หลินลั่วหรานคิดว่าคนแก่ทั้งสองตั้งใจจะเล่นตลกอะไรแกล้งเธอกันแน่แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อคุณปู่ตระกูลมู่เปิดประเด็นมาชายแก่สกุลกัวก็ไม่ได้ตอบรับอย่างที่คิดไว้ แต่กลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เหล่ามู่ อายุเราสองคนรวมกันเท่าไรแล้ว ยังจะมาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าเด็กๆอีก ถ้ามันไม่ตลก ก็ไม่ต้องพูดเถอะ!”
คุณปู่ตระกูลมู่อายขึ้นมา แต่หลินลั่วหรานนั้นเต็มไปด้วยความเคารพถ้าหากเป็ตัวเธอเองได้รับาเ็ขนาดนี้ ในเวลาที่ต้องรอคนเอายามาช่วยคงจะไม่อาจสงบนิ่งแบบนี้ได้
แต่ว่าในตอนนี้เธอก็ยังคงอยู่ในสถานการณ์อันตรายแม้แต่คุณปู่ตระกูลมู่ที่เป็นักปราชญ์ระดับพื้นฐานยังไม่อาจรักษาได้แล้วเธอจะไปเอาความมั่นใจมาจากที่ไหนกัน ด้วยพลังของเธอที่ยังไม่เติมระดับฝึกลมปราณดี? อย่าล้อเล่นน่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถลึกลับของไข่มุกแม้แต่เป่าเจียเอง เธอยังไม่อาจจะช่วยเอาไว้ได้เลย
หลินลั่วหรานวางแก้วชาลง “ท่านผู้าุโทั้งสองหนูเอาหยกมาให้แล้วค่ะ...แต่ว่าอาการเจ็บป่วยของท่านกัว...”
ชายแก่สกุลกัวโบกมือปฏิเสธ “เอาของที่แม้แต่มีเงินมากมายแค่ไหนก็ไม่อาจจะหาได้มาให้ขนาดนี้ก็นับว่ามีน้ำใจกับฉันมากแล้วแล้วฉันจะเอาเื่ความเจ็บป่วยของตัวเองไปให้หนูแบกรับไว้ได้อย่างไร? ...พวกเหล่ามู่ต่างก็หวังไปยังผู้าุโที่อยู่เื้ัของหนูอาจจะทำอะไรไม่ดีนัก แต่ก็ด้วยแต่เพื่อฉันทั้งนั้น สาวน้อยหลินอย่าได้ถือสาอะไรพวกเขาเลยนะ”
ความละอายที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมู่เทียนหนานเหมือนกับที่ปรากฏบนใบหน้าของคุณปู่ตระกูลมู่ราวกับคัดลอกกันมาเมื่อมองอย่างนี้แล้ว ใครต่างก็รู้ว่าทั้งสองเป็ปู่หลานกัน เื่ที่จะถือสาอะไรหลินลั่วหรานไม่ได้ใเลยแม้แต่น้อย
เธอไม่ใช่คุณหนูที่ถูกเลี้ยงให้เติบโตมาในบ่อน้ำผึ้งเธอไม่เคยเชื่อว่าบนโลกนี้จะมีความรักความเกลียดที่ไร้ที่มาที่ไป ท่าทาง “น่ารังเกียจ” ของมู่เทียนหนานเป็อีกหนึ่งสาเหตุ
ถ้าหากว่าเธอมีอาจารย์ลึกลับอยู่จริงเธอคงจะไม่สนใจการรบเร้าของหน่วยพิเศษ ไม่สนใจการขอความช่วยเหลือของมู่เทียนหนานใครๆ ต่างก็พูดกันว่า มีความสามารถสิบอย่างก็ไม่อาจสู้การมีอำนาจในด้านของพละกำลัง สิ่งเหล่านี้ต่างก็ไร้ความหมาย เพียงแค่เธอมีจิตใจที่ดีก็เลยตอบรับไปเท่านั้น
แต่มีเพียงหลินลั่วหรานเท่านั้นที่รู้ว่าเธอไม่ได้ฝึกศาสตร์ได้ล้ำลึกถึงขาดอาจารย์ที่ทุกคนพากันเกรงขามดังนั้นหากเธอจะก้าวเข้าสู่ขั้นที่สูงกว่าก็คงจะต้องหลุดของดีที่เกี่ยวกับโลกการฝึกศาสตร์ในปัจจุบันออกมาบ้าง ไม่ต้องเข้าใกล้มากจนเกินไปและก็ต้องไม่ทำให้คนอื่นสงสัย จะต้องรักษาให้เหมือนว่าเธอมี “อาจารย์” คนนี้เอาไว้
ดังนั้นในตอนนี้ เมื่อเธอได้ยินชายแก่สกุลกัวพูดแบบนั้นว่าไม่ได้เอาความกดดันเ่าั้มาไว้ที่ตัวของเธอ เธอจึงไม่ได้พูดอะไรแต่กลับเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปแทน “หนูว่าที่นี่วิวสวยมากเลยค่ะพลังจากใบไม้ต้นหญ้าก็เต็มเปี่ยม ภายใต้มลพิษแบบนี้ก็ถือว่าเป็ที่ฝึกศาสตร์ที่ดีเลย ตระกูลมู่เลือกที่ได้ดีจังนะคะ”
เมื่อได้ยินว่าหลินลั่วหรานเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปแล้วคุณปู่ตระกูลมู่ก็ได้แต่ตามน้ำไป “นี่เป็ครั้งแรกที่มาที่นี่อย่างไรอยากจะไปเดินเล่นชมป่าเขากับคนแก่น่าเบื่อทั้งสองคนนี้ดูไหมล่ะ?”
ออกไปชมวิวก็น่าจะดีกว่านั่งอยู่ที่นี่ หลินลั่วหรานจึงตอบตกลงไป
มู่เทียนหนานถามขึ้น “แล้วผมล่ะ?”
คุณปู่ตระกูลมู่ถลึงตาใส่เขา ความรู้สึกที่มีก่อนหน้านี้หายไปจนหมดมู่เทียนหนานไม่กล้าที่จะรบกวนอีกต่อไป ได้แต่เก็บถ้วยชา ก่อนจะเดินห่างออกไป
ชายแก่สกุลกัวลุกขึ้นยืนก่อน “พวกเราอายุห่างจากหนูมากอย่างไรก็ให้เราเรียกว่าหนูหลินก็คงจะได้สินะ?”
หลินลั่วหรานรีบลุกขึ้นคำนับให้ “พูดอะไรแบบนั้นล่ะคะก็แค่ชื่อเรียกเอง ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ” แม้ว่าจะไม่นับเื่ที่ทั้งสองต่างก็ฝึกศาสตร์อยู่ในระดับที่สูงกว่าเธอประเทศของเราก็มีการแบ่งระดับความสูงต่ำด้วยอายุอยู่แล้วพวกเขาทั้งสองน่าจะอายุมากกว่าเธอกว่าสองรอบอายุ เื่การเรียกชื่อนั้นจึงเป็เพียงเื่เล็กๆ
ทั้งสามออกมาจากกระท่อมหญ้ากก เดินขึ้นไปตามเส้นทางเล็กๆต้นไม้สูงใหญ่คลุมทั่วท้องฟ้า ดูเหมือนกับว่าทั่วทั้งบริเวณของเขาเซียงชานจะถูกปกคลุมไปด้วยบรรดาต้นไม้ที่จะเปลี่ยนใบเป็สีแดงเพลิงเมื่อถึงยามฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้
ตอนนี้เป็เวลาฤดูหนาวแล้ว ทิวทัศน์ใบไม้สีแดงสวยไม่มีให้เห็นแต่ว่าใบไม้ที่กองทับกันหนา เมื่อเหยียบลงแล้วก็ให้ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างและมันก็ไม่ได้แย่นัก
คุณปู่ตระกูลมู่เห็นว่าเธอสนใจต้นไม้โบราณเหล่านี้ก็ลูบเคราขาวพร้อมกับอธิบายออกมา “บางต้นก็ถูกปลูกเอาไว้ั้แ่่ปีเฉียนหลงเป็ทิวทัศน์ที่มีอายุกว่าสองร้อยปีแล้วล่ะ”
สองร้อยปีเหรอ? ต้นไม้นั่นผ่านไปสองร้อยปีแล้วก็ยังคงแข็งแรงเหมือนเคย แล้วตัวเราล่ะหลังจากนี้สองร้อยปีจะสามารถพัฒนาได้สำเร็จ ได้เข้าไปค้นหาโลกที่กว้างกว่านี้หรือว่าจะติดอยู่ในวังวนการฝึกศาสตร์ระดับพื้นฐานอยู่แบบนี้?
ชายแก่สกุลกัวเห็นว่าสีหน้าของเธอดูเศร้าสลดลงคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปิดปากพูดออกมา “หนูหลินดูจากสีหน้าของหนูแล้ว ดูเหมือนว่าจะเศร้าโศกอยู่นะ เด็กอายุน้อยอย่างหนูฝึกมาได้เท่านี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้วนะ ความจริงแล้ว่นี้น่าจะเป็่วัยรุ่นหยิ่งผยองอยู่เลยทำไมถึงจะต้องโศกเศร้าไปด้วย?”
อายุยี่สิบเจ็ดปี ในโลกของการฝึกศาสตร์ถือว่าอายุยังน้อยอยู่อย่างนั้นเหรอ?
หลินลั่วหรานไม่ได้รู้เื่อะไรเกี่ยวกับโลกศาสตร์นักแม้แต่เื่ทั่วไปยังมีอีกมากที่เธอไม่รู้เมื่อเห็นว่าท่าทางของคนแก่ทั้งสองต่างก็ดูใจดี ในใจของเธอจึงคิดข้ออ้างออกมาเพื่อให้เหตุผลกับความเป็ผู้ฝึกศาสตร์มือใหม่ของเธอ “ท่านทั้งสองต่างก็รู้ฉันเป็เพียงคนธรรมดาในโลกนี้บังเอิญได้รับโอกาสเลยก้าวเข้ามายังโลกแห่งการฝึกศาสตร์ไม่ได้รู้เื่เกี่ยวกับข้อห้ามหรือเื่ทั่วไปอย่างนี้เลยจากที่ได้ยินเหวินกวนจิ่งพูดมา แม้จะฝึกหนักเป็ร้อยปีแต่สุดท้ายก็ยังกลายเป็กระดูกอยู่ในป่าเขาอยู่ดี ถ้าสมมุติว่าเป็ระดับพื้นฐานได้จะยืดเวลาชีวิตออกไปได้เท่าไรเหรอคะ?”
โอกาสที่ได้รับมาโดยบังเอิญของเธอก็คือพื้นที่ลึกลับเมื่อเข้ามาในหูของคนแก่ทั้งสอง ต่างก็ช่วยยืนยันการคาดเดาของพวกเขาให้ชัดเจนขึ้น โอกาสที่เธอบอกไม่ใช่การที่ถูกคนมีความสามารถมองเห็น แล้วก็เชิญให้เข้ามาแต่เป็การใช้พลังของตัวเองชำระไขกระดูกให้ จนหลินลั่วหรานสามารถเกือบจะเติมเต็มขอบเขตของระดับฝึกลมหายใจได้แล้ว
แน่นอนว่านี่ต่างดูจากการแสดงออกของหลินลั่วหรานเท่านั้นแต่กลับไม่มีร่องรอยใดๆ ของผู้าุโท่านนั้นเลยชายชราทั้งสองไม่ได้คิดว่าการที่หลินลั่วหรานไม่รู้เื่พวกนี้เป็ปัญหาอะไร
คุณปู่ตระกูลมู่ไม่ได้ตอบกลับคำถามของเธอ แต่กลับยิ้มจนตาหยีพร้อมกับถามเธอกลับไป “จากที่สาวน้อยมองคิดว่าพวกเราอายุเท่าไร?”
หลินลั่วหรานมองอย่างพิจารณา คุณปู่ตระกูลมู่ดูร่างกายแข็งแรงดีดูไม่ได้ต่างจากผู้บังคับบัญชาฉินสักเท่าไร ดูๆแล้วก็น่าจะอายุหกสิบกว่าไม่ใช่เหรอ?
เธอพูดการคาดเดาของตัวเองออกมาอย่าว่าแต่คุณปู่ตระกูลมู่ที่หัวเราะออกมาเลยแม้แต่คนที่ดูเข้มงวดอย่างชายแก่สกุลกัว ก็ยังยิ้มขึ้น
“ระดับฝึกลมปราณมีอายุได้ถึงหนึ่งร้อยปี ก่อนจะจากไปอย่างสงบส่วนระดับพื้นฐาน ส่วนมากจะใช้ชีวิตได้ราวๆ สองร้อยปีระดับรวมพลังก็ราวๆ ห้าร้อยปี ส่วนระดับแบ่งจิตนั้นในบันทึกโบราณบอกเอาไว้ว่าถึงพันปี แต่ระดับที่มากกว่าแบ่งจิตขึ้นไปนั้นก็ไม่ใช่ระดับที่พวกเราจะรู้ได้แล้ว”
คุณปู่ตระกูลมู่หัวเราะออกมา ก่อนจะชี้ไปยังชายแก่สกุลกัวพร้อมกับพูด “เขาอายุน้อยกว่าฉันนิดหน่อย ปีนี้หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดแล้วส่วนฉันก็แก่กว่าหน่อย เดือนที่แล้วเพิ่งจะฉลองวันเกิดครบหนึ่งร้อยสามสิบปีไป”
ต่างก็อายุเกินร้อยปีกันแล้ว? ดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยชายแก่สกุลกัวมีอาการเ็ปขอไม่พูดถึงแล้ว ดูเพียงแค่คุณปู่ตระกูลมู่อายุหนึ่งร้อยสามสิบปีแล้วแต่ดูท่าทางแล้วยังดูมีพลังกระตือรือร้นกว่าคุณชายมู่เทียนหนานเสียอีกนี่คงจะเป็ความแตกต่างระหว่างคนธรรมดาและเหล่าผู้ฝึกศาสตร์สินะ...
ถ้าแบบนั้นอายุยี่สิบเจ็ดปี คงจะถือว่าเป็่อายุที่กำลังวัยรุ่นเลยสินะ
ถูกคนเรียกว่าเป็สาวแก่ขึ้นคานมาจนชินไปเสียแล้วเมื่อได้มารู้ว่าความจริงตัวเธอยังเด็กอยู่มาก ความรู้สึกแบบนี้ไม่เลวเลยไม่ใช่เหรอ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้