เมืองจินจุ่น ใกล้กับเมืองหลวง อาณาจักรชางไห่ สถานที่ตั้งของสำนักใหญ่ สำนักพิรุณพายุ
ตึกสูงเจ็ดชั้นตั้งอยู่ใจกลางเรือนสี่ประสาน กินอาณาเขตหลายสิบไร่ จุดโคมสว่างไสวท่ามกลางรัตติกาล โดดเด่นถึงที่สุด อลังการที่สุดในเมืองจินจุ่น
เ้าสำนักพิรุณพายุนั่งอยู่ในห้องน้ำชาชั้นสูงสุดของตึกพิรุณ สองมือจับขอบระเบียง สายตาคล้ายกวาดมองเมืองจินจุ่นในราตรี ทว่าแท้จริงมองไปถึงเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหล
กลิ่นชาชั้นเลิศแผ่กลิ่นหอมอบอวล ภายในห้องยังประดับต้นไม้นานาพันธุ์ ให้ความรู้สึกสดชื่นแจ่มใสราวกับอยู่ในป่าเขาเขียวขจี
ภายในห้องน้ำชามีคนสามคน เ้าสำนักหันหลังให้กับลูกศิษย์ทั้งสองที่ถูกขู่กลับมา บุรุษชุดเขียวชุดม่วงสีหน้าเคียดแค้น หลังจากได้รับความอัปยศรู้สึกอับอายอย่างใหญ่หลวง ในใจสุมด้วยไฟกองใหญ่ ใคร่ยกทัพลูกศิษย์ไปถล่มสำนักที่จะล่มสลายแห่งนั้นให้ราบคาบ
“ช่างอับอายยิ่งนัก ข้าที่เป็เ้าสำนักยิ่งใหญ่กลับมีศิษย์ไม่ได้เื่อย่างพวกเ้า”
เ้าสำนักพิรุณพายุหันกลับมา เป็ชายวัยกลางคน หนวดเคราสีดำยาวจรดอก คิ้วหนาราวก้อนเมฆดำยาวห้อยลง ศีรษะสวมกวานเงิน มัดจุกแบบนักพรต สวมชุดไป๋อีปักลายเมฆทองสง่างาม กลิ่นอายคร่ำครึทว่าทรงอำนาจ
ทันใดเงาร่างราวกับภูตพรายพลันปรากฏพร้อมสายลม บุรุษชุดเขียวชุดม่วงสะดุ้งเฮือก ปฏิกิริยาว่องไว ชักกระบี่ข้างเอวออกเตรียมจู่โจมสังหารผู้บุกรุก ทว่าถูกอาจารย์หยุดเอาไว้
เ้าสำนักพิรุณพายุจ้องมองผู้มาที่สวมชุดสีดำพันหน้าพันตา เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า
“มีเื่อันใดถึงกับต้องถ่อมาถึงที่นี่”
คนชุดดำล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบไข่มุกสีดำริ้วขาวออกมา เ้าสำนักพิรุณพายุโบกมือคราหนึ่ง สร้อยไข่มุกพลันลอยมาอยู่ในมือ หลังจากเพ่งพินิจรอบหนึ่ง ดวงตาพลันเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่านี้เป็ยอดของวิเศษชิ้นหนึ่ง ระงับความตื่นเต้นเงยหน้ามองคนชุดดำ สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยทว่าไม่เอ่ยออก รอคอยอีกฝ่ายกล่าวความ้าออกมา
คนชุดดำพลันกล่าวว่า
“ท่านใต้เท้ามีคำสั่งให้บุกโจมตีสำนักพันปีในวันรุ่งขึ้น ข้าได้ส่งมอบของวิเศษอีกชิ้นหนึ่งให้กับเ้าสำนักเมฆัแล้ว เขาจะช่วยท่านยกทัพบุกโจมตีเทือกเขาหยกพร้อมกัน”
เ้าสำนักพิรุณพายุพลันขมวดคิ้วใบหน้าเต็มไปด้วยความใถามว่า
“รีบร้อนถึงเพียงนี้? เ้ามิใช่บอกว่าไท้หยูถูกพลังคำสาปทำร้ายจนอ่อนแอ มิอาจใช้พลังหรอกหรือ เขาอ่อนแอถึงขั้นนั้นไยต้องเตรียมการใหญ่เช่นนี้ ข้าคิดว่าส่งคนเข้าไปลอบสังหารเขาจะดีกว่า ฮ่องเต้จะได้ไม่ระแคะระคาย”
ชายชุดดำส่ายหน้าตอบว่า
“เพียงนำพาคนที่แข็งแกร่งที่สุดไป ไม่ต้องเอริกเกริก” หยุดเล็กน้อยพลันกล่าวสืบต่อว่า
“เขาสามารถถอนชิ้นส่วนของพยุหะคำสาปได้แล้ว หากปล่อยไว้นานพลังทั้งหมดของเขาจะฟื้นกลับคืนมา ที่ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า ส่วนการส่งคนเข้าไปลอบสังหาร มหาพยุหะปกคลุมทั้งเทือกเขาหยก นอกจากระดับเซียนนิรันดร์แล้วไม่มีผู้ใดสามารถแทรกเข้าไปได้”
มหาพยุหะของเทือกเขาหยกถูกสร้างโดยปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง ตอนนั้นเขาทรงพลังยิ่งใหญ่เพียงใด พยุหะที่ถูกสร้างโดยยอดมนุษย์เช่นเขาย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทำลายโดยง่าย
เ้าสำนักพิรุณพายุั์ตาเจิดจ้า แววตาแฝงโทสะสามส่วนริษยาเจ็ดส่วน
“มหาพยุหะเทือกเขาหยกร้ายกาจถึงเพียงนี้?” อาจเพราะหลังจากสิ้นยุคของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง สำนักพันปีก็ไม่เคยมีผู้ใดผุดเด่นเทียบเท่า ดังนั้นชื่อเสียงเก่าที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเคยสร้างเอาไว้จึงค่อยๆ เสื่อมทรามลง สำนักพันปีกลายเป็แค่สำนักที่มีอายุยาวนานแต่ไม่โดดเด่น
จากนั้นพลันคิดเื่หนึ่งขึ้นในใจเอ่ยถามต่อว่า
“แต่ว่าการยกทัพไปเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายมหาพยุหะได้มิใช่หรือ”
ชายชุดดำตอบว่า
“ของวิเศษที่ยกให้เ้าสำนักเมฆัคือ กระถางกลืนั มีความสามารถดึงิญญาออกจากร่างโดยไม่สนระดับขั้น มหาพยุหะป้องกันการโจมตี แต่การดึงิญญาของกระถางกลืนัสามารถจู่โจมไท้หยูได้ ส่วนสร้อยในมือของเ้าคือ ทลายพลัง ทันทีที่ิญญาของไท้หยูถูกกระชากออกมา จงใช้ทลายพลังทำลายิญญาของเขาทิ้ง เมื่อไร้ิญญา กายของเขาจะว่างเปล่า สุดท้ายจะค่อยๆ ตายลงไปเอง”
เ้าสำนักพิรุณพายุพยักหน้า ยิ้มเยาะมุมปาก ดวงตาสาดประกายดุร้าย
“ยอดเยี่ยม เช่นนี้ฮ่องเต้ก็จะคิดว่าเขาตายไปเอง....ทางที่ดี ฆ่าทุกคนที่เหลือให้สิ้นซาก จะได้ไม่มีผู้ใดให้สืบสาวถึงตัว”
รอยยิ้มเ็า จิตสังหารแผ่พุ่ง เ้าสำนักพิรุณพายุเดินกลับไปยังระเบียง มองโคมไฟแต่ละดวงที่เริ่มดับลง ครุ่นคิดว่าชีวิตของเ้ากำลังจะดับมอดเหมือนโคมไฟเหล่านี้แล้ว จากนั้นพลันถามว่า
“พรรคอัปสรจะลงมือหรือไม่”
ชายชุดดำตอบว่า
“ข้าจะสังเกตการณ์อยู่เื้ั ท่านใต้เท้าไม่อยากให้การมีอยู่ของพรรคอัปสรเปิดเผยสู่โลกภายนอก” กล่าวจบร่างก็กลายเป็เงาดำหายวับไป
บุรุษชุดเขียวชุดม่วงทั้งสองจ้องมองกันเอง ในแววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนระงับไว้ไม่อยู่ ยิ้มจนตาหยีเห็นฟันขาว
“ท่านอาจารย์”
เ้าสำนักพิรุณพายุพลันกล่าวโดยไม่หันมาว่า
“พวกเ้าไปเตรียมตัว อีกหนึ่งชั่วยามออกเดินทาง เรียกตัวผู้าุโทั้งสี่มาพบข้า”
ห้องโถงใหญ่ตระการตาของสำนักพันปี
หม้อไฟถูกเก็บไปแล้ว ในห้องโถงกว้างขวางโอ่อ่ายังทิ้งกลิ่นอาหารตลบอบอวล
ใบหน้าลี่ซวนแดงระเรื่อเริ่มนั่งตัวไม่ตรง หลังจากประชันแข่งดื่มกับไท้หยูไปสามไห ลี่ซวนก็เริ่มแสดงอาการเมามายออกมา ขณะที่ไท้หยูยังคึกคัก ปากกล่าวว่าสามารถดื่มต่อได้อีกสิบไห
บนเทือกเขาหยก ไม่ขาดแคลนอาหาร เื่สุรายิ่งไม่เคยพร่อง แต่ละปีไม่ต้องลงไปซื้อหาเองก็มีคนส่งขึ้นมา เนื่องเพราะลูกศิษย์ในสำนักบ้างเป็ลูกหลานขุนนาง บ้างเป็ลูกคหบดีร่ำรวย
น่าเสียดายที่หลายปีที่ผ่านมาสำนักเริ่มเสื่อมทราม ผู้ส่งอาหารและสุราจึงเริ่มน้อยลง จนบัดนี้ไม่มีผู้ใดส่งมาแล้ว
จื่อหยวนมองไหสุราที่ตั้งกับพื้นตาเป็ประกาย เ้าเด็กน้อยผู้นี้ไม่มีความสนใจในเื่ใด มีเพียงสองสิ่งที่ทำให้เขาตาลุกวาวได้ หนึ่งคืออักษร สองคือสุรา
ทว่ายังเด็กเกินไป อายุสิบเอ็ดขวบจะให้ดื่มสุราได้อย่างไร แม้นว่าไท้หยูจะอยากเป็ยอดอาจารย์ที่ตามใจลูกศิษย์ทุกอย่าง ทว่าเื่นี้คงยังทำไม่ได้
จื่อหยวนไม่ว่าเดินหรือนั่ง สายตาล้วนจับจ้องยังไหสุรา ทุกครั้งที่ไท้หยูและลี่ซวนยกดื่ม จะลอบกลืนน้ำลายตาม เนื่องเพราะมัวแต่มองไหสุราจึงกินเชื่องช้าเกินไป ถูกฮุ่ยเซี่ยนต่อยสองกำปั้น แม้ยังกินไม่อิ่มแต่ต้องจำใจลุก มือกุมศีรษะเดินจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
สำหรับศิษย์ทั้งสี่แล้ว ผู้ที่เป็พี่ใหญ่สุดกลับเป็ฮุ่ยเซี่ยน มิใช่เห่ารานที่อายุมากที่สุด
ไท้หยูมองภาพเหตุการณ์ด้วยใบหน้าแย้มยิ้มเป็สุข กล่าวอย่างปลอดโปร่งว่า
“รอให้เ้าอายุมากกว่านี้สักนิดอาจารย์จะยกให้เ้าหนึ่งไห หรือถ้าสามารถเข้าสู่เส้นทางฝึกตนจะได้ดื่มเร็วขึ้น”
จื่อหยวนที่ถูกฮุ่ยเซี่ยนดึงหูลากกลับเข้าที่พักได้ยินคำพูดของอาจารย์ ปากกล่าวด้วยความตื่นเต้นยินดี
“อาจารย์ ศิษย์จะพยายามให้เต็มที่!”
ไท้หยูได้ถ่ายทอดวิชาเฉพาะตัวให้กับศิษย์ทั้งสี่ สั่งสอนตามปมเด่นของแต่ละคน ภายใต้การชี้แนะของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งและฉงฉงที่บัดนี้ต้องทำตามใจเขาทุกอย่าง ทำให้การสั่งสอนลูกศิษย์ง่ายดายขึ้นมาก
เขาวางรากฐานเห่ารานเป็วิชาร่างทองพันชั้น เคล็ดวิชาสายยุทธ์ ฝึกร่างกายในโลกหล้า ไม่มีวิชาใดแกร่งกล้ากว่าร่างทองพันชั้นอีกแล้ว
นอกจากนั้นยังให้ฝึกปรือวิชาหมัดะเิพลัง ดรรชนีกลืนหิมะ และวิชาพลิกฟ้าพลิกดิน เป็สายยุทธ์บ้าพลัง นักจู่โจมทำลายล้าง
ฮุ่ยเซี่ยนเป็ผู้ที่มีพร์สูงที่สุด ตอนที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งกล่าวในใจว่า
“เด็กหญิงผู้นี้มีพร์สามารถฝึกสามสายมรรคา” ทำเอาไท้หยูแตกตื่นจนพูดอะไรไม่ออก กล่าวไปออกจะแปลกประหลาด ทั้งโลกหล้าั้แ่อดีตจวบจนปัจจุบันมีผู้ที่สามารถฝึกสามสายมรรคาได้ไม่กี่คน ยามนี้กลับอยู่ตรงหน้าทั้งเป็ลูกศิษย์ของเขา
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งถึงกับกล่าวว่า “เด็กผู้นี้จะเป็ลูกศิษย์ของข้า”
ไท้หยูกล่าวว่า” เฮอะ ท่านนอกจากจะ้าร่างข้าแล้ว ยังจะแย่งชิงศิษย์ของข้าอีกหรือ”
ทว่าปากแม้กล่าวเช่นนั้น ยังยินยอมให้เขาสั่งสอนแต่โดยดี ด้านฝึกตนสั่งสอนศิษย์ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งย่อมเหนือกว่า ไท้หยูจึงกลายเป็อาจารย์ในนาม ผู้ถ่ายทอดวิชาคือเศษขวัญิญญาในร่าง ยอดมนุษย์ผู้แตกฉานในทุกสายมรรคา
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งให้ฮุ่ยเซี่ยนฝึกสายอาวุธ สายเต๋าและสายผู้สร้าง
ไท้หยูถามว่าไฉนจึงเป็สามสายนี้
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตอบกลับว่า โลกหล้าเข้าใจว่า สายยุทธ์ฝึกควบสายอาวุธแกร่งกล้าที่สุด ทว่าแท้จริงสายอาวุธจะเฉิดฉายและพิสดารที่สุดก็ต่อเมื่อฝึกควบกับสายผู้สร้าง
สายศิลป์สรรค์สร้างระดับสูง สามารถสร้างทุกสิ่งจากสิ่งไม่มี สามารถหลอมเหล็กก้อนเล็กให้กลายเป็โล่ป้องกันหรืออาวุธโจมตีในชั่วพริบตา ดีกว่าสายยุทธ์ที่ดีแต่บ้าพลังะเิลมปราณ
และเมื่อเสริมสายเต๋าที่เน้นฝึกิญญาแล้ว ต่อให้ร่างถูกทำลายก็จะไม่ตาย ทั้งยังสามารถจู่โจมสังหารต่อ เป็สามสายฝึกควบที่ทรงพลังที่สุดเป็อันดับสอง ที่เขาเคยทดลอง
กลับเป็ไท้หยูที่แตกตื่นจากสิ่งที่ได้ยิน “ระดับน่าแตกตื่นขั้นนี้ยังเป็อันดับสอง เช่นนั้นอันดับหนึ่งคือ?”
เื่การโดดเข้ามารับศิษย์เป็อาจารย์ เมื่อปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งร่วมวงแล้ว ฉงฉงต้นกำเนิดสายเืาก็ไม่น้อยหน้า คิดจะรับซวี่ฉีเป็ศิษย์ของตนเอง
ไท้หยูแขวะมันว่า “หนอนอย่างเ้าก็คิดเป็อาจารย์คนอื่นหรือ เ้าคิดจะสอนวิชาแทะใบไม้กินหรือไร”
ฉงฉงตอกกลับว่า “ขณะที่ข้าโลดแล่นในโลกบรรพบุรุษของเ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ”
ไท้หยูพลันรู้ว่าสาเหตุที่ฉงฉงจะรับซวี่ฉีเป็ศิษย์ เพราะในตัวนางมีสายเืโบราณ ซึ่งในด้านนี้เขาไม่ทราบว่าเป็สายเืโบราณอันใด เพียงทราบว่า สายเืโบราณ สืบต่อมาจากสายเืา และคล้ายว่าฉงฉงจะเป็บรรพบุรุษของสายเืา เท่ากับมันเป็ต้นกำเนิดของสายธารทั้งหมด
เื่สายเืความเกี่ยวโยงนี้ทำให้ไท้หยูนึกถึงเื่ชวนปวดศีรษะในชีวิตเก่าอยู่ไม่น้อย
“ช่างคล้ายกับความเชื่อมโยงของเครือญาติข้าในโลกเก่าอย่างยิ่ง มักชอบมีผู้อ้างว่าเป็ญาติมาขอความช่วยเหลือ เมื่อถามดูก็ได้คำตอบว่า เป็ญาติห่างๆ ของญาติของญาติอีกที สุดท้ายแล้วเป็ญาติฝ่ายใดก็ไม่ทราบชัด”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้