แม้โชคชะตาจะเหวี่ยงเขาหลุดจากยุคของตนเอง แม้หัวใจของเธอจะยังจดจำเขาไม่ได้ แต่...หัวใจของจักรพรรดิผู้นี้ ไม่เคยลืมเธอเลยแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งของลมหายใจ
... ... ... ...
เสียงพายุฝนกระหน่ำลงมาราวกับจะกลบโลกทั้งใบให้จมลงสู่ท้องน้ำในมหาสมุทร เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเหนือยอดหอเทียนหยวน ผสานกับเสียงลมคำรามที่พัดโหมเข้ากระแทกบานประตูไม้สักโบราณจนสนั่นหวั่นไหว แสงเปลวเทียนนับร้อยสั่นระริกวูบไหวราวกับจะดับในพริบตา ตามกระแสลมแรงที่ลอดผ่านเข้ามาเป็ระลอกคลื่น
ด้านหน้าเหนือบัลลังก์สูง คือบุรุษผู้สวมฉลองพระองค์ลายัทอง พระพักตร์งามคมแต่เคร่งขรึม ดวงเนตรดำล้ำลึกกว่าน้ำในมหาสมุทรนับพันลี้ เขาคือ จิ่นหลง จักรพรรดิแห่งต้าหลี่ ราชันผู้ไร้เทียมทาน แต่ไฉนในยามนี้...กลับยืนนิ่งราวรูปสลัก หัวอกหนักราวภูผาเต็มไปด้วยความเ็ป
ท่ามกลางเสียงบทสวดโบราณ ขุนนางและเหล่ากรมพิธีในชุดคลุมเทาหม่นกำลังหมอบอยู่อย่างเคร่งขรึม ด้วยหวังให้คำกล่าวอ้อนวอนจากผู้ครองแผ่นดินได้ส่งผ่านไปยังสรวง์
“ฮองเฮา...เหตุใดเ้าจึงจากข้าไปโดยไม่ได้กล่าวลา...” เสียงของจิ่นหลงแ่เบา แทบจะกลืนหายไปกับเสียงฟ้าร้องคำรามสนั่นจากเบื้องบน
ในยามนี้ทั้งแผ่นดินยังอยู่ใต้อาณัติของเขา แต่จิ่นหลงกลับไม่อาจควบคุมหัวใจของผู้หญิงที่เขารักได้ นางหายไป...ในค่ำคืนที่ฟ้าดูเงียบสงัดเกินจริง และกลิ่นดอกเหมยในลานอุทยานหลวงหอมรุนแรงมาก...จนน่าหวาดกลัว
นางคือ หยางหลัน ฮองเฮาแห่งราชสำนัก ... ดั่งดวงหทัยของพระองค์
ไม่มีแม้ร่องรอย ไม่มีแม้เสียงร่ำลา เหลือไว้เพียงตลับหยกที่นางวางทิ้งไว้บนโต๊ะเขียนพู่กัน พร้อมลายมือ... เขียนเพียงคำเดียวว่า "ขออภัย"
พระองค์เคยรับสั่งให้กองทัพตามหาไปทั่วเหนือจรดใต้ทุกทิศทุกทาง ไม่เหลือแผ่นดินใดเลยที่จะไม่มีกองทัพของต้าหลี่ได้เข้าไปตระเวนค้นหา พระองค์กระทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่งสั่งให้โหรหลวงทำนาย เคยไปอ้อนวอนเหล่านักพรตหยั่งรู้...แต่ดูเหมือนว่าชะตากรรมของพระองค์จะไร้พระชายาเคียงข้างกระนั้นหรือ ไม่มีผู้ใดให้คำตอบที่อาจคลำไปสู่การค้นหาได้อย่างแท้จริง
นอกจากวาจาของนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งซึ่งมาเฝ้าในยามค่ำ ท่ามกลางหมอกหนาทึบ...
"เมื่อโชคชะตาเลือกผูกนางกับเ้า... คำสาปจึงอุบัติขึ้น นางมิได้จากไป แต่ถูกกลืนหายไปจากกาลเวลา"
จิ่นหลงไม่เคยศรัทธาสิ่งลี้ลับ ไม่เคยเชื่อในเทพเซียนหรือปีศาจ แต่ในค่ำคืนแสนเปล่าเปลี่ยวที่สุดของชีวิต พระองค์เริ่มตั้งคำถามกับตนเองว่า…
‘บางที... พรหมลิขิตอาจโหดร้ายกว่าที่คาดคิด’
ดังนี้แล้ว...จึงรับสั่งให้มีพิธีกรรมในค่ำคืนนี้
ณ หอเทียนหยวน สถานที่บูชาฟ้าดิน พื้นศิลาแกะลวดลายัมาแต่ครั้งบรรพชน จอกทองคำบรรจุโลหิตจากนิ้วนางข้างซ้ายของพระองค์ ได้ถูกวางลงกลางแท่นพิธี ธูปเทียนร้อยดอกถูกจุดพร้อมกันตามตำราโบราณ
“หากดวงจิตเ้ายังอยู่ หากเ้ายังปรากฏในห้วงกาลเวลา...ขอให้พลังแห่งรักนี้ นำทางข้าไปพบเ้าอีกครั้ง” พระองค์ทรงเปล่งวาจาหนักแน่น ดังสะท้อนออกไปทั่วหอ
ทันใดนั้นเอง...
ฟ้าผ่าดัง เปรี้ยง เปรี้ยง ... เปรี้ยง !!!
สายฟ้าสีขาวสะท้อนแสงแรงกล้าเหนือยอดหอเทียนหยวน สั่นะเืผืนฟ้าลงไปจนพื้นะเืถึงปฐี พายุโหมกระหน่ำ ใบไม้ปลิวว่อนไปทั่ว เปลวเทียนดับวูบในทันใด…!!!
ขุนนางหลายคนหวาดผวา หลายคนหมอบกราบแนบหน้ากับพื้นเพราะหวาดกลัว ทว่า...จักรพรรดิยังยืนนิ่งกลางเขตพิธี ราวกับไม่อาจถอยกลับไปจากชะตากรรมที่พระองค์เป็ผู้กำหนดเอง
และแล้ว หมอกสีฟ้าเรืองแสงหมุนวนโอบล้อมกายของจิ่นหลง ความรู้สึกเย็นเฉียบแล่นผ่านเข้าไปถึงกระดูก ไหลย้อนเข้าไปสู่กลางหัวใจ ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างจะดับวูบลงในทันใด
... ... ... ...
เสียงหวีดแตรรถยนต์กระแทก...เข้าโสตประสาท!!!
จิ่นหลงลืมตาขึ้นทันใด ร่างแน่นิ่งอยู่กับพื้นถนนที่แข็งกระด้าง อากาศโดยรอบเย็นชื้นไปด้วยละอองฝน พระองค์พลิกตัวลุกขึ้นทันทีอย่างระวัง แม้ศีรษะยังหมุนคว้างและรู้สึกหนักอึ้งไปทั่วกระโหลกจนถึงท้ายทอย
ผู้คนมากมายเดินผ่านไปมา บางคนถือเครื่องเรืองแสง บางคนมีล้อเหล็กผูกกับรองเท้า บางคนแหงนหน้าพูดคนเดียวกับอากาศ พลางยกแท่งสี่เหลี่ยมขึ้นจ่อหน้า
“นี่มันแคว้นใดกันแน่...” พระองค์พึมพำ
ชายคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี จิ่นหลงจึงคว้าแขนเขาไว้ ถามด้วยภาษาโบราณ
“เ้า...คือ เซียน หรือปีศาจ!!!”
ชายคนนั้นชะงักไป ก่อนเบิกตากว้าง อ้าปากค้างอย่างแปลกประหลาด ด้วยโลกทุกวันนี้มีคนสติไม่เต็มเดินปะปนกันอยู่ทั่วไป
“เฮ้ย ไอ้นี่มาเล่นงิ้วอะไรกลางสยามเนี่ย ใครปล่อยออกมาว่ะ!!!”
เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบข้าง ตามมาด้วยแสงแฟลชและมือถือที่ยกขึ้นถ่าย...และพร้อมไลฟ์สด พระองค์มองผู้คนด้วยสายตาตื่นตระหนก ปะปนกับความสงสัย ทุกคนพูดภาษาที่พระองค์ไม่เข้าใจ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็วราวกับลมหายใจของัพ่นไฟร้อนแรง
เ้าหน้าที่เข้ามาล้อม พระองค์ไม่ได้ขัดขืน ไม่ใช่ด้วยยอมแพ้ แต่เพราะสับสนและเหนื่อยล้า ร่างของพระองค์จึงถูกพาออกจากถนน ไปสู่สถานที่ที่เรียกว่า ‘โรงพยาบาล’
บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วย กลิ่นยาฆ่าเชื้อ กลิ่นผ้าพันแผล และเสียงเครื่องมือวัดชีพจร เป็ความรู้สึกแรกที่ผ่านเข้าไปประทับอยู่ในใจของพระองค์ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีสันแปลกตา
แพทย์และพยาบาลตรวจร่างกายจิ่นหลงอย่างละเอียด ไม่มีใครเข้าใจคำพูดของเขา จนกระทั่งหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาในห้อง
นักศึกษาสาวจากสาขาโบราณคดีคนนี้ มีทักษะภาษาจีนโบราณ จึงถูกเรียกตัวมาช่วยแปลโดยบังเอิญ เธอเพียงแวะมารับเอกสารที่โรงพยาบาล...
แต่เมื่อเห็นรูปหน้าโบราณของชายผู้นี้ หัวใจของ ‘ขวัญชนก’ กลับสะดุดอย่างบอกไม่ถูก... เธอนิ่งอึ้งไปในบัดดลเหมือนโดนมนต์สะกด
ชายหนุ่มในชุดฮ่องเต้โบราณ...มีดวงตาที่เศร้าอยู่ลึกๆ เกินกว่าจะเป็นักแสดง มีน้ำเสียงที่ชัดเจนเน้นทุกถ้อยคำในภาษาที่เธอศึกษามาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยได้ยินใครพูดได้จริงเช่นในขณะนี้ เธอทั้งแปลกใจและดีใจที่มีคนช่วยขุดเอาทักษะของเธอออกมาใช้ได้ ณ เวลานี้
“ท่านชื่อ...จิ่นหลง!!!” เธอถามเป็ภาษาจีนโบราณ ดวงตาหวั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจ
จิ่นหลงเบิกตากว้าง เขาไม่อาจปกปิดความในใจ แทบจะพุ่งเข้าหาเธอด้วยแรงแห่งความหวังเดียวที่ยังเหลืออยู่ในใจ
“เ้าพูดภาษาของข้าได้...” พระองค์พึมพำ
ขวัญชนกยิ้มเจื่อนๆ พร้อมพยักหน้า
“ฉันเรียนมา...แต่ไม่คิดว่าจะมีใครพูดแบบนี้ได้จริง ๆ”
แววตาของจิ่นหลงเต้นไหวระริก เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ และโพล่งออกไปอย่างไม่สนใจสายตาใคร
“เ้าคือ หยางหลัน...ใช่หรือไม่”
ขวัญชนกชะงักทันที ใจเธอเต้นถี่ สีหน้าใเล็กน้อย
“ขอโทษนะคะ...ใครคือหยางหลัน!!!”
เพียงคำถามนั้น ดวงตาของจักรพรรดิก็หรี่ลงเหมือนจะดับแสง น้ำเสียงเคยแข็งกร้าวบนบัลลังก์ขณะว่าราชการบ้านเมือง แต่บัดนี้สั่นเครืออย่างเ็ป
ความเงียบปกคลุมห้องฉุกเฉินอยู่ครู่หนึ่ง เขายังรำพึงรำพันต่อ...
“เ้าคงจำไม่ได้...แม้แต่เงาของข้า ก็ไม่หลงเหลือในใจเ้าอีกแล้ว!!!”
ขวัญชนกไม่รู้จะตอบอย่างไร เธอรู้เพียงว่าชายคนนี้ไม่ได้โกหก น้ำตาเอ่อท้นขอบตาทั้งแววตาของเขาไม่อาจเสแสร้งกลบเกลื่อนความจริงได้เลย
คำพูดภาษาจีนโบราณประโยคหนึ่งทิ้งท้าย ช่างทำให้เธออึดอัดใจอยู่ไม่น้อย...
“แม้โชคชะตาได้เหวี่ยงเ้าหายไปจนไม่อาจจำข้าได้ แต่หัวใจเยี่ยงข้า ไม่เคยลืมเ้าเลย...แม้เพียงชั่วลมหายใจเดียว”
‘และนี่...คือจุดเริ่มต้นของอะไรกัน...ความรักข้ามภพข้ามชาติ เช่นนั้นหรือ…!!!’ ขวัญชนกรู้สึกพรั่นพรึง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้