หนังสือสัญญาจัดทำเสร็จเรียบร้อย แต่เมิ่งเฉิงเจ๋อกลับพบว่าผู้ลงนามก็คือเด็กชายซึ่งอายุน้อยที่สุดคนนั้น
"การค้านี้เป็ของพวกเขาสองพี่น้อง สตรีไม่สะดวกออกหน้า ดังนั้นน้องชายจึงเป็ตัวแทนรับหน้าที่" เหลียนเซวียนอธิบายง่ายๆ
เมิ่งเฉิงเจ๋อหน้าถอดสีในบัดดล
ความหมายก็คือ บุรุษนามว่าเหลียนชีให้สัญญาเพียงปากเปล่า ก็จะเอาส่วนแบ่งผลกำไรการขายสามส่วน
"ผู้ทำการใหญ่ไม่สนใจรายละเอียดปลีกย่อย ต่อให้ข้าลงนามในสัญญา แล้วบิดพลิ้ว ท่านจะทำอะไรข้าได้"
เหลียนเซวียนสวมอาภรณ์ตัวยาวสีเขียวอมเทา เอามือไพล่หลังยืนหลังตรงดุจต้นสน ท่วงท่าเฉกเช่นวิญญูชนผู้สง่าผ่าเผย
เซวียเสี่ยวหรั่นมุมปากกระตุก
นับว่าเธอได้เปิดหูเปิดตาแล้วว่า ทักษะการปลิ้นปล้อนขั้นเทพเป็อย่างไร
กลิ่นอายสูงศักดิ์ หยิ่งทะนง ไม่อินังขังขอบกำจายออกมารอบกาย สีหน้าของเหลียนเซวียนสงบนิ่งดุจน้ำบ่อลึก สอดรับกับเรือนกายสูงใหญ่ผึ่งผาย แม้จะสวมใส่เพียงอาภรณ์สีเขียวเรียบง่าย แต่กลับสามารถข่มขวัญเมิ่งเฉิงเจ๋อผู้เปรื่องปราดสามารถได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เมิ่งเฉิงเจ๋อสีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ท้ายที่สุดก็กลับคืนสู่สภาวะปรกติ
ดวงหน้าสลักเสลาละม้ายสตรีงามสะคราญแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม
"พี่เหลียนกล่าวถูกต้อง น้องชายตระหนักได้แล้ว ผู้คิดทำการใหญ่ให้สำเร็จไหนเลยจะกำหนดได้ด้วยสัญญาแค่ฉบับเดียว"
สัญญาลงนามเรียบร้อย สาวใช้ยกชาร้อนมาเปลี่ยน เมิ่งเฉิงเจ๋อก็เรียกลวี่หลัวเข้ามา
ให้นางศึกษารายละเอียดของกระเป๋าจากเซวียเสี่ยวหรั่น
ลวี่หลัวเรือนร่างระหงสวมชุดหรูฉวินปักลายบุปผาสีเขียวอ่อนเดินเข้ามา
"นายน้อย" นางยอบกายคารวะอย่างอ่อนช้อย
"อื้ม ลวี่หลัว ต้าเหนียงจื่อเป็พันธมิตรกับสำนักวาณิชของเรา ต่อไปจะรับหน้าที่เื่แบบกระเป๋าและสินค้าตัวอย่างโดยเฉพาะ เ้าลองดูรายละเอียดของการตัดเย็บ หาก้าคำชี้แนะตรงไหนก็สอบถามจากต้าเหนียงจื่อได้เลย"
เมิ่งเฉิงเจ๋อรู้สึกหนักใจ เขาเพิ่งรู้มา คณะเดินทางของเหลียนเซวียนจะรั้งอยู่เพียงไม่กี่วัน
ไม่ช้าก็เดินทางกลับแคว้นฉี
หลังจากลงนามสัญญาพวกเขาก็ตบก้นเตรียมจากไป ไม่คิดส่งผู้ดูแลมาตรวจสอบบัญชีร่วมกัน หรือวิตกกังวลสักนิดว่าตนเองอาจจะเล่นตุกติกกับบัญชี
"สายตาของนายน้อยเมิ่งหาได้ตื้นเขิน สัดส่วนระหว่างแคว้นหลีกับแคว้นฉี ท่านคงกะเกณฑ์ในใจได้ว่าที่ใดสำคัญกว่า"
บุรุษนามเหลียนชีผู้นั้นกล่าวไม่ช้าไม่เร็วมาหนึ่งประโยค
เมิ่งเฉิงเจ๋อขลุกอยู่ในวงการการค้ามาหลายปี จะไม่เข้าใจคำเตือนที่แฝงอยู่ในวาจาของเขาได้อย่างไร
"อันที่จริง แม้ว่าสีของแพรพรรณจะมีหลากหลาย แต่สีที่คนส่วนใหญ่ชมชอบถึงจะสำคัญที่สุด หากโดดเด่นเกินไปกลับไม่ดี"
เซวียเสี่ยวหรั่นคุยถึงประเด็นสำคัญอย่างละเอียด
ลวี่หลัวพยักหน้า ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง นายน้อยบอกว่าต่อไปให้นางรับหน้าที่ดูแลหญิงปักผ้า หากศึกษาไม่ดี คนที่จะต้องลำบากคนแรกก็คือนาง
"แม่นางลวี่หลัว ผ้าที่ใช้ทำกระเป๋าสามารถเปลี่ยนได้ ยกตัวอย่างเช่น การตัดเย็บกระเป๋าใส่เบี้ยใบเล็ก นอกจากผ้าฝ้ายเนื้อหยาบยังสามารถใช้ผ้าไหมงดงามได้ทุกชนิด ผ้าชั้นที่อยู่ด้านในใช้ผ้าเนื้อแข็ง แต่ด้านนอกสามารถใช้ผ้าไหม เช่นนี้จะดูหรูหรากว่า"
เวลาของเซวียเสี่ยวหรั่นมีจำกัด รายละเอียดปลีกย่อยมีมากมายนัก เธอยังไม่ทันไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ แต่ก็อยากให้ลวี่หลัวสำแดงความสามารถของตนเองออกมาอย่างเต็มที่
ดวงตารูปผลซิ่งของลวี่หลัวเหลือบขึ้นมองนางอย่างประหลาดใจ
"อีกอย่าง พวกท่านสามารถเลือกหาวัสดุที่คงทนมาใช้แทนกระดุมไม้ได้ แต่อย่าให้ขาดง่ายเกินไป ส่วนที่เป็รังดุมจะต้องเย็บให้หนาแน่น มิเช่นนั้นอาจเสียรูปได้ง่าย"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกอะไรได้ก็บอกหมด เมื่อรับส่วนแบ่งกำไรมาสามส่วน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างสุดความสามารถ
แต่เธอกลั้นปัสสาวะมานาน ในที่สุดก็ไม่ไหวแล้ว จึงดึงแขนเสื้อของลวี่หลัวมากระซิบถามว่าสุขาอยู่ที่ไหน
ลวี่หลัวเรียกสาวใช้รุ่นเยาว์ ให้พานางไปห้องสุขาที่เรือนหลัง
เซวียเสี่ยวหรั่นออกมาจากสุขา สาวใช้รุ่นเยาว์รออยู่ด้านนอก ด้านข้างของห้องสุขามีโอ่งน้ำ สาวใช้ช่วยตักน้ำล้างมือให้เธอ ก่อนจะตามสาวใช้ออกไปอย่างเบาตัว
ขณะเดินออกมาจากห้องโถง ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมหญิงสาวสองนางเดินเข้ามาจากหน้าประตูใหญ่
เมื่อเช้าฝนตก บรรยากาศด้านนอกยังครึ้มฟ้าครึ้มฝน แสงภายในห้องโถงไม่สว่างนัก
เซวียเสี่ยวหรั่นสายตาสั้นเล็กน้อยจึงเห็นไม่ชัดว่าผู้มาเป็ใคร
สาวใช้ข้างกายยอบกายคำนับ "คารวะคุณหนูสาม คุณหนูญาติผู้น้องเ้าค่ะ"
คุณหนูสาม? คุณหนูญาติผู้น้อง? คงไม่บังเอิญเพียงนี้กระมัง แค่นึกถึงญาติผู้น้องของเมิ่งเฉิงเจ๋อที่พบกันที่ร้านเป่าฟางไจวันนั้น เธอก็รู้สึกเพลียแล้ว
"เอ๊ะ เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร" หญิงสาวสวมชุดกระโปรงเยว่หวาฉวิน [1] สีแดงทับทิมร้องทักอย่างตระหนก
พานพบอริบนทางแคบอีกแล้วหรือนี่ เซวียเสี่ยวหรั่นนึกอยากกลอกตาใส่นางเป็อย่างยิ่ง
"นี่คงตามญาติผู้พี่ของข้ามาละสิ ฮึ ญาติผู้น้อง ข้าเคยบอกเ้าแล้ว โลกของเราเดี๋ยวนี้ส่วนมากมีแต่หญิงไร้ยางอายคิดแต่จะโถมเข้าหาอ้อมอกของญาติผู้พี่ เ้าน่ะ ต้องช่วยญาติผู้พี่ดูให้ดี อย่าให้คนไร้ความละอายพรรค์นี้มาฉวยโอกาสใกล้ชิดญาติผู้พี่ได้"
นางคล้องแขนของดรุณรีน้อยงามสะคราญสวมกระโปรงหรูฉวินฟูฟ่องเดินเข้ามา ใช้สายตาขู่เข็ญจดจ้องฝ่ายตรงข้าม
เซวียเสี่ยวหรั่นฉุนจัดจนหัวเราะออกมา ขณะกำลังจะโต้กลับ หญิงสาวข้างกายกลับมุ่นคิ้ว เลื่อนข้อศอกหนี พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานหู
"ญาติผู้พี่ ท่านไม่รู้สึกว่าทำเกินไปเลยหรือ อยู่ดีๆ จะมาชี้หน้าตำหนิผู้อื่นตามอำเภอใจได้อย่างไร อีกอย่างเื่ของพี่ชายเขาย่อมจัดการเองได้ ไม่ต้องให้ท่านมาชี้มือวาดเท้า"
ดรุณีน้อยนางนี้รูปร่างไม่สูง แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ กลับเป็ญาติผู้พี่เรือนร่างสูงโปร่งผู้นั้นเสียอีกที่ถูกตำหนิจนอึ้งงัน
"นี่... ญาติผู้น้อง ข้าหวังดีต่อญาติผู้พี่หรอกนะ เ้าไม่รู้หรอกว่าสตรีผู้นี้ไร้ยางอายแค่ไหน ครั้งก่อนที่ร้านเป่าฟางไจก็ตามตอแยญาติผู้พี่มาหนหนึ่งแล้ว"
บ้าฉิบ ปากแดงฟันขาวแต่กล้าพูดกลับดำเป็ขาว เซวียเสี่ยวหรั่นฉุนจัด หัวเราะเยาะออกมา
"นี่ยายเจ๊ ก่อนที่จะใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น ควรนำคันฉ่องมาส่องใบหน้าอัปลักษณ์ ริษยา จอมปลอมเสแสร้งของตนเองดูบ้าง ลองถามคันฉ่องดูก็ได้ว่าใครกันแน่ที่หน้าด้าน ใครกันแน่ที่ไร้ยางอาย คันฉ่องจะให้คำตอบแก่เ้าเอง"
สตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโกรธจัดหน้าเปลี่ยนเป็สีตับหมู ยื่นมือมาชี้หน้าเธอ "จะ... จะ... เ้าเรียกใครว่ายายเจ๊"
เ้ามาครึ่งค่อนวัน ที่แท้ก็ใส่ใจแค่คำเรียกนี้
เซวียเสี่ยวหรั่นแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่
"ก็อย่างที่คิดนั่นแหละ ความอิจฉาริษยาทำให้คนขี้ริ้วอัปลักษณ์ ความจอมปลอมเสแสร้งยิ่งทำให้คนน่ารังเกียจ จะบอกอะไรให้นะยายเจ๊ เ้าน่ะควรมีศีลธรรมในใจบ้าง"
เซวียเสี่ยวหรั่นวางท่าไม่อินังขังขอบ มองสตรีโกรธจัดจนจมูกแทบบิดเบี้ยวตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มด้านข้างป้องปากขำพรืดออกมาอย่างยั้งไม่อยู่
"เ้า... เ้า... เ้า..." ลูกพี่ลูกน้องหญิงคนนั้นถึงกับปากคอสั่น จุกอกจนแทบหายใจไม่ออก
"เกิดอะไรขึ้น" ประตูไม้แดงแกะสลักงามวิจิตรของห้องรับแขกถูกเปิดออก
เมิ่งเฉิงเจ๋อก้าวเท้าหนักๆ เดินออกมา ชักสีหน้าไม่พอใจมองญาติผู้น้องที่กำลังหน้าแดงพูดอะไรไม่ออก
"หว่านเหนียง เหตุใดจึงมาพร้อมกับนาง"
แววรังเกียจที่ผุดวาบจากก้นบึ้งแม้แต่คนตาบอดก็ยังมองเห็น
"ท่านพี่ ข้าบังเอิญพบญาติผู้พี่ที่ตลาด นางจะตามข้ามาให้ได้" หว่านเหนียงก็จนใจมากเช่นกัน
"ญาติผู้พี่ ท่านต้องจัดการให้ข้านะเ้าคะ" ญาติผู้น้องซึ่งประดับไข่มุกเต็มศีรษะเห็นเงาร่างในอาภรณ์ขาวงามสง่า ก็โถมเข้าหาด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
"ซูฟางเจวียน ถ้าอยากจะอาละวาดก็กลับไปบ้านเ้าเสีย" เมิ่งเฉิงเจ๋อตวาดเสียงเย็น
ลวี่หลัวซึ่งติดตามอยู่ข้างกายรีบเข้าไปขวางคนไว้ทันที
"ญาติผู้พี่..." ซูฟางเจวียนแทบไม่อยากเชื่อ สีหน้าขาวซีด ยกมือกุมอกปานหัวใจแตกสลาย แทบจะเป็ลมล้มพับไปตรงนั้น
แม่เ้าโว้ย ดราม่าเยอะจริง
...
[1] กระโปรงเยว่หวาฉวิน หรือกระโปรงจันทร์ทรงกลด เป็กระโปรงจีบรอบตัว แต่ละจีบอาจมีลวดลายสีสันแตกต่างกัน
