เล่มที่ 10 บทที่ 293 สุสาน
“เป็อย่างที่คิดไว้จริงๆ…”
หลินเฟยยังคงยืนอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นรูปปั้นนกจิงอูสามขาที่อยู่เบื้องหน้า เขาก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นทันที เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะต้องเกี่ยวข้องกับสำนักตงจี่แน่นอน
เมื่อชาติที่แล้ว หลินเฟยวางแผนอยู่เป็สิบปี ถึงจะกล้าบุกเข้าไปในสำนักตงจี่เพื่อ่ชิงกระจกโจ่วกวงบริเวณใต้ต้นฝูซางไปได้ ดังนั้นด้วยความรู้ความเข้าใจที่หลินเฟยมีต่อสำนักตงจี่ จึงทำให้เขาพอจะรู้ว่ารูปปั้นสัตว์ร้ายทั้งเก้าตัวนั้นมีหมายความว่าอย่างไร…
ว่ากันว่าเมื่อครั้นที่นกจิงอูสามขาร่วงหล่นลงมา มันก็ได้หล่นลงที่ใต้ต้นฝูซาง จึงทำให้เกิดสำนักตงจี่แห่งนี้ขึ้น…
หลังจากนั้นเ้าสำนักตงจี่ทุกสมัย ก็ล้วนพูดว่าตนเองเป็นกจิงอูสามขากลับชาติมาเกิด สิ่งของทุกอย่างที่ใช้จึงมีสัญลักษณ์ของนกจิงอูสามขาปรากฏเสมอ…
และบัดนี้เอง ที่สุสานก็มีรูปปั้นสัตว์ร้ายทั้งเก้าตัวตั้งตระหง่านอยู่…
ส่วนอีกแปดตัวล้วนไม่ใช่
นี่เป็รูปปั้นนกจิงอูสามขาเพียงตัวเดียวเท่านั้น…
“ดูท่าเก้าในสิบของที่นี่ จะต้องเป็จุดฝังร่างเ้าสำนักตงจี่เป็แน่…” หลินเฟยจ้องมองรูปปั้นนกจิงอูสามขาตรงหน้า ทันใดนั้นก็มีภาพต่างๆมากมายปรากฏขึ้นมาในหัว…
่เวลาสามสิบปีสุดท้ายในชาติที่แล้ว หลินเฟยใช้เวลากว่าครึ่งไปกับการต่อกรกับสำนักตงจี่ เดิมทียังคิดว่าหากลากเ้าแห่งเหวทมิฬให้ตายตกไปพร้อมกันได้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบสิ้นลง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากฟื้นขึ้นมาที่หอกระบี่ เขากลับจะมีโอกาสก้าวเข้ามาในสุสานที่ประทับร่างเ้าสำนักคนใดคคนหนึ่งของสำนักตงจี่…
“ตามหลอกตามหลอนไม่เลิกเลยนะ!”
หลินเฟยยืนอยู่ใต้รูปปั้นนกจิงอูสามขา ไม่นานปราณกระบี่ไท่อี๋ก็ะเิออกมากลายเป็ลำแสงสีทองยาวนับร้อยจ้าง เพียงสะบั้นครั้งเดียว รูปปั้นนกจิงอูสามขาก็ถูกผ่าออก…
ทันใดนั้นก็มีลำแสงมากมายพวยพุ่งขึ้นฟ้า บัดนี้รูปปั้นนกจิงอูที่สูงนับสิบจ้างก็สลายหายไปกับลำแสงอันเจิดจ้า และในขณะเดียวกัน รูปปั้นอีกแปดตัวก็มีเปลวไฟลุกไหม้โชติ่ เพียงครู่เดียวภายในสุสานก็กลายเป็ทะเลเพลิงเสียแล้ว…
“แย่แล้วเรา!” หวังจังกับจงหยางอุทานออกมาด้วยความใ สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาในหัวตามสัญชาตญาณคือการวิ่งนั่นเอง!
ทว่า…
เพียงขยับตัวก็รู้สึกถึงความผิดปกติแล้ว…
เพราะจุดที่ถูกไฟลุกท่วมไม่มีกลิ่นเผาไหม้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่หลังจากไฟเผาจนหมดสิ้นลงแล้ว กลับเผยเป็ทิวทัศน์ที่เขียวชอุ่มงดงามแทน ดังนั้นเปลวไฟนี้จึงไม่เหมือนเปลวไฟที่พร้อมเผาทำลายทุกอย่างให้วอดวาย แต่กลับเหมือนสายธารที่ใสสะอาด ซึ่งกำลังชำระล้างความวังเวงและแรงกดทับของสุสานให้หมดไป เช่นนั้นจึงจะเผยความงามที่แท้จริงออกมาได้…
“นี่มัน…” ทันใดนั้นนั้นหวังจิงกับจงหยางก็ตกตะลึงตาค้าง เอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ กระทั่งถูกเปลวไฟสุมไปทั่วทั่งร่าง ทั้งคู่ก็ยังคงไม่ได้สติแต่อย่างใด…
เอาแต่จ้องมองด้วยความตกตะลึงอยู่นาน หลังจากเปลวไฟชำระความวังเวงไปจนหมดสิ้น ก็เผยท้องฟ้าที่ใสกระจ่าง ทิศทัศน์เขียวชอุ่มงดงามออกมา…
บัดนี้สุสานที่ยิ่งใหญ่ตระการตาปรากฏขึ้นท่ามกลางูเาลำเนาไพรและบึงน้ำที่งดงาม กวาดตามองไปก็พบว่าสุสานเบื้องหน้าเป็เหมือนหุบเขาสูง เพราะรอบด้านรายล้อมไปด้วยรูปปั้นสัตว์ร้ายที่สูงนับพันจ้าง ทางเดินด้านหน้าก็ถูกสร้างด้วยแผ่นหยกขาวและแผ่นเงินทอง ดูอลังการมากทีเดียว…
พอเห็นประตูหินทางเข้าสุสานที่สูงนับร้อยจ้างเบื้องหน้า หวังจิ่งกับจงหยางก็ชะงักค้าง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เพียงเข้าใกล้เท่านั้น ประตูหินก็เริ่มเปิดออกช้าๆ…
เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงของหนักครูดกับพื้น…
บัดนี้ประตูหินได้เปิดออกแล้ว!
ทันใดนั้นรอบด้านก็เต็มไปด้วยแสงเจิดจ้าหลากสี ดูงดงามเจิดจรัสมากทีเดียว ลำแสงมากมายพวยพุ่งขึ้นฟ้า ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกละลานตาไปหมด เมื่อกวาดตามองไปก็เห็นเพียงเหล่าลำแสงที่กำลังสาดส่องอยู่ ไม่นานพวกมันก็รวมตัวกัน จนกลายเป็นกหงส์ทองและัแสนสุกสกาวจนทำให้ดวงตาพร่ามัวเลยทีเดียว
“สัตว์อสูรพวกนี้…” หวังจิ่งกับจงหยางจะมาจากสำนักใหญ่ จึงรู้ดีว่านกหงส์ทองและัที่เกิดจากลำแสงเหล่านี้เป็สิ่งที่เกิดจากสิ่งวิเศษล้ำค่า หากผู้บำเพ็ญทั่วไปได้มาสักชิ้น เกรงว่าจะเป็โชควาสนาใหญ่หลวง แต่ว่าในสุสานแห่งนี้ กลับมีมากนับร้อยชิ้นทีเดียว…
ทว่า…
ชั่วขณะที่หวังจิ่งกับจงหยางกำลังสบตากัน หมายจะ่ชิงสมบัติมาสักชิ้น ทันใดนั้นก็มีผู้เฒ่าชราผมขาวโพลนเดินออกมาท่ามกลางลำแสงที่กำลังเจิดจ้า…
ผู้เฒ่าที่เดินออกมา มีรูปร่างซูบผอม ผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ รอยยิ้มที่ส่งมาก็แฝงไปด้วยความเป็มิตร แต่หลังจากที่เดินออกมา และเห็นความละโมบในสายตาของหวังจิ่งและจงหยาง เขาก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“น้องชายทั้งสอง สิ่งวิเศษเหล่านี้ข้าผู้เฒ่ายังต้องใช้ จึงไม่สามารถมอบให้พวกเ้าได้…”
“ฮ่าๆ พวกข้าแค่ดูเล่นเท่านั้นแหละ ใช่ๆ แค่ดูเล่นเท่านั้น…” หวังจิ่งเอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะเก้อกระดาก เพราะกระแสพลังที่แพร่ออกมาจากผู้เฒ่าตรงหน้า ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายมีขั้นบำเพ็ญสูงถึงจิงตันเก้าโคจร ต่อให้หวังจิ่งใจกล้าเพียงใด ก็ไม่อาจแย่งของกับคนระดับนี้ได้หรอก…
ทว่าขณะที่เอ่ย ก็ยังมิวายหันไปมองของวิเศษที่กำลังเปล่งแสงเจิดจรัส เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็โชควาสนาอันใหญ่หลวง ใครกันไม่อยากได้บ้าง?
“หึหึ…” ผู้เฒ่าชราเห็นดังนั้น ก็เข้าใจทันทีว่าทั้งสองรู้สึกอย่างไร หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“การได้เจอกันก็ถือว่าเป็วาสนา ในเมื่อน้องชายทั้งสองมาถึงที่แห่งนี้ได้ เช่นนั้นก็เลือกสิ่งวิเศษในนี้สักชิ้นก็แล้วกัน…”
“หือ?”
หวังจิ่งและจงหยางถึงกับชะงักลงทันที…
จะว่าไปก็น่าขันทีเดียว เพราะหลังจากผู้เฒ่าชราอนุญาตแล้ว ทั้งคู่กลับลังเลเสียได้ ในใจก็ทั้งสงสัยและใไปพร้อมๆกัน พวกเขาเอาแต่คิดว่าสุสานนี้ช่างพิสดารเหลือเกิน แถมยังมีสิ่งวิเศษอยู่มากมาย หรือนี่จะเป็กับดัก?
หวังจิ่งกับจงหยางมองหน้ากันไปมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปหยิบสิ่งวิเศษนี้เลย…
“ยังไม่รีบขอบคุณอีก มัวยืนงงอะไรอยู่ได้…” หลินเฟยเห็นท่าทางของทั้งคู่แล้วก็หัวเราะออกมา ก่อนจะเดินตามหลังผู้เฒ่าชราออกไป…
“ไปสิ!” หวังจิ่งและจงหยางชะงักอยู่นาน ก่อนจะกัดฟันและเอ่ยออกมาในเวลาเดียวกัน
‘ไม่สนแล้วว่าจะเป็กับดักหรือไม่ คว้าสิ่งวิเศษมาให้ได้ก่อนแล้วกัน!’
ไม่นานทั้งคู่ก็โคจรพลังออกมาพร้อมกัน ก่อนจะพุ่งตัวไปยังหงส์ทองและัทันที…
หลังจากผู้เฒ่าเดินออกมาจากสุสานแล้ว ก็พลันหาหินก้อนหนึ่งนั่งที่ริมน้ำ จากนั้นก็เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา เอาแต่เหม่อมองไปยังบึงน้ำใสสะอาดอย่างเดียวโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…
เมื่อเห็นผู้เฒ่าเอาแต่นิ่งเงียบ หลินเฟยเองก็ไม่รีบร้อนอะไร ก่อนจะหาที่นั่งลงข้างริมน้ำที่อยู่ไม่ไกลกัน จากนั้นก็นั่งมองไปยังสุสานด้วยความสนใจ…
และก็เป็เช่นนี้อยู่เกือบหนึ่งก้านธูป ในที่สุดผู้เฒ่าชราก็เอ่ยปากออกมา
“ทำไมล่ะ การช่วยเหลือจากข้าไม่เพียงพอที่จะให้เ้าเอ่ยขอบคุณเลยหรือ?”
“หึหึ…” หลินเฟยรู้ดีว่าก่อนหน้านี้ตอนถูกมือั์สีโลหิตคว้าตัวเอาไว้ และบัดนี้กลับสามารถรอดพ้นมาได้โดยไร้รอยขีดข่วน และฟื้นขึ้นมาในสุสานที่แปลกประหลาดนี้แทน ทุกอย่างล้วนเป็เพราะผู้เฒ่าชราตรงหน้าเป็แน่…
ยิ่งไปกว่านั้น หลินเฟยยังรู้แก่ใจว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับบุญคุณช่วยชีวิต…
และก็เป็เช่นนั้นจริงๆ เพราะหลังจากผู้เฒ่าชราได้ยินเสียงหัวเราะของหลินเฟย นอกจากเขาจะไม่โกรธแล้ว ยังกลับหัวเราะออกมาอีก
“เอาเถอะ ที่ข้าผู้เฒ่าช่วยเ้าก็เพราะมีเื่อยากให้ช่วย ข้าเองก็ไม่ได้อยากยุ่งกับเ้าปีศาจนั่นนักหรอก…”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------