“อย่างไรกัน? เถ้าแก่พวกเ้าไม่อยู่หรือ? หมายถึงสะใภ้น้อยตระกูลเจียง? เจียงหลินซื่อ? หลินหวั่นชิว?” ทังหยวนถามแบบไม่ยอมแพ้
เสี่ยวเฉ่ายิ้มตอบ “ไม่อยู่จริงๆ เ้าค่ะ เถ้าแก่ออกไปั้แ่เช้าแล้ว”
ทังหยวนรู้สึกอยากตาย
เขามาถามอย่างเปิดเผย คุณชายบอกว่าห้ามทำผิดกฎของอันอี้จวี ให้เขาปลอมตัวเป็สตรี
เพื่อปลอมตัวให้สมจริง เขายัดส้มสองลูกไว้ที่หน้าอก ส้มที่ตากอากาศเย็นมาทั้งคืน…ยัดเข้าไปแล้วรู้สึกชาไปทั้งตัว…
ชีวิตน้อยๆ แทบจะสั้นลงไปครึ่งหนึ่ง
ทั้งยังแต่งหน้าทาชาด ใส่กระโปรง เวลาเดินก็ก้าวเท้ากว้างไม่ได้ แต่พอมาถึงอันอี้จวี คนที่จะหากลับไม่อยู่
ทำอย่างไรดี?
“เช่นนั้นนางจะกลับมาเมื่อใด?” ทังหยวนถาม
เสี่ยวเฉ่าตอบ “พวกข้าไม่ทราบเช่นกัน ท่านทิ้งชื่อไว้ดีหรือไม่ เถ้าแก่กลับมาแล้วข้าจะช่วยรายงาน”
ทังหยวนกลุ้ม ให้ทิ้งชื่อตู้ซิวจู๋?
นั่นเป็ชื่อของบุรุษ แม่นางแต่งงานแล้ว ทำเช่นนี้ไม่เหมาะ
“ช่างเถิด วันพรุ่งข้าค่อยมาใหม่” ทังหยวนพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก
แต่เขาเดินออกไปได้ไม่นานก็ย้อนกลับมาใหม่
“จัดหนังสือใหม่มาให้ข้าหนึ่งชุด”
มัวแต่หมดอาลัยตายอยาก เกือบลืมงานที่คุณชายมอบหมายให้
ทังหยวนหอบหนังสือภาพกองหนึ่งกลับไปที่คฤหาสน์ในอำเภอของตู้ซิวจู๋ ดันไปตรงหน้าตู้ซิวจู๋อย่างประจบสอพลอ “คุณชาย ท่านดูเถิด ผ่านมาแค่ไม่กี่วัน พวกนางก็ออกหนังสือภาพใหม่เพิ่มอีกหลายเล่ม!”
ตู้ซิวจู๋เอื้อมมือขาวเนียนออกมาหยิบหนังสือพลิกดูหนึ่งเล่ม นี่เป็หนังสือภาพสำหรับวัยเริ่มเรียน นิทานเื่ปีนต้นไม้ไปหาปลา[1]
วิธีการวาดแปลกใหม่ยิ่งนัก แต่กลับไม่มีชีวิตแบบหนังสือที่ซื้อคราวแรก
เขาพลิกจนไปเห็นราคาด้านหลัง ถูกกว่าแบบเดิมสามตำลึง ลดลงมาครึ่งราคา คงเพราะวิธีการวาดไม่เหมือนกัน
เขาหยิบตำรา ‘สุดยอดตำรับ’ มาเปิดต่อ ลายเส้นอันคุ้นเคย สดชื่น มีชีวิตชีวา ไม่เหมือนผู้ใด…
เขาชอบลายเส้นแบบนี้มากกว่า
ตู้ซิวจู๋ไม่พูดกระไร ทังหยวนไม่กล้าวางหนังสือ อีกฝ่ายเดินไปที่ใด เขาก็หอบหนังสือตามไปที่นั่น
“บอกหวั่นชิวหรือยัง?” ในที่สุดตู้ซิวจู๋ก็พูด
ทังหยวนทำหน้าขมขื่น “สะใภ้น้อยตระกูลเจียงออกจากบ้านแต่เช้า ไม่รู้จะกลับมาเมื่อใด”
ตู้ซิวจู๋ชำเลืองตามองมา
ทังหยวนขนลุกขนพองในใจ
“ไปรอที่อันอี้จวี ถ้าอันอี้จวีปิดร้านแล้วนางยังไม่กลับมา วันพรุ่งก็ไปใหม่!”
เขารู้แล้วเชียวว่าต้องไม่ใช่เื่ดีเป็แน่!
ยังต้องใส่กระโปรงนี่อีกทั้งวัน!
“ขอรับ!” ทังหยวนฝืนยิ้ม ภายในกลับร้องไห้ ตอนออกไป เขาพนมมือเข้าด้วยกัน “สะใภ้ตระกูลเจียง…ท่านรีบกลับมาเถิด ขืนยังไม่รีบกลับมา ทังหยวนคงได้กลายเป็สตรีจริงๆ…”
“ฮัดชิ่ว…” หลินหวั่นชิวที่นั่งในรถร้องจาม นางถูจมูก คิดในใจว่าก็ไม่ได้เป็หวัดนี่
หรือจะมีผู้ใดบ่นถึงนาง?
บ่นจนนางจามได้ ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่แค้นมากขนาดนี้
“เป็กระไร? ไม่สบายหรือ?” ชายฉกรรจ์ได้ยินหลินหวั่นชิวจามก็รีบจอดรถล่อในที่ลับตา จากนั้นมุดเข้าไปในรถ
“เปล่า” หลินหวั่นชิวตอบ ฝ่ามือหนาของชายฉกรรจ์วางลงบนหน้าผากนาง มือเขาแห้งและอุ่น มีรอยหยาบกร้านชั้นหนา บาดผิวเหมือนกระดาษทราย
เขาแตะหน้าผากนาง จากนั้นบีบมือนางเบาๆ แล้วจึงวางใจ
“เข้าหน้าหนาวแล้ว ระวังตัวหน่อย เดี๋ยวจะไม่สบาย ป่วยแล้วต้องเปลืองค่ายาอีก! คืนนี้เ้าจุดถ่านในห้องเถิด เผื่อลมหนาวแทรกเข้าไปในผ้าห่ม ถ่านดิ้นเงิน[1]อยู่ในห่อผ้าที่ห้องเก็บของ เ้าเอาออกมาใช้ หงหนิงใช้ถ่านไม้ธรรมดาก็พอ” เจียงหงหย่วนพูด
หลินหวั่นชิวหัวเราะในใจ ค่ายาไม่แพงเท่าค่าถ่านดิ้นเงิน
นางเคยได้ยินชื่อถ่านดิ้นเงิน มันเป็ถ่านไร้ควันที่ตระกูลร่ำรวยใช้กัน
แต่ราคาแพงมาก ครอบครัวร่ำรวยระดับปานกลางใช้ไม่ไหว คนที่มีที่ดินเยอะก็ยังไม่กล้าใช้
นางรับความหวังดีจากชายฉกรรจ์ “อื้ม ไว้คืนนี้ข้าจะใช้”
เจียงหงหย่วนอยากพูดว่า แค่เปลี่ยนเป็ให้ข้ากอดเพียงเท่านี้ก็ประหยัดค่าถ่านลงแล้ว
แต่เขาต้องรักษาหน้า พูดเช่นนั้นไม่ได้
“ไอ๊หยา…เหล่าต้าบ้านเจียงกลับมาแล้วหรือ พอบ้านสร้างเสร็จก็กลับมาดูทุกวันเลยนะ”
“ก็แหงอยู่แล้ว ถ้าเ้าสร้างบ้านหลังใหญ่เช่นนี้จะไม่กลับมาดูหรือ?”
“ก็ถูก เฮ้อ บ้านพวกเขามีสง่าราศียิ่งนัก ราวกับบ้านเ้าของที่ดิน”
“พูดเหมือนเ้าเคยเห็นบ้านเ้าของที่ดินอย่างนั้นแหละ”
“หลินหวั่นชิวโชคดีจริงๆ ได้เสวยสุขั้แ่แต่งเข้าบ้านเจียง ตอนนั้นพวกเรายังคิดว่าบ้านเจียงเป็ขุมนรกอยู่เลย ไม่อาจรู้ได้เลย…ว่าเขาเป็ดั่งหอยหวานที่ซ่อนเนื้อไว้ใต้เปลือก ตอนไม่มีภรรยาไม่กล้าใช้จ่ายมากนัก ตอนนี้มีภรรยาแล้วจึงนำเงินออกมาใช้จ่าย จะว่าไปแล้วสองคนก่อนที่หนีไปช่างโง่ยิ่งนัก ไม่รู้ว่าหนีไปเพราะเหตุใด ต่างกับหลินหวั่นชิวนางไม่หนี ดูเอาเถิด ตอนนี้ราวกับตกถังข้าวสาร”
“แต่พวกเราเองก็โง่เช่นกัน ถ้าบ้านเจียงจนจริงๆ จะซื้อภรรยาซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรือ? ซื้อภรรยาต้องใช้เงินเช่นกันไม่ใช่หรือ? มีครั้งใดบ้างที่ตระกูลเจียงไม่เสียเงินซื้อภรรยา”
“นั่นน่ะสิ ถ้ารู้แต่แรก ข้าคงยกลูกสาวให้แล้ว ไม่ต้องให้เจียงเหล่าต้าเสียเงินก้อนโต! ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงได้ตามลูกสาวเข้าไปอยู่บ้านตระกูลเจียงด้วย สามพี่น้องตระกูลเจียงไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่ใด แม่ยายตามไปอยู่ด้วยก็พอดีเลย”
เจียงหงหย่วนแค่ขี่รถล่อเข้าหมู่บ้านก็กลายเป็หัวข้อสนทนาของเหล่าสตรีเฒ่า
พวกนางพูดไปด้วย มองไปทางหลินซย่าจื้อกับสวี่ซื่อไปด้วย สื่อความหมายชัดเจนมาก หากไม่ใช่เพราะพวกนางแม่ลูกทรมานหลินหวั่นชิวสารพัด ขนาดแต่งเข้าตระกูลเจียงแล้วก็ยังไม่ยอมรามือ เรียกร้องให้จับถ่วงน้ำและบุกไปไถเงิน…
หากพวกนางไม่ทำเกินเลยเช่นนั้น ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจได้อาศัยบารมีตระกูลเจียงไปด้วย ชีวิตความเป็อยู่คงดีขึ้นเป็แน่
หลินซย่าจื้อสองแม่ลูกโมโห หันตัวเดินจากไป
สตรีพวกนี้จะไปรู้กระไร บ้านเจียงกำลังจะเจอเคราะห์
ส่วนนังหญิงแพศยาหลินหวั่นชิว…เหอะ อย่าอวดดีไปหน่อยเลย? ในไม่ช้านางจะถูกจับขายให้ซ่อง!
เชิงอรรถ
[1] ปีนต้นไม้ไปหาปลา(缘木求鱼) ในสมัยาระหว่างรัฐ อ๋องรัฐฉี นาม ฉีเซวียน มีความคิดที่จะทำาขยายอำนาจเพื่อ้าแผ่นดินทั้งหมด ทว่าปรัชญาเมธี เมิ่งจื่อ ได้ตักเตือนว่าาไม่อาจช่วยให้แผ่นดินโดยรวม จงละทิ้งอาวุธหันมาใช้วิธีการปกครองอย่างมีเมตตาและเป็ธรรมจะดีกว่า ครานั้นเมิ่งจื่อกล่าวว่า "หากท่านอ๋องใช้อาวุธเข้าประหัตปะา ทำาเพื่อหวังครองแผ่นดิน ก็ไม่ต่างกับการปีนต้นไม้ขึ้นไปหาปลา ซึ่งผลสุดท้ายย่อมล้มเหลว ไม่เพียงไม่สำเร็จดังที่ตั้งใจ ดีไม่ดีอาจทำให้พลาดพลั้งาเ็ เกิดผลร้ายตามมา" อ๋องฉีเซวียนได้ฟังก็เห็นว่าคำพูดของเมิ่งจื่อนั้นมีเหตุผล จึงยอมรับฟังคำตักเตือนนั้น
บนต้นไม้ย่อมไม่มีปลา ภายหลังสุภาษิต "ปีนต้นไม้ไปหาปลา" ใช้เพื่อเปรียบเทียบกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง หรือผิดธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลสำเร็จดังที่้า
