ทะเลสาบแห่งความเงียบสงบเดิมทีเป็ทะเลสาบที่ตั้งอยู่ภายนอกกำแพงด้านทิศตะวันออกของเมืองเซียวหุน หลังจากผ่านการปรับปรุงจากตระกูลเยว่มาหลายครั้งทำให้ตอนนี้ทะเลสาบแห่งความสงบถูกกำแพงที่สร้างขึ้นมาโอบล้อมเข้าจนกลายเป็ส่วนหนึ่งของเมืองเซียวหุน
ทะเลสาบแห่งความสงบไม่ใหญ่เท่าใดนัก หากเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่นับว่าเป็ทะเลสาบเพราะมีขนาดใหญ่กว่าอ่างเก็บน้ำเพียงนิดเดียวเท่านั้น แต่ในเมื่อตระกูลเยว่เรียกว่าทะเลสาบคนอื่นก็ต้องเรียกว่าทะเลสาบด้วยเช่นกัน ทะเลสาบแห่งความเงียบสงบไม่เหมือนกับทะเลสาบที่ตายแล้วนิ่งๆ สงบไม่ไหลเวียน ทะเลสาบที่นี่ไม่เพียงไม่สงบแต่ยังเกิดเป็ระลอกคลื่นอยู่ตลอดเวลาไม่ขาด เนื่องจากลมพัดแรงตลอดปีทำให้ผิวน้ำของทะเลสาบไม่เคยหยุดนิ่งลงเลยสักครั้ง
“ที่นี่ก็คือทะเลสาบแห่งความเงียบสงบ? ก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษพิสดารนี่นา?” เย่ชิงหานและเหล่านายน้อยทั้งหลายเดินตามหลังเยว่เหนียงมาถึงยังข้างทะเลสาบสีน้ำเงินแห่งหนึ่ง แม้ที่แห่งนี้จะนับว่าเป็สถานที่ที่ทำให้เบิกบานใจมีน้ำใสูเาเขียว แต่ก็เป็ทะเลสาบเล็กๆ ธรรมดาทั่วไปแห่งหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษเหมือนที่บอกไว้ว่าเป็สถานที่ในดวงใจของเหล่าชายหนุ่มอย่างที่จินตนาการไว้ ซึ่งทำให้เย่ชิงหานรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
“แหะๆ ทะเลสาบแห่งนี้แน่นอนว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ที่พิเศษคือเกาะเล็กๆ ที่อยู่กลางทะเลสาบนั่นต่างหาก ที่นั่นคือสถานที่อยู่อาศัยของลูกหลานศิษย์สายในของตระกูลเยว่เชียวนะ ทุกๆ คนล้วนเป็สุดยอดสาวงาม เวลาปกติหากยังไม่ถึงงานเทศกาลโคมไฟฤดูร้อน ที่นั่นถือว่าเป็สถานที่ต้องห้ามและเป็สถานที่ในดวงใจของเหล่าบุรุษ สิบห้าปีมานี้พวกเราเป็กลุ่มแรกที่เหยียบเท้าเข้าสู่สถานที่แห่งนี้ เ้าว่าพิเศษไหมเล่า?” เฟิงจื่อยังคงสะพายกระบี่ยาวที่ด้านหลังเช่นเดิม เขาหัวเราะแหะๆ ออกมาแล้วยื่นหน้าเข้ามาพูดกระซิบข้างหูของเย่ชิงหาน
“หืม? สถานที่ต้องห้ามของเหล่าบุรุษ?” เย่ชิงหานถูกสิ่งที่ได้ยินทำเอาหน้ามืดไปชั่วครู่ มองดูเกาะเล็กๆ กลางทะเลสาบที่เห็นได้อย่างเลือนรางที่อยู่ห่างไกลออกไป จากนั้นพยักหน้าตอบรับแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ข้างในผู้ชายแม้สักคนเดียวก็ไม่มีรึ?”
“รับรองว่าไม่มีสักคน!” เฟิงจื่อตอบออกมาด้วยใบหน้าจริงจัง
เย่ชิงหานได้ฟังก็หมดคำที่จะพูดต่อจึงสงบปากไปโดยปริยาย แต่ภายในใจรู้สึกหนาวสั่นราวกับถูกสายลมในฤดูหนาวพัดผ่าน...ถ้าหากว่าอีกสักครู่ขึ้นไปบนเกาะเจอเข้ากับสาวเปลี่ยวทั้งหลายที่ไม่ได้เจอบุรุษมาแสนนานะโรุมทึ้งเข้ามาราวกับเสือที่เจอฝูงหมาป่า พวกเขาไม่กี่คนจะรับมือไหวได้อย่างไร?
“คุณชายทั้งหลาย เชิญขึ้นเรือได้!” ในขณะที่เย่ชิงหานกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั่น มีเรือน้อยลำหนึ่งลอยมาแต่ไกล เยว่เหนียงยิ้มออกมาทำท่าทางเชื้อเชิญให้ทุกคนขึ้นเรือ
“นายน้อยหาน เชิญท่านก่อน” เฟิงจื่อกระตุกกล้ามเนื้อหน้าอกของตนแสดงกิริยาท่าทางที่เขาคิดว่าดูดีออกมา
“ฮะ? ขึ้นเตียงเร็วขนาดนี้เลยรึ? อ้อ ไม่ใช่ ที่แท้ก็ขึ้นเรือ!” เย่ชิงหานที่กำลังคิดเื่นั้นอยู่ไม่ทันตั้งตัวจึงเข้าใจผิด โบกไม้โบกมือพูดออกมา “พี่เฟิงเชิญท่านก่อน ร่างกายข้าผอมแห้งแรงน้อยคงรับไม่ไหว!”
“ฮึ ในเมื่อทั้งสองคนเกรงใจกันขนาดนี้อย่างนั้นข้าขอขึ้นไปก่อนแล้วกัน” เสว่อู๋เหินสะบัดเก็บพัดแล้วเดินหายเข้าไปในตัวท้องเรือ
ฮวาเฉ่าแสนสวยยื่นมือออกปัดไปที่ชายเสื้อแล้วก็หายตามเข้าไปอีกคน เฟิงจื่อและเย่ชิงหายเห็นดังนั้นจึงเดิมตามเข้าไป ขนาดของเรือไม่ใหญ่มากแต่ตกแต่งได้ประณีตสวยงาม มีห้องนั่งเล่นเล็กห้องหนึ่ง หัวเรือและท้ายเรือถูกกั้นด้วยผ้าแพรบางๆ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่อยู่ภายนอกได้พอรางๆ
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงกันหมดแล้ว เยว่เหนียงทำการรินน้ำชาให้แก่ทุกคน จากนั้นโค้งคำนับทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไปหยุดยืนที่หัวเรือ “สมกับที่เป็ตระกูลเยว่จริงๆ ขนาดแค่คนพายเรือยังเป็สุดยอดสาวงามได้ขนาดนี้” เฟิงจื่อเมื่อเข้ามาถึงก็ใช้สายตาสาดส่องไปทั่ว สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวที่พายเรืออยู่ท้ายเรือ มองผ่านม่านผ้าแพรบางๆ เห็นหญิงสาวนางหนึ่งท่าทางอ่อนช้อยงดงาม มือข้างหนึ่งกำลังจับไม้พายมองเห็นได้แค่เพียงร่างกายส่วนหลังข้างหนึ่ง นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวมีกลีบแขนยาว ใบหน้าปิดด้วยผ้าคลุมหน้าสีขาว แต่มองดูแค่รูปร่างที่อ้อนแอ้นอรชรและส่วนเว้าส่วนโค้งที่ได้รูปสวยงาม บวกกับท่วงท่าอากัปกิริยาที่นิ่มนวลอ่อนช้อย แค่ได้มองก็ทำให้จิตใจเคลิบเคลิ้มหวั่นไหว
คำพูดของเฟิงจื่อดึงดูดความสนใจของทุกคนให้หันไปมองในทันที ฮวาเฉ่าและเฟิงจื่อออกอาการชัดเจนที่สุด สายตาจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวปิดหน้านางนั่นอย่างไม่กะพริบ ปากพูดชมเปราะออกมาไม่หยุด ดวงตาคู่สีดำและสีเทาของเสว่อู๋เหินทอประกายวูบวาบ พัดในมือกางออกและหุบเข้าสลับกันไปมา ท่าทางแสดงออกถึงความชื่นชมเป็อย่างยิ่ง แต่ความละโมบที่ปรากฏภายในดวงตากลับเปิดเผยความในใจของเขาออกมาจนหมดสิ้น ส่วนเย่ชิงหานส่งสายตามองไปแวบหนึ่งแล้วก็ดึงสายตากลับมา เป็เพราะท่าทางจอมปลอมของเสว่อู๋เหินที่อยู่ตรงข้ามทำให้เขาหมดอารมณ์และตัวเขาเองก็ไม่มีอารมณ์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟิงจื่อบอกว่าหญิงสาวภายในเกาะไม่เจอบุรุษมาเป็เวลานาน เพียงแค่ได้ยินเขาก็รู้สึกกลัวแล้ว
เย่ชิงหานหรี่ตาลงมองไปยังเสว่อู๋เหินที่อยู่ตรงข้าม สองมือลอบกำหมัดแน่น แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเย่ชิงหนิวเมื่อสามวันก่อน เขาจึงได้คลายมือออกแล้วหยิบแก้วน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่มแทน
วันนั้นหลังจากที่เขาตบหลงสุ่ยหลิวไปนอนกองกับพื้น เดิมทียังอยากจะหาเื่ฆ่าเสว่อู๋เหินเสีย แต่ว่าเย่ชิงหนิวส่งกระแสเสียงมาหาเขาบอกให้อดทนไว้ก่อน หลังจากนั้นเย่ชิงหนิวมาหาเขาถึงที่พักคุยกับเขาพักใหญ่ บอกเขาว่าเพราะเื่ราวของเย่ชิงอวี่ในครั้งนี้ตระกูลเสว่ชดใช้ของล้ำค่ามาหลายอย่างซึ่งสามารถนำไปแลกยาิญญาเทวะได้เม็ดหนึ่ง เย่ชิงหนิวบอกเขาว่าตอนนี้อดทนไปก่อนรอให้ได้ของมาถึงมือเมื่อไหร่ค่อยหาโอกาสฆ่าเสว่อู๋เหิน แน่นอนว่าต้องทำอย่างแเี อย่างเป็ความลับไม่ให้เหลือหลักฐานใดๆ หลงเหลือไว้
รอให้งานเทศกาลของตระกูลเยว่เสร็จก็จะออกเดินทางไปงานประลองาระหว่างเขตปกครอง สามฝ่ายสู้รบกันนัวเนียถึงเวลานั้นหาโอกาสจัดการกับเขาเสีย ดังนั้นตอนนี้ทำได้แค่ต้องอดทน แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยในวันนั้นได้ระบายไฟแค้นที่อยู่ภายในใจออกไปกับหลงสุ่ยหลิวบ้างแล้ว ตอนนี้จึงไม่ได้มีอารมณ์เดือดดาลอะไรมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้ว่าเสว่อู๋เหินอย่างไรก็ต้องถูกตนเองฆ่า ผู้ที่จะต้องถูกฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้จึงไม่จำเป็ต้องคิดเล็กคิดน้อยกับคนที่เหมือนได้ตายไปแล้วอีก
“เยว่เหนียงทำไมยังไม่ออกเรือ?”
ทุกคนชื่นชมหญิงสาวพายเรือที่อยู่ด้านท้ายเรืออยู่พักหนึ่ง ความรู้สึกสนใจอยากที่จะเข้าไปภายในเกาะแห่งนั้นเพิ่มขึ้นมาอีกมาก รู้สึกอยากที่จะเข้าไปให้เร็วที่สุดจนแทบจะอดใจรอไม่ไหว แค่สาวพายเรือยังงดงามได้ขนาดนี้ แล้วหญิงสาวที่อยู่ภายในจะไม่งดงามราวกับนางฟ้านาง์เลยหรือ?
“คุณชายทั้งหลายโปรดรอสักครู่ ยังมีอีกคนยังมาไม่ถึง อ้อ! มาแล้ว!” เยว่เหนียงตอบกลับมาอย่างนอบน้อม ทุกคนต่างครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่ายังมีใครที่มีคุณสมบัติพอที่จะขึ้นเรือลำนี้พร้อมกับพวกเขาอีก?
“ทุกท่านมากันแต่เช้าเลย สุ่ยหลิวมาช้าต้องขอภัยด้วย” หลงสุ่ยหลิวเดินเข้ามาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม พูดทักทายออกมาอย่างเกรงอกเกรงใจ ใบหน้ายังคงสดใสดังเดิม ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปจากวันแรกที่เจอเลยแม้แต่น้อย
“สวัสดีพี่หลง!” ทุกคนที่อยู่ในเรือต่างยิ้มออกมาอย่างเป็ธรรมชาติ ราวกับว่าได้ลืมเื่ราวที่เกิดขึ้นหลายวันก่อนหน้าไปหมดสิ้น เสว่อู๋เหินสะบัดเก็บพัดแล้วชี้ไปที่ที่นั่งข้างๆ และยังรินน้ำชาให้หลงสุ่ยหลิวอีกด้วย
เย่ชิงหานไม่ได้พูดจาใดๆ ทำเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ดื่มชาเงียบๆ ต่อ แต่ในใจยอมรับนับถือและเลื่อมใสในความหน้าหนาของหลงสุ่ยหลิวเป็อย่างยิ่ง หลงสุ่ยหลิวยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่มอย่างไม่เกรงใจ แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านกำลังคุยถึงเื่อะไรกันอยู่?”
“ไม่ได้คุยอะไร เพียงแค่กำลังชื่นชมความงามของหญิงสาวตระกูลเยว่ คุณชายหลงดูสิ แค่หญิงพายเรือของตระกูลเยว่ยังงดงามได้ถึงเพียงนี้” เฟิงจื่อแม้จะตัวใหญ่เทอะทะคล้ายกับคนโง่ แต่สมองกลับไม่ธรรมดา ถึงจะมีนิสัยฉุนเฉียวคล้ายวัวกระทิงแต่วันนี้ดูมีนิสัยไหลไปตามน้ำไม่ผิดใจใคร ละมุนละม่อมไปทั่วทุกด้านเข้าได้กับทุกคน
“อ้อ?” หลงสุ่ยหลิวหันกลับไปมองยังท้ายเรือ ใบหน้าพลันปรากฏอารมณ์เคลิบเคลิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวขึ้นอย่างชื่นชม “หญิงสาวที่สวยพริ้งพราวไปด้วยเสน่ห์เช่นนี้ เสียดายที่คลุมหน้าไว้ไม่สามารถยลโฉมหน้าที่แท้จริงได้ ช่างเป็เื่ที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง”
“ก็ดีไปอย่าง ผู้หญิงที่ปกปิดใบหน้าก็ถือเป็ความงามอย่างหนึ่ง ความงามที่เลือนราง มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า...ไม่ได้ก็ยังดีกว่าได้เสียอีก หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้งามลึกล้ำอย่างแท้จริง มองไม่ชัดถึงจะเป็ความงามที่งามยิ่งกว่า” เสว่อู๋เหินยิ้มออกมาจางๆ ไม่ได้สนใจต่อสายตาเ็าของเย่ชิงหานที่มองมา สะบัดพัดไปมาลักษณะท่าทางสง่างามไม่เป็สองรองใคร
“พี่อู๋เหินน่าจะไปเป็นักกวี สามารถบรรยายออกมาได้ไพเราะลึกล้ำเช่นนี้” ฮวาเฉ่ายิ้มออกมาอย่างอ่อนช้อย กล่าวชื่นชมขึ้น
เฟิงจื่อพยักหน้าเห็นด้วย กล่าวขึ้น “พี่อู๋เหินพูดได้ถูกต้องที่สุด คนโบราณกล่าวไว้ว่าหญิงสาวงามที่สุดคือตอนแก้ผ้าและตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ข้ารู้สึกว่าวันนี้สามารถเพิ่มเข้าไปได้อีกเวลา หญิงสาวเวลาปิดหน้าก็ดูสวยสุดๆ เช่นเดียวกัน”
“ถูกต้องที่สุด! คำพูดของทุกท่านล้วนยอดเยี่ยมและเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกล้ำ ในความคิดของข้า หญิงสาวนางนี้จะต้องเป็สุดยอดแห่งสาวงามอย่างแน่นอน” หลงสุ่ยหลิวก็พยักหน้าเห็นด้วย รีบกล่าวผสมโรงขึ้น เย่ชิงหานส่ายหน้าไปมาภายในใจทอดถอนใจออกมาอย่างหนักหน่วง
“ทำไม? นายน้อยหานมีความคิดเห็นเป็อย่างอื่นหรือ?” เฟิงจื่อมองเห็นเย่ชิงหานนั่งส่ายหัวเงียบๆ อยู่คนเดียว รู้สึกสงสัยจึงเอ่ยถามขึ้น
“ข้าไม่มีความคิดเห็นใดๆ ข้าคิดว่าควรจะบอกให้เยว่เหนียงออกเรือได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะไม่ทันรับประทานอาหารกลางวัน” เย่ชิงหานพูดออกมาอย่างราบเรียบไม่อยากจะแสดงความคิดเห็นใดๆ แค่ได้ฟังสิ่งที่เสว่อู๋เหินพูดออกมาเขาก็อยากจะอาเจียนออกมาแล้ว ประกอบกับความหน้าหนาของหลงสุ่ยหลิวยิ่งทำให้อารมณ์อยากเที่ยวทะเลสาบแห่งความเงียบสงบหมดลงแทบไม่เหลือ เขามองลอดออกไปดูผิวน้ำทะเลสาบที่กระเพื่อมเป็ระลอกอยู่ไม่ขาด หวนคิดถึงน้องสาวที่เมืองชางอารมณ์เปลี่ยนเป็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“อืม...นานนาน ออกเรือเถอะ!” ั้แ่หลงสุ่ยหลิวเข้ามาเยว่เหนียงก็ตามเข้ามาแล้ว เพียงแต่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดสิ่งใดและไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ตอนนี้เห็นเย่ชิงหานพูดขึ้นจึงยิ้มออกมาแล้วบอกกับหญิงสาวที่อยู่ท้ายเรือ
หญิงสาวที่อยู่ท้ายเรือขานรับออกมาคำหนึ่ง น้ำเสียงชัดเจนไพเราะน่าฟังราวกับเสียงร้องของนกขมิ้น ทุกคนที่อยู่บนเรือพลังฝีมือต่ำสุดก็อยู่ในระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ ต่างได้ยินกันอย่างชัดเจนทำให้เริ่มสนใจหญิงสาวที่อยู่ท้ายเรือมากยิ่งขึ้น
เรือค่อยๆ แล่นผ่าน้ำเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้เกาะเล็กที่อยู่กลางทะเลสาบ เยว่เหนียงคล้ายกับครุ่นคิดอะไรอยู่พลันมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ท้ายเรือแล้วพูดขึ้น “นานนาน...ขับร้องเพลงให้คุณชายทั้งหลายฟังแก้เบื่อสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งหลายเห็นว่าอย่างไร?”
หลงสุ่ยหลิวเมื่อได้ยินรีบยิ้มขึ้นมาทันที “พวกข้า...กำลังอยากฟังอยู่พอดีเลย”
“กำลังเฝ้ารอสดับฟังด้วยความยินดี” เสว่อู๋เหินอมยิ้มพูดออกมา เฟิงจื่อและฮวาเฉ่าก็ยิ้มออกมา ส่วนเย่ชิงหานพยักหน้าตอบรับเบาๆ
หญิงสาวคลุมหน้าที่อยู่ท้ายเรือยังคงไม่ได้พูดจาและไม่ได้หมุนตัวกลับมาแต่อย่างใด ผ่านไปเนิ่นนานจึงเริ่มขับร้องเพลงขึ้น
“เงาหอแดงยามเที่ยงวัน ใต้ร่มต้นยูคาลิปตัสของเดือนสาม...นกเป็ดน้ำมีคู่ใครอิจฉา นกแก้วไร้เสียงข้าละอาย...”
“แม้วันคืนเลื่อนไปใจยังโศก จิตใจดุจหินยากเปลี่ยนแปลง...วันเดือนเลื่อนลับราวหมอกควัน เหม่อมองทัศนียภาพร่วงโรยไป...”
เพลงที่ขับร้องขึ้นเป็บทกลอนบทหนึ่ง ไม่มีกลองหรือเครื่องดนตรีใดๆ บรรเลงประกอบ ไม่มีฉากแสงสีใดๆ เพิ่มเติม มีเพียงการขับร้องอย่างเดียวโดยไม่ได้มีการแต่งกายแต่งชุดประกอบ น้ำเสียงที่ขับร้องออกมาไม่มีความรู้สึกใดๆ เจือปน และไม่ได้มีการเต้นรำเพื่อเพิ่มสีสัน แต่ทว่าทุกคนกลับรู้สึกเคลิบเคลิ้มราวกับล่องลอยอยู่บนพระราชวังแดน์ดื่มด่ำกับบทเพลง์ที่เหล่าเทพธิดาขับร้องประโคมออกมาฉันนั้น
“เป็บทกลอนที่ดี บทกลอนที่ประณีตงดงามเช่นนี้บน์ถึงจะมี บนโลกมนุษย์จะหาฟังได้จากที่ไหน? แม่นางนานนาน บทกลอนนี้ท่านร้องได้มีพลังทำให้ใจของข้าฮึกเฮิมเป็อย่างยิ่ง แค่ได้ฟังรสชาติของบทกลอนสามเดือนยังดื่มด่ำอยู่ไม่ลืมเลือน” หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน หลงสุ่ยหลิวปรบมือออกมาด้วยเสียงอันดัง มองไปยังร่างอ่อนแอ้นอรชรของหญิงสาวที่อยู่ท้ายเรือด้วยสายตาที่หยาดเยิ้ม หัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยขึ้น
พรึบ!
เสว่อู๋เหินสะบัดพัดออกแล้วลุกยืนขึ้นเช่นกัน ยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะพูดขึ้น “เป็บทกลอนที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง นกเป็ดน้ำมีคู่ใครอิจฉา นกแก้วไร้เสียงข้าละอาย แม่นางนานนานทำไมต้องอิจฉาคนอื่น? ทำไมต้องละอายตนเอง? แค่รูปร่างหน้าตาและความสามารถของแม่นาง กลัวว่าบุรุษทั่วทั้งใต้หล้าคงต้องลุ่มหลงแม่นางเป็แน่ อย่างน้อยพวกเราทั้งห้าล้วนถูกแม่นางทำให้ลุ่มหลงคลั่งไคล้อยู่มิใช่รึ?”
“ถูกต้องอย่างที่สุด! ร้องได้ดี แม้ว่าข้าเฟิงจื่อจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับท่วงทำนองบทเพลง แต่ข้าคิดว่าแม้จะเป็หมูตัวหนึ่งก็ฟังออกว่าเป็บทกลอนที่เยี่ยมยอด” เฟิงจื่อหัวเราะฮ่าๆ ขึ้น ใช้มุกตลกพูดประจบเอาใจออกมา
ฮวาเฉ่าก็พยักหน้าเช่นเดียวกัน พูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็บทกลอนแห่ง์อย่างแท้จริง!”
เย่ชิงหานกลับนั่งเงียบๆ จิบน้ำชาอยู่คนเดียว ท่าทางโง่เง่ามองดูโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
เยว่เหนียงเห็นเช่นนั้นอดไม่ได้จึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “นายน้อยหาน หรือว่าท่านคิดว่านางร้องได้ไม่ดี?”
คุณชายทั้งสี่หมุนตัวกลับมามองเย่ชิงหานพร้อมกับความสงสัย บทกลอนที่ไพเราะน่าฟังขนาดนี้เป็ครั้งแรกที่พวกเขาเคยได้ฟัง เย่ชิงหานทำไมถึงแสดงอาการเงียบสงบขนาดนี้? หรืออาจจะพูดได้ว่าแสดงอาการไม่ยี่หระด้วยซ้ำไป
แม้ภายใต้การจับจ้องของทุกคนเย่ชิงหานยังคงนิ่งเงียบอยู่อีกสักพัก จากนั้นดื่มน้ำชาในถ้วยลงไปแล้วพูดขึ้น “ทั้งเนื้อร้อง บทกลอน และการขับร้องล้วนยอดเยี่ยม แต่ว่า...ทัศนียภาพของบทกลอนและท่วงทำนองความคิดทางด้านศิลปะที่สรรค์สร้างขึ้นมากลับถูกไอ้โง่เง่าบางคนเหยียบย่ำเสียหมดสิ้น! ช่างน่าเศร้าเสียใจและน่าทอดถอนใจเสียจริง...”
หืม? คำพูดประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร?
เฟิงจื่อและฮวาเฉ่ารู้สึกแปลกประหลาดขึ้นเล็กน้อย หลงสุ่ยหลิวและเสว่อู๋เหินใบหน้ากลับเริ่มดำคล้ำขึ้นมาทันที พวกเขาฟังออกว่าคนโง่เง่าที่เย่ชิงหานพูดหมายถึงผู้ใด ส่วนเยว่เหนียงสายตาเปล่งประกายแสงวาบผ่าน มุมปากกระตุกขึ้นปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา ส่วนหญิงสาวที่อยู่ท้ายเรือที่ไม่เคยหันหน้ามาตอนนี้กลับหมุนตัวมาในทันใด ดวงตาคู่สวยสีดำแวววาวที่อยู่เหนือผ้าคลุมหน้าสีขาวเริ่มปรากฏแววของความสนใจขึ้นจางๆ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้