงบรรยากาศรอบตัวของหลงอวี้ ต่างพากันจ้องมองด้วยความประหลาดใจ พูดคุยกันไปต่างๆ นานา
เ้าหนูนี่ หรือจะสามารถยกระดับขึ้นได้ด้วยการดูดกลืนโอสถเพียงเม็ดเดียวจริงๆ?
แน่นอนว่าต่อให้เป็เช่นนั้นจริง คนเหล่านี้ก็ดูไม่แปลกใจนัก เพราะพวกเขาไม่ได้รู้ว่าหลงอวี้เพิ่งจะก้าวสู่ขั้นสี่ได้เมื่อไม่นานมานี้
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ่เวลาที่แห่งการรอคอยก็ผ่านพ้นไป
ใน่เวลาสุดท้าย ในที่สุดหลงอวี้ก็ดูดกลืนพลังที่ถูกเก็บไว้ในสัญลักษณ์ัปรภพได้หมด บรรยากาศของเขาพลันเปลี่ยนไป เกิดเสียงปะทุดังขึ้นทั่วร่างราวกับว่าตัวเขาได้ผลัดกระดูก เปลี่ยนเส้นเอ็นทั้งตัวก็ไม่ปาน
“วิถียุทธ์ขั้นห้า ในที่สุดก็สำเร็จ”
หลงอวี้ลืมตาขึ้น ดวงตาเป็ประกาย วิถีวรยุทธ์ขั้นห้า มีพละกำลังสิบหกแรงม้าพยศ แค่ปล่อยหมัดธรรมดาก็สามารถทำลายหินั์ก้อนหนึ่งได้ เพียงตวัดฝ่ามือออกไป ก็โค่นต้นไม้แก่สูงนับสิบจ้างลงได้
“หืม? ยกระดับขึ้นได้จริงๆ หรือเนี่ย”
ฟางคางที่นั่งรอเงียบๆ อยู่ข้างๆ ลืมตาขึ้น เห็นบรรยากาศรอบตัวหลงอวี้ไม่เหมือนเดิม เขาย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายยกระดับขึ้นสู่วิถียุทธ์ขั้นห้าได้แล้ว
แม้จะเป็เช่นนั้น ฟางคางก็ไม่ได้กังวลอะไร เขาที่มีวิถียุทธ์ขั้นหกมีพละกำลังมากถึงสามสิบสองแรงม้าพยศ สูงกว่าหลงอวี้หนึ่งเท่าตัว ยิ่งไปกว่านั้นวิทยายุทธ์ที่ฝึกสำเร็จก็ถึงขั้นสูงแล้วด้วย ไม่ว่าอย่างไรหลงอวี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่เฟิงหยางเพิ่งถูกหลงอวี้ซัดจนสลบไป ไม่อย่างนั้นฟางคางคงได้รู้ว่า พลังของหลงอวี้ไม่ได้มีแค่ที่เห็นภายนอกแน่...
“เ้ายกระดับขึ้นแล้ว?”
เลี่ยวเล่อเล่อหันกลับไปมอง พบว่าบรรยากาศของหลงอวี้เปลี่ยนไป นางอดที่จะยินดีไม่ได้ ก่อนที่จะฉีกหลบไปด้านข้าง
“ถ้าอย่างนั้น เ้าก็พยายามเข้านะ อย่าแพ้ล่ะ”
หลงอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ เขารู้อยู่แล้วว่าเป็สาวน้อยน่ารักผู้นี้ที่คอยเฝ้าดูแลเขาตลอดหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา ทำให้เขาอดซาบซึ้งใจไม่ได้
ในแผ่นดินเทียนอวี้นั้น นอกจากเฟิงฉางเกอแล้ว ก็ไม่เคยมีใครทำดีกับเขามาก่อน
“เ้าคงไม่มีข้ออ้างอีกแล้วนะ”
ฟางคางก้าวเท้าออกมา ใบหน้าสีดำทะมึนแสดงสีหน้าเย้ยหยัน
. “แต่ในฐานะศิษย์พี่ ข้าจะออมมือให้เ้าสามกระบวนท่า จะได้ไม่มีใครพูดว่าข้ารังแกคนอ่อนแอ”
“ขอบคุณศิษย์พี่”
หลงอวี้แย้มยิ้มอย่างเฉยชา ไม่ได้พูดอะไรมาก อีกฝ่ายยอมให้เขาสามกระบวนท่า เช่นนั้นให้เขาออกสามกระบวนท่าก่อนค่อยว่ากัน ได้แต่หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นเ้าจะไม่เสียใจทีหลัง!
วินาทีต่อมา เงาร่างของหลงอวี้ก็กลายเป็สายลมแ่เบา เข้าประชิดตัวฟางคางอย่างรวดเร็ว
“กระบวนท่าที่หนึ่ง!”
หลงอวี้เข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว รวบรวมพละกำลังกว่าสิบหกแรงม้าพยศไว้ในกำปั้น และชกหัวของฟางคางไปทันที!
“หึ”
ฟางคางเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะอย่างเ็า ยกมือขึ้นแล้วใช้พละกำลังสามหมื่นกว่าชั่งขวางหมัดของหลงอวี้ไว้ทันที
แม้หลงอวี้จะชกใส่อย่างเกรี้ยวกราด แต่เมื่อต้องเผชิญกับพละกำลังมหาศาลของวิถียุทธ์ขั้นที่หกแล้ว หมัดนั้นก็ไม่อาจทำอะไรได้แม้แต่น้อย!
“กระบวนท่าที่สอง สัญลักษณ์ัปรภพ จงตื่น!”
หลงอวี้ถอยหลังไปสองก้าว แววตากลายเป็แข็งกร้าว ลงมือโจมตีไปอีกระลอก วิถีวรยุทธ์ขั้นห้ามีพละกำลังหนึ่งหมื่นหกพันชั่งอยู่แล้ว เมื่อรวมกับพลังของสัญลักษณ์ก็จะมีพละกำลังถึงสองหมื่นหกพันชั่ง แม้จะยังเทียบกับฟางคางไม่ได้ ทว่าก็ทรงพลังกว่าหมัดเมื่อครู่หลายเท่า!
หมัดนี้ได้ชกออกไปพร้อมกับสายลมกระโชก พุ่งใส่หน้าของฟางคางอย่างดุดัน
“หืม? นี่มันวิชาอะไรกัน ทำไมถึงเพิ่มพลังให้เ้าได้มากขนาดนี้”
ฟางคางััได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ในหมัดนี้ของหลงอวี้ จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไรนัก
กล้ามเนื้อทั่วร่างของเขากระตุกขึ้นมา พละกำลังสามหมื่นกว่าชั่งถูกรวบรวมไว้ที่ฝ่ามือทั้งหมด ตวัดมือออกไป เกิดเสียงปะทะกัน ปัดหมัดของหลงอวี้จนเอียงไปอีกทาง
ร่างกายของทั้งสองพุ่งเฉียดผ่านกัน ฟางคางก้าวเท้าถอยหลัง แต่ยังไร้ซึ่งาแ
“ต่อไป กระบวนท่าที่สาม!”
หลงอวี้ตาสาดประกายเย็นะเื ร่างกายสั่นไหวครู่หนึ่ง พลันหายไปจากจุดที่ยืนอยู่ในพริบตา
ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขาเร่งความเร็ว แต่เป็เพราะเขาบรรลุวิชาวายุก้าวพริบตาสำเร็จถึงขั้นสูงแล้ว
เพียงก้าวเท้า พริบตาเดียวก็เคลื่อนตัวไปได้ถึงสามจ้าง!
“จินตภาพสยบฟ้า!”
พลังจินตภาพปกคลุมลงมา แม้สัญชาตญาณของฟางคางจะตอบสนองไว แต่ความเร็วของร่างกายกลับตามไม่ทัน
กำปั้นของหลงอวี้ปรากฏขึ้นด้านหน้าฟางคาง โจมตีจากมุมอับสายตาด้วยพละกำลังมหาศาล ชกโดนจุดอ่อนบริเวณเอวของฟางคางเข้าอย่างจัง
ตรงจุดนี้ ฟางคางไม่คิดว่าจะโดนโจมตี จึงไม่ได้รวบรวมลมปราณไว้ป้องกัน ถูกหลงอวี้ซัดเข้าเต็มๆ หนึ่งหมัด เขาพลันส่งเสียงร้องโหยหวน ขณะปลิวกระเด็นออกไปราวกับว่าวขาดสายป่าน
สามกระบวนท่า
หลงอวี้ใช้ทุกกระบวนท่าอย่างคุ้มค่า ตบตาฟางคางให้เป็ไปตามแผนอย่างสมบูรณ์ จนมาถึงการโจมตีครั้งสุดท้าย เขาถึงะเิพลังออกไป ใช้ท่าวายุก้าวพริบตาที่สำเร็จถึงขั้นสูงลอบโจมตีอย่างรวดเร็ว
โครม
ร่างกายอันผอมบางของฟางคางล้มลงบนพื้นและหมดสติไปทันที หมัดของหลงอวี้ซัดเข้าที่เอวของฟางคางที่ไร้ซึ่งการป้องกัน ทำให้เขาได้รับาเ็สาหัสยิ่งกว่าเฟิงหยางเสียอีก เกรงว่าคงต้องนอนเตียงไปอีกหลายเดือน
“ขั้นสูง... ขั้นสูง... หลงอวี้ เ้าบรรลุวิชาวายุก้าวพริบตาขั้นสูงได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?”
เลี่ยวเล่อเล่อที่อยู่ข้างๆ ตะลึงงันไป ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามอย่างอดไม่ได้
หลงอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้อธิบาย
ความจริงแล้ว เขาไม่จำเป็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามก็ดูดกลืนพลังจากโอสถได้หมด เวลาส่วนใหญ่เขาใช้ในการฝึกวิชาวายุก้าวพริบตาต่างหาก
ตอนที่ต่อสู้กับเฟิงหยาง เขาใช้ท่าวายุก้าวพริบตาในการต่อสู้จริง อีกทั้งยังได้เห็นท่าร่างะเืเวหาที่เฟิงหยางบรรลุถึงขั้นสูงด้วย ทำให้เขาเข้าใจหลักการการใช้ลมปราณในวิชาท่าร่างมากขึ้นกว่าเดิม
และด้วยคุณสมบัติขี้โกงของสัญลักษณ์ัปรภพ เพียงหนึ่งชั่วยามเขาก็บรรลุถึงขั้นสูงได้สำเร็จ!
ทั้งบริเวณนั้นกลายเป็เงียบกริบ ทุกคนต่างอ้าปากค้างด้วยความตะลึง
ฟางคางที่มีวิถียุทธ์ขั้นหก และกำลังจะได้เป็ลูกศิษย์ระดับสูงในไม่ช้า กลับถูกเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าลัทธิได้สองวันโค่นล้ม ถ้าเป็เื่ที่ได้ยินก่อนหน้านี้ละก็ พวกเขาคงไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาด
แต่ตอนนี้ ความจริงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา หากจะไม่เชื่อก็คงไม่ได้
สายตาของทุกคนที่มองหลงอวี้นั้นไม่ใช่สายตาดูถูกอีกต่อไป แต่เป็สายตานับถือและยำเกรง บนโลกใบนี้ ผู้คนมักจะเคารพบูชายอดฝีมือผู้แข็งแกร่ง และหลงอวี้ก็ได้ใช้ความพยายามเพื่อพิสูจน์ความสามารถให้ได้เห็นแล้ว
ภายใต้ท้องฟ้ารัตติกาลอันเงียบสงัด มีแต่เพียงเสียงสายลมกระทบใบไม้เท่านั้นที่ดังในหูของผู้คน
จนกระทั่ง
แปะ! แปะ! แปะ!
ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงปรบมือดังมาจากความมืด ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหมด
ทุกคนรวมถึงหลงอวี้ ต่างพากันหันไปมองต้นเสียง หลังจากนั้นก็อึ้งงันไป
คนผู้นั้นมัน?
‘เฟิงอวิ๋น’ อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเฟิง ลูกศิษย์ระดับพิเศษของลัทธิสยบฟ้า เขาสวมชุดสีขาว รูปโฉมสง่างามราวกับวิญญูชนผู้สูงศักดิ์ ปรากฏตัวขึ้นจากความมืดมิดพร้อมกับใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้ม ค่อยๆ ก้าวเท้ามาหาหลงอวี้!