เนื่องจากไข้ทรพิษจะติดอยู่บนข้าวของจำพวกอาภรณ์และเครื่องนอนง่ายมาก ของที่เยี่ยนเจาเจาเคยใช้ก่อนหน้าเลยถูกเผาทิ้งทั้งหมด ส่วนเรือนอาศัย อาภรณ์ และเครื่องประดับใหม่ก็ได้ซื้อเตรียมไว้นานแล้ว
เรือนเหมยแดงใหญ่โตกว่าเรือนหิมะมรกต ข้างในมีกระทั่งเรือนหลักมาตรฐานเท่ากันสองหลัง และยังมีเรือนเล็กไว้สำหรับอ่านหนังสือ
หนานิเหอเองก็ย้ายเข้าเรือนเหมยแดงด้วย เมื่อพักในเรือนเดียวกับเยี่ยนเจาเจาวันหลังจะได้ดูแลกันสะดวก
นี่คือคำตรัสขององค์หญิง ใครก็ไม่กล้าคาดเดาว่าคำพูดนี้หมายถึงอะไร…แต่อย่างน้อยก็บ่งชี้ว่าสถานะของหนานิเหอสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว
คราวนี้หงซิ่วปรนนิบัติเยี่ยนเจาเจาได้อย่างมีสมรรถภาพ องค์หญิงจึงเลื่อนตำแหน่งให้นางมาเป็หญิงรับใช้ใหญ่ของเยี่ยนเจาเจา มีหน้าที่คอยดูแลชีวิตประจำวันของคุณหนูตามเนื้องาน
ทว่าก็ไม่มีใครกล้าบอกเยี่ยนเจาเจาว่าเสี่ยวชุ่ยตายเพราะภัยพิบัติไข้ทรพิษเช่นกัน
ร่างกายเยี่ยนเจาเจายังคงอ่อนแอมาก พอเสร็จปัญหาของบ้านรอง นางก็ผ่อนเรี่ยวแรงแล้วผล็อยหลับไป
หลังจากหงซิ่วช่วยนางผลัดอาภรณ์เช็ดเนื้อเช็ดตัว สุดท้ายก็ส่งนางเข้านิทรา
หนานิเหอเองก็เหนื่อยล้ายิ่งกว่าเยี่ยนเจาเจา ทว่าเด็กหนุ่มยังมีธุระต้องทำ
เสื้อผ้าเก่าของเขาถูกเผาทำลายทั้งหมดเช่นกัน เมื่อเขาล้างหน้าแต่งตัวใหม่เรียบร้อยก็ตรงไปเรือนนภาคราม
หนานิเหอรู้ว่าองค์หญิงกำลังรอเขาอยู่
ทว่าก่อนไปที่เรือนนภาคราม เขายังคงไปห้องของเยี่ยนเจาเจา
เมื่อเห็นเยี่ยนเจาเจานอนหลับกระสับกระส่าย เขาก็อดไม่ได้ที่จะนั่งลงข้างเตียงแล้วยื่นมือไปคลึงหว่างคิ้วขมวดแน่นของนางให้คลายออก
แม้แต่ในห้วงฝัน แม่นางน้อยก็ยังจดจำเด็กหนุ่มที่เคยร่วมเป็ร่วมตายกับตนเองได้ นางกุมมือของหนานิเหอ ปากบ่นพึมพำอย่างไม่รู้ตัว “พี่ชายรอง อย่าตายนะ...”
หนานิเหอหลุดยิ้มออกมาพลางก้มตัวลงไปหานางอย่างหักห้ามใจไม่อยู่ แต่สุดท้ายก็ยังนึกถึงธรรมเนียมจารีตจึงไม่แสดงออกเกินขอบเขต เพียงแค่ทัดจอนผมไว้ข้างใบหูนางอย่างแ่เบา แล้วขมวดผ้าห่มไหมคลุมกายนางให้มิดชิดก่อนลุกขึ้นผละจากไป
เขาไม่มีทางยอมตายเด็ดขาด แม้เพื่อปกป้องนาง เขาก็จะพยายามดิ้นรนอยู่ต่อไปจนสุดชีวิต
“กล้าดีนี่”
องค์หญิงหัวเราะเสียงเยียบเย็น
พระองค์ไม่ปล่อยให้หนานิเหอเข้าประตูมา
หนานิเหออยู่กับองค์หญิงมาหลายปี เหตุใดจะไม่รู้นิสัยใจคอของพระองค์ อาจเพราะเขาลงมือปะาก่อนค่อยรายงานทีหลัง จึงทำให้พระองค์ไม่สบอารมณ์เช่นนี้
อนึ่ง ความคิดที่ไม่อาจแพร่งพรายในใจของเขาคงปรากฏชัดต่อหน้าองค์หญิงแล้ว หากพระองค์จะกริ้วก็ถือว่าสมเหตุสมผล
“คุกเข่าลง”
หนานิเหอคุกเข่าอย่างว่าง่าย
เขารู้ดีว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติที่จะแข็งข้อต่อหน้าพระพักตร์องค์หญิง สภาพแวดล้อมของหนานิเหอั้แ่เล็กจนโตบอกเขาอย่างทารุณเพียงสี่คำเท่านั้น
จงยืดหด[1] เสีย
ในอดีตเขาเคยทำเื่น่าอัปยศยิ่งกว่าการคุกเข่ามาเยอะแยะ
องค์หญิงแลเห็นหนานิเหอคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อยด้วยความรวดเร็ว ความดุร้ายในดวงเนตรจึงเลือนหายไปเล็กน้อย
ทว่าพระองค์กลับไม่ตรัสสิ่งใดต่อ เพียงยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าหนานิเหอและมองต่ำลงบนหัวของเขาเท่านั้น
แสงจันทราย่างกรายเข้ามาอย่างเงียบงัน
หนานิเหอยังคงสงบคำตลอดเวลา
เขาคุกเข่า ส่วนองค์หญิงก็ยืนอยู่ข้างหน้ากับเขาแบบนั้นเงียบๆ
หนานิเหอเดาออกว่าองค์หญิงมีบางอย่าง้าจะพูดกับเขา
และในยามที่แสงจันทร์อาบไล้ปลายผมของเขา เขาก็ได้ยินเสียงถอนปัสสาสะอ่อนล้าขององค์หญิงแว่วมาตามคาด
“เ้าต้องรู้ว่าการอยู่เคียงข้างนางไม่ใช่เื่ง่าย”
นาง…สายตาหนานิเหอวูบไหวแ่เบา
เขารู้ว่า “นาง” ที่องค์หญิงตรัสถึง คือเจาเจาของเขา
“อันที่จริงเ้าทำดีที่สุดแล้ว ข้าไม่ควรเข้มงวดกับเ้าเช่นนี้ เพียงแต่ข้าอยากบอกเ้าไว้ การอยู่ข้างกายนางนั้นลำบากกว่าที่เ้าคิด”
“เ้าคงตระหนักดีถึงฐานะของเ้า และข้าก็รู้มาตลอด ทว่านางไม่รู้ ความเสี่ยงของเ้ากับความเสี่ยงของนาง…เ้าแบกรับไหวหรือ?”
มันเกือบจะไม่ใช่คำถาม
ในวันวาน หนานิเหอก็เคยไต่ถามตนเองเช่นนี้เหมือนกัน
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยหวั่นภูผาสูงสักลูก แต่เขากลับลูบหน้าปะจมูก[2] และความกลัวนี้เองที่ทำให้เขาถอยทีละก้าวๆ
องค์หญิงหันหลัง ก่อนจะรินชาสองถ้วยด้วยมือของพระองค์เอง
เป็สัญญาณของการผ่อนคลาย
หนานิเหอจึงหยัดกายขึ้น ทว่าเข่าสองข้างแข็งตึงแสบชาเลยจำต้องยืนอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง พลางทอดมององค์หญิงด้วยสายตาลึกล้ำ
ในที่สุดเขาก็เดินเข้าไปโดยไม่เอ่ยคำใด
องค์หญิงทอดพระเนตรตรงมาที่เขา “ข้ารู้ความปรารถนาอันแรงกล้าของเ้า แต่นางเป็บุตรีหัวแก้วหัวแหวนชั่วชีวิตของข้า
ข้าอยากให้นางใช้ชีวิตเคียงข้างคนธรรมดาอย่างมีความสุขไปตลอดกาล
ทว่าเส้นทางของเ้ากลับยาวนานและยากเย็นเกินไปจนอาจทำให้นางได้รับาเ็
ยิ่งกว่านั้น เส้นทางของนางเองก็ใช่ว่าจะเดินง่าย แม้ยามนี้ดูเหมือนงดงามราบรื่น แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าจะปกป้องนางได้นานเพียงใด
ตัวเม่นปกป้องตนเองอย่างแ่า แต่กลับแทงคนรอบข้างจนาเ็สะบักสะบอม
ข้ารู้ว่าเ้าเป็คนฉลาด และคนฉลาดมักจะเลือกเป็”
ในเรือนนภาครามยามนี้ไม่มีบ่าวแม้แต่คนเดียว คาดว่าพระองค์คงเตรียมพร้อมสำหรับบทสนทนานี้มานานแล้ว
องค์หญิงโยนของหนักอึ้งชิ้นหนึ่งลงบนโต๊ะ มันกระแทกโต๊ะอย่างแรงจนส่งเสียงดังกึงกัง
มันคือตราพยัคฆ์ครึ่งชิ้น อันเป็เกียรติยศชั่วชีวิตขององค์หญิงนั่นเอง
หนานิเหอเข้าใจสิ่งที่องค์หญิง้าจะสื่อ
ความรับผิดชอบที่ตามหลังเยี่ยนเจาเจามานั้นหนักหนาและยากจะหลบเลี่ยงเช่นกัน แม้ว่าราชวงศ์ต้าซียามนี้ดูเหมือนแน่นแฟ้นกลมเกลียว ทว่าความจริงแรงปั่นป่วนอันตรายและคลื่นใต้น้ำเื้ักลับค่อยๆ เผยกรงเล็บออกมาแล้ว
แต่ยิ่งคำพูดฟังดูดีมีระดับเพียงใด องค์หญิงก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรกับนางมากเท่านั้น
นี่มิใช่การเหยียดหยาม แต่เป็ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน
เมื่อก่อนหนานิเหอก็คิดเช่นนี้ แต่ยามนี้เขารู้ตัวว่าเขาไม่ใช่เครื่องมือที่ไร้ความรู้สึกอีกต่อไป เขาสามารถรักษาสตินึกคิดของตนเอง แต่กลับไม่อาจปกป้องหัวใจตน
พอพบว่านี่คือความจริง ตราพยัคฆ์ชิ้นนี้ก็ดูราวกับเยาะหยันกันยิ่งกว่าเดิม
ความเกื้อกูลและความเห็นอกเห็นใจจากเบื้องบนดังสะท้านรุนแรงยิ่งกว่าคำสบประมาท ถึงขั้นทำให้คนรู้สึกสิ้นหวังเลยทีเดียว
หากเป็แต่ก่อน เกรงว่าเขาคงจะตื่นรู้ คว้าความรุ่งโรจน์ที่องค์หญิงประทานให้แล้วหันหลังกลับมุ่งหน้าสู่อนาคตที่ค่อยๆ สดใสขึ้นอย่างเงียบๆ
แต่ตอนนี้เขาไม่ยอมแล้ว
หนานิเหอจำเยี่ยนเจาเจาในวันนั้นได้ นางมีตุ่มน้ำพองทั่วร่าง แม้แต่บนใบหน้ายังมีตุ่มขึ้นมาหลายเม็ด ไร้ความงามล่มเมืองดังเช่นวันวาน แต่นางกลับเผยอริมฝีปากเชื่องช้า บอกเขาว่านางอยากรู้ความลับของเขา
นางที่เป็เช่นนั้นเปรียบดั่งแสงทินกรที่หลอมรวมกับเืเนื้อของเขาจนยากจะตัดออก เป็สิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าและไร้สิ่งใดเทียบเทียม
องค์หญิงอยากเตือนถึงฐานะของเขา แต่พระองค์ตบหัวแล้วยังลูบหลัง
ตราพยัคฆ์ไม่ได้สื่อว่าพระองค์้ามอบอำนาจทางการทหารทั้งหมดให้แก่เขา แต่ความนัยเื้ัคือเขาเคยปรารถนามันและเขาในตอนนี้ก็ยากจะแตะต้อง…เมื่อมีสิ่งเหล่านี้ ความหมกมุ่นและฝันร้ายของเขาย่อมสิ้นสุดลง
ความเงียบงันคืบคลานวนเวียนอยู่ภายในเรือนนภาคราม
องค์หญิงไม่ได้อยู่ในกระดาน แต่พระองค์คิดว่าผลลัพธ์ชัดเจนแล้ว…เด็กหนุ่มผู้ทะเยอทะยานจะเลือกแสงจันทราสลัวในวัยเยาว์หรือเลือกพลังอำนาจที่อดีตยากจะไขว่คว้ากันเล่า?
มันเป็คำถามที่เลือกง่ายอย่างยิ่ง
หนานิเหอแย้มรอยยิ้มบาง
เขาไม่เหลือบมองตราพยัคฆ์ชิ้นนั้น ทั้งยังไม่รับชาที่องค์หญิงรินให้เขา
ของขวัญที่องค์หญิงประทานให้นั้นติดป้ายบอกราคาไว้ชัดเจน แต่หากสิ่งที่ต้องแลกคือการตัดแสงสว่างของตนเองทิ้ง เขาก็ไม่ยอมเด็ดขาด
บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดล้ำค่าเท่านาง
องค์หญิงทรงนึกว่าเยี่ยนเจาเจาเป็แสงจันทราสลัวของเขา ได้แต่หวังอยู่ไกลๆ โดยไม่อาจเข้าใกล้
ทว่าองค์หญิงทรงไม่ทราบ ว่านางเป็ความหวังที่เขาเพรียกหาจากก้นบึ้งของหัวใจ เป็ดั่งดวงตะวันสุกสว่างที่ปัดเป่าความมืดครึ้มทั้งปวงของเขา
ราวกับวาฬพึงแหวกว่ายกลางมหาสมุทรหรือวิหคพึงอาศัยลำเนาไพร ไม่อาจหลีกเลี่ยงและยากจะไถ่ถอน
เป็ครั้งแรกที่องค์หญิงรู้สึกว่าพระองค์อ่านรอยยิ้มของเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ออก
เมื่อพระองค์หันกลับมา หนานิเหอก็ถามแ่เบา “องค์หญิง หากข้าทำทั้งหมดนี้เพียงเพื่อจับนางเป็ตัวประกันแลกความเชื่อใจและอำนาจของพระองค์เหมือนอย่างตอนนี้ พระองค์จะทำอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
รอยสรวลขององค์หญิงชะงัก
แล้วพระองค์ก็พลันเข้าใจ ด้วยมันสมองของหนานิเหอ เขาสามารถวางกับดักซ้อนกับดักจนโกงเอาไปทั้งหมดได้จริงๆ
เขาทำสำเร็จอย่างไร้ข้อกังขา
แต่องค์หญิงก็นึกออกทันทีว่านิสัยของหนานิเหอคือเป็คนที่รังเกียจการสร้างความขัดแย้งภายในครอบครัวอย่างที่สุด…ทว่าท่าทางของเขาเมื่อครู่เห็นชัดว่ากระทั่งพระองค์ก็ยังโดนหลอกไปด้วย
ความสามารถล้นตัว ช่างมีความสามารถล้นตัวนัก
โชคดีที่องค์หญิงไม่เคยคิดจะควบคุมเด็กหนุ่มคนนี้ไว้ในฝ่ามือ
หากเขาไม่เต็มใจ คนเช่นนี้ไม่มีทางเป็ลูกไก่ในกำมือใคร ต่อให้เคยได้รับการเลี้ยงดูอย่างหวังผลเพียงใดก็ตาม
หนานิเหอเฝ้ามองสีพระพักตร์ที่แปรเปลี่ยนฉับพลันขององค์หญิงก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ข้าคิดได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเอื้อมไปหยิบตราพยัคฆ์ชิ้นนั้นขึ้นมาไว้ในมือ
พระทัยขององค์หญิงกระดอนขึ้นสูง แล้วก็ตกฮวบลงมา
พระองค์ไม่รู้ว่าความวูบโหวงโผล่มาจากไหน สายพระเนตรจับจ้องบนข้อนิ้วซีดขาวของหนานิเหออย่างควบคุมไม่ได้ พระองค์มองเขาเม้มริมฝีปากพลางพินิจอย่างแช่มช้าไปยังตราพยัคฆ์ธรรมดาที่มีรอยด่างแต่กลับทรงคุณค่าร้ายแรง
เขาควรคล้อยตามเช่นนี้
ทว่าสายตาของหนานิเหอกลับไม่ได้หยุดค้างที่ตราพยัคฆ์เลย แววตาของเขาสงบนิ่งราบเรียบเสมือนตอนที่เพิ่งเข้ามา ราวกับไม่เคยสั่นคลอนจากคำตรัสใดๆ ขององค์หญิงมาั้แ่ต้น
เขาวางตราพยัคฆ์คืนใส่พระหัตถ์ขององค์หญิง ก่อนจะก้มหัวและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง จากนั้นก็คำนับไปทางองค์หญิงสามครั้งแล้วเอ่ยเชื่องช้า “ข้าไม่้าของเหล่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
เื่ราวค่อยเป็ค่อยไปได้ และเขาก็สามารถรอนางโตได้
องค์หญิงกลืนประโยคว่า “เ้า้าทุกสิ่งเพื่ออะไร” ที่เกือบหลุดจากพระโอษฐ์กลับลงไป เพราะพระองค์รู้คำตอบอยู่แล้ว
ความวูบโหวงหดหู่ไร้ที่มาเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงยากจะอธิบาย จนองค์หญิงหลุดสรวลในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นเ้าต้องรู้ไว้ เมื่อเ้าปฏิเสธไปแล้ว เ้าก็ต้องดิ้นรนเอาเองเท่านั้น”
หนานิเหอเลิกคิ้วแต่ไม่เอ่ยคำใด ชัดเจนว่าเขาตัดสินใจไปแล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว เ้าไปเถอะ”
หลังจากองค์หญิงใคร่ครวญก็พบว่าเดิมคิดว่าตนควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้แล้ว แต่พระองค์กลับไม่รู้ว่าเขาไม่เคยอยู่ในกระดาน หากแต่กำลังเฝ้าดูคนระดับสูงที่คิดว่าตนเองเป็คนนอกอย่างพระองค์มองเหตุการณ์อยู่ในวังวนแทนั้แ่เมื่อไหร่
หมากตานี้เจอคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อ ทว่าองค์หญิงกลับปราชัย
ช่างเถอะ บุตรหลานย่อมมีบุญกรรมเป็ของตนเอง
ในที่สุดองค์หญิงก็เข้าใจความหมายแฝงของวลีนี้แล้ว
พลันแว่วเสียงฟึบฟับดังมาจากข้างนอก นกพิราบขาวตัวหนึ่งบินข้ามผ่านกำแพงเรือนเข้ามา ก่อนจะร่อนลงตรงปลายนิ้วหนานิเหอ
เขาคลายม้วนกระดาษที่ผูกอยู่กับขาของนกพิราบขาว และยื่นไปยังเบื้องพระพักตร์องค์หญิงอย่างเคารพ
องค์หญิงไม่รู้เหตุใด ทว่าหลังจากคลี่กระดาษออกแล้วกวาดตามอง สีั์เนตรของพระองค์ก็มืดลง
หนานิเหอล้วงความจากเสี่ยวจ้าวซื่อมาได้สองคำ
ฝูอ๋อง
องค์หญิงย่อมรู้เื่ราวมากกว่าหนานิเหอและเยี่ยนเจาเจา ความหมายที่สื่อออกมาจากคำว่าฝูอ๋องนั้นร้ายแรงอย่างยิ่ง
สายพระเนตรขององค์หญิงจับจ้องหนานิเหอเขม็งราวกับสายตาของนกอินทรี แต่หนานิเหอกลับกล่าวเพียงว่า “เสี่ยวจ้าวซื่อถูกโยกย้ายไปอยู่ใต้บัญชาของพระองค์แล้ว หากพระองค์ไม่เชื่อก็ทรงไต่สวนอีกครั้งได้พ่ะย่ะค่ะ”
ั์เนตรขององค์หญิงลึกล้ำขึ้นเล็กน้อย เมื่อพระองค์ปรบมือก็มีเสียงคนจากไป
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ข่าวขององค์หญิงก็มาถึง
ยังคงเป็สองคำเดิม ฝูอ๋อง
เสี่ยวจ้าวซื่อโดนลงทัณฑ์จนสลบไปแล้ว
ทันใดนั้นองค์หญิงทรงลุกขึ้นแล้วเข้าวังไปทันที
หนานิเหอโค้งตัวมองส่งพระองค์อยู่ข้างหลัง บนริมฝีปากซีดขาวของเขาเริ่มมีเืฝาดขึ้นมาเล็กน้อย
เชิงอรรถ
[1] จงยืดหด หมายถึง ยามตกอยู่ในภาวะไม่ดีหรือเสียเปรียบก็รู้จักยอม ยามอยู่ในภาวะได้เปรียบก็ออกหน้าขึ้นสู้
[2] ลูบหน้าปะจมูก หมายถึง ทำอะไรเด็ดขาดจริงจังลงไปไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะไปกระทบกระเทือนพวกพ้องของตน