เรือนหลัก
ฮูหยินผู้เฒ่าจับมือบุตรสาวขึ้นมาถามอีกครั้ง "สองปีมานี้สบายดีหรือไม่?"
สิ้นถ้อยคำนี้ ซูเยียนหรันก็น้ำตาร่วงเผาะ
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็โบกมือไล่สาวใช้ออกไป เมื่อเห็นคนออกไปกันหมดแล้ว ก็ถามทันที "เ้าบอกข้ามา เื่เป็มาอย่างไรกันแน่?"
หลังจากนั้นก็ถามอย่างระมัดระวัง "แล้วก็... แล้วก็พวกเขาปฏิบัติต่อเ้าเช่นไร"
ฮูหยินผู้เฒ่าปวดร้าวใจขึ้นมา บุตรสาวแต่งงานไปไกลบ้าน หากมีสิ่งใด พวกนางอยู่ไกลขนาดนี้ ถึงอยากช่วยเหลือก็คงไม่ได้
"เ้าอย่าร้องไห้ รีบบอกแม่มา แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น กวานอิงรังแกเ้าหรือ?"
ซูเยียนหรันกัดริมฝีปาก "เขามีความกล้าเช่นนั้นเสียที่ไหน ไม่ใช่เขาหรอกเ้าค่ะ แต่เป็แม่สามี นางพูดกับข้าตลอดเวลาว่าข้าไม่สามารถมีบุตรได้ ดังนั้นจึงอยากจะยกญาติผู้น้องของกวานอิงมาเป็อนุ"
พอได้ยินเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถามทันที "เป็อนุ? บุตรสาวสกุลดีจะมาเป็..." แต่ต่อมาก็นึกขึ้นได้ "หรือว่าจะ เป็อนุสูงศักดิ์?"
ซูเยียนหรันพยักหน้า เอ่ยอย่างเจ็บแค้น "ตอนนี้พวกเขาถึงบีบคั้นข้ายิ่ง เดิมทีปีนี้ไม่อยากให้ข้ากลับมา กลัวว่าข้าจะกลับมาฟ้องอันใดกับพวกท่าน ยังข่มขู่ข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ข้าไหนเลยจะทนต่อไปได้ แค่ให้มีอนุสองคนปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเขา ข้าก็อดทนพอแล้ว คนนี้ไม่มีทางได้เป็อันขาด"
ซูเยียนหรันพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว "ญาติผู้พี่ญาติผู้น้องหรือ หากข้ารับหญิงแพศยาผู้นั้นเข้ามา หากนางสามารถให้กำเนิดบุตรแก่เขา ก็ไม่ใช่อีกก้าวเดียวก็มาแทนที่ข้าแล้วหรือ อีกอย่าง เื่ที่ไม่มีบุตรจะโทษว่าเป็ความบกพร่องของข้าได้อย่างไร อนุของเขาสองคนนั้นก็ยังไม่มีเหมือนกันมิใช่หรือ? เหตุใดพอข้าไม่มี กลับโยนความผิดมาให้ข้าอยู่ฝ่ายเดียว?"
ไม่ว่ายามอยู่ต่อหน้าคนนอกนางจะเสแสร้งแต่งจริตอย่างไร แต่ต่อหน้ามารดาย่อมไม่เหมือนกัน
ซูเยียนหรันคับแค้นใจอย่างมาก "ตอนแรกข้าเลือกเขาก็เพราะเห็นว่าฐานะทางบ้านเขาสู้พวกเราไม่ได้ คนก็ดูซื่อตรงดี มิเช่นนั้นข้าจะเลือกเขาได้อย่างไร แต่ดูตอนนี้สิ พวกเขาถึงกับข่มเหงข้าเยี่ยงนี้ ท่านแม่ หากญาติผู้น้องของเขาเข้าจวนมา แล้วมีบุตรขึ้นมาจริงๆ ข้าจะทำอย่างไร?"
ั้แ่ต้นจนจบฮูหยินผู้เฒ่าเพียงฟังอยู่เงียบๆ ไม่ขัดจังหวะนาง ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็จับมือซูเยียนหรัน "อย่าร้อง ทุกเื่ย่อมมีทางออก ควรแล้วหรือที่บุตรสาวของข้าจะร้องไห้ตีโพยตีพายเช่นนี้"
นางเว้นจังหวะ ก่อนยิ้มเยาะ "พวกเขา... กล้าข่มขู่เ้าเชียวรึ?"
ซูเยียนหรันกัดริมฝีปาก "ก่อนออกมา แม่สามีเรียกข้าไปพบ บอกว่าถึงบ้านมารดาของเ้าจะเก่งกล้าแล้วอย่างไร เ้าเป็คนสกุลเฉิง มีชีวิตในสกุลเฉิง ตายไปก็ต้องฝังในสุสานสกุลเฉิง ท่านแม่ ท่านอาจไม่รู้ สองปีมานี้ข้าลำบากยิ่งนัก นับวันแม่สามีก็ยิ่งข่มเหงข้าอย่างเปิดเผย ถูกเหล่าสะใภ้รวมหัวกันดูิ่เหยียดหยัน แม้แต่บ่าวในจวนก็ยังเพิกเฉยต่อข้า ข้า..."
นางสั่นไปทั้งตัว
เมื่อเห็นบุตรสาวที่ทะนงตนเสมอมาต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ปวดใจยิ่ง เดิมทียังนึกอยู่ว่าเหตุใดบุตรสาวกลับมาครานี้ถึงดูผิดหูผิดตานัก ที่แท้ก็ได้รับความไม่เป็ธรรมเยี่ยงนี้นี่เอง
"ลูกแม่ เ้าลำบากแล้ว แต่วางใจเถอะ แม่จะไม่ให้ใครหน้าไหนมาจองหองใส่เ้า หรือทำให้เ้าน้อยเนื้อต่ำใจเป็อันขาด"
ซูเยียนหรันอยากจะเช็ดน้ำตา ทว่าไม่ว่าจะเช็ดเท่าไรก็ไม่แห้งเสียที
"แล้วกวานอิงเป็อย่างไร เขาไม่แสดงท่าทีอันใดบ้างเลยรึ?" ฮูหยินผู้เฒ่าถาม
ซูเยียนหรันแค่นเสียงเยาะ ราวกับดูแคลนสามีผู้นี้อย่างมาก
"เขาน่ะหรือ จะทำอันใดได้? กลัวทั้งมารดาตนเอง กลัวทั้งข้า ไม่กล้าล่วงเกินทั้งสองฝ่าย เขาคงคิดจะนั่งเสพสุขมีทั้งภรรยาและอนุพร้อมมูลอยู่กระมัง เขากับญาติผู้น้องคนนั้นเล่นหูเล่นตากันมานานแล้ว แต่ถูกข้าตำหนิอย่างแรงก็เลยไม่กล้า แต่ก็คาดหวังให้มารดาช่วยออกหน้าแทนให้ บุรุษเช่นนี้เห็นแล้วก็น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ" ซูเยียนหรันกำหมัดแน่น ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าตนเองเลือกผิดั้แ่แรก
ตอนนั้นนางคิดแต่จะรีบแต่งออกไป อยากไปให้ไกลจากเมืองหลวง จึงเลือกบุรุษที่ตนเองสามารถบีบให้อยู่ในกำมือได้ แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี ความเป็จริงก็ตบหน้านางอย่างแรง
เหตุใด์ถึงไม่ช่วยนางบ้าง เหตุใดนางถึงไม่มีบุตรเสียที
"ท่านแม่ ท่านว่าเหตุใด์ถึงไม่เป็ธรรมกับข้าเช่นนี้ เพราะเหตุใดผู้อื่นล้วนมีบุตรเป็ของตนเอง แต่ข้ากลับไม่มี มีแต่ข้าที่ยังไม่มีสักคน ขนาดสตรีหยาบกระด้างอย่างพี่สะใภ้รองก็ยังมีได้ ไยข้าถึงไม่สามารถ? ข้าแย่ตรงไหนหรือ?"
น้ำตายังคงไหลไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่าตบหลังของนาง ปลอบประโลมไม่หยุด "ไม่ร้อง เยียนหรันอย่าร้อง เื่นี้เ้าไม่ต้องเป็ห่วง แม่จะไม่ให้ผู้อื่นรังแกเ้าเป็อันขาด ไม่ว่าสกุลเฉิงของพวกเขาหรือเฉิงกวานอิง ก็อย่าฝัน"
ใบหน้าของซูเยียนหรันเต็มไปด้วยความหมองเศร้า นางพูดอย่างเ็ป "แต่... แม่สามีก็พูดถูก อย่างไรเสียข้าก็ต้องกลับไป ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสกุลเฉิง ข้านึกเสียใจภายหลัง เสียใจที่เลือกไปอยู่ห่างไกลจากพวกท่าน ข้าเสียใจจริงๆ "
นางซบฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความโศกเศร้า
ฮูหยินผู้เฒ่าขยับแหวนหยกบนนิ้วมือ "เ้าไม่ต้องกังวล ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านให้ดีๆ"
ในที่สุดซูเยียนหรันก็หยุดร้องไห้ นางสงบอารมณ์อยู่นาน ถึงเอ่ยว่า "เพียงสองปี แม้แต่เด็กสองคนนั้นก็เติบโตแล้ว"
ในที่สุดดวงหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ้มออก นางกล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนละไมอย่างยิ่ง "ไกวเยว่กับฉีอันล้วนแต่เป็เด็กดี"
นี่คือฝาแฝดของเรือนสาม
ซูเยียนหรันเอ่ยเสียงเบา "พี่สะใภ้สามโชคดียิ่งนัก"
แท้จริงแล้วหลายปีมานี้ถึงนางจะไม่อยู่เมืองหลวงก็รู้ว่า สตรีที่ทำให้ผู้คนอิจฉาริษยาที่สุดในต้าฉีหาใช่ฮองเฮาผู้ซึ่งได้สวมมงกุฎหงส์สูงศักดิ์ที่สุดในแผ่นดินพระองค์นั้น แต่เป็ฉีอิ่งซินไท่ไท่สามของจวนซู่เฉิงโหว
หากเป็สตรีทั่วไม่เมื่อหมั้นหมายแล้วว่าที่สามีเกิดเสียชีวิต หากไม่ครองตัวเป็ม่าย ก็ต้องตบแต่งให้กับครอบครัวคนธรรมดา เพราะอย่างไรเสียก็เป็สตรีที่เคยหมั้นหมายมาก่อน แต่นางนอกจากจะไม่ต้องมีชะตาเยี่ยงนั้น ยังสามารถได้รับสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ และชาติตระกูลของสามีใหม่ก็มิได้ด้อยไปกว่าก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับแม่ทัพิ่หวายผู้นั้น ซูจิ้งหรั่นคุณชายสามสกุลซูก็ยื่งดูเป็คุณชายสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อม สง่างามยิ่งกว่า
มีพี่ชายอย่างฉีจือโจวคอยปกป้อง มีศิษย์พี่เป็ถึงฮ่องเต้คอยช่วยออกหน้าในเวลาสำคัญ มีทั้งสามีที่รักและทะนุถนอมนางกับบุตรที่น่ารักอีกสามคน
สตรีเช่นนี้มักทำให้คนอิจฉาริษยา
นึกถึงฉีจือโจว ซูเยียนหรันก็เ็ปเหมือนหัวใจถูกกระชาก นางรู้ เขากลับมาเมืองหลวงแล้ว
"ท่านแม่ เขา... เขาสบายดีหรือไม่?" นางควบคุมตนเองไม่อยู่จึงถามเช่นนี้ออกมา
"เยียนหรัน" ฮูหยินผู้เฒ่าเสียงเข้มขึ้นมา นางจ้องบุตรสาวเขม็ง เน้นหนักทุกคำทุกประโยค "ไม่ว่าเมื่อใดแม่ล้วนอยู่ข้างเ้าเสมอ บางเื่สามารถทำได้ แต่บางเื่... แม้แต่คิดก็ยังไม่ได้ เ้าเป็บุตรสาวจวนซู่เฉิงโหว ควรจะรู้สิ่งใดควรไม่ควร"
ซูเยียนหรันย่อมตระหนักได้ว่าตนเองแต่งงานแล้ว นางก้มหน้า หลั่งน้ำตาอีกครา แต่กลับยังยืนกรานหนักแน่น "ข้ารู้ ข้าเข้าใจ ั้แ่เขาปฏิเสธวันนั้นข้าก็ตาสว่างแล้ว"
หลายปีมานี้ยังเห็นไม่ชัดเจนอีกหรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ามองมาที่นาง กล่าวเตือนอย่างระมัดระวัง "ถึงแม้บุตรเขยจะย่ำแย่เพียงใดก็เป็เ้าที่เลือกเขาเอง ถึงฉีจือโจวจะดีมากเพียงไหน เขาก็ไม่ใช่ของเ้า"
"ข้ารู้ ข้ารู้ทุกอย่าง..." นางน้ำตาร่วง "เดิมทีข้านึกโทษพี่สะใภ้สาม รู้สึกว่าเป็ความผิดของนาง หากนางไม่แต่งเข้ามา ฉีจือโจวก็อาจแต่งกับข้า แต่เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว เขาก็ยังคงไม่มีผู้อื่น ข้าคิดว่าในใจเขาคงมีเพียงภรรยาของเขาจริงๆ ท่านแม่ ข้าเห็นทะลุปรุโปร่งแล้ว และข้าก็เข้าใจดียิ่ง ท่านพูดถูก หนทางแม้ย่ำแย่เพียงใด ล้วนเป็ข้าที่เลือกเอง ข้าจึงต้องกัดฟันเดินต่อไป ทำได้เพียงเท่านี้"
…
่มื้อเย็นเฉียวเยว่แอบชำเลืองท่านอาของตนเองอยู่หลายหน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะแต่งหน้าเข้ม แต่เฉียวเยว่ฟันธงได้ว่านางต้องร้องไห้มาอย่างหนักเป็แน่ แต่งหน้าหนาเพียงนี้ก็ยังปกปิดไม่อยู่ ทว่ากลับแสร้งกลบเกลื่อนว่ามีความสุข
ท่านปู่และท่านลุงใหญ่ ดูเหมือนจะดีใจเป็พิเศษ
แต่ท่านลุงรองกลับค่อนข้างเฉยชากับท่านอาของนาง
อาจเป็เพราะเขาเห็นสายตาของเฉียวเยว่ จึงหันมายิ้มยิงฟันให้ คล้ายอยากแสดงความเป็มิตร
แต่เฉียวเยว่สาบานได้ รอยยิ้มนี้เหมือนจะขู่เด็กให้ร้องไห้เสียมากกว่า
นางแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ แล้วกินข้าวต่อ
ิเยว่เห็นนางกินถึงสองชาม เยอะยิ่งกว่าตนเอง ก็ถอนหายใจ "เฉียวเยว่กินเยอะจริงๆ หรือว่าเมื่อตอนบ่ายเ้าไม่ได้กินขนม?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "กินเ้าค่ะ แต่ขนมกับข้าวไม่เหมือนกัน พี่หญิงใหญ่ ข้าอยากกินเนื้อ ท่านคีบให้ข้าได้หรือไม่?"
แม้อายุเพียงห้าขวบ แต่เฉียวเยว่เป็คนที่กินเก่งที่สุดในบรรดา "สตรี" ทุกคนในจวน แม้แต่ไท่ไท่รองซึ่งตั้งครรภ์อยู่ยังกินสู้นางไม่ได้
เห็นนางกินเก่งเช่นนี้ ไท่ไท่รองก็อยากจะพูดเหน็บแนมสักสองสามประโยค แต่มีซูซานหลางคอยปกป้อง ฮูหยินผู้เฒ่าก็รักเด็กน้อยคนนี้หนักหนา นางพูดมากไม่ได้ หากก่อเื่เวลานี้มีแต่จะขายหน้าเปล่าๆ
นางไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าเฉิงกวานอิง
แต่ถึงจะเป็เช่นนี้ ก็ยังมองเฉียวเยว่พลางแค่นเสียงหึ
เฉียวเยว่คร้านจะสนใจนาง อายุมากขนาดนี้แต่สติปัญญากลับไม่โตตามอายุ
"เฉียวเยว่"
ซูเยียนหรันขานเรียก
เฉียวเยว่เงยหน้าขึ้น ปากเล็กจ้อยมีอาหารอัดอยู่เต็มปากจนแก้มป่องทั้งสองข้าง
"อีอันไออื๋อเอ้าอ๊ะ อั้นอา (มีอันใดหรือเ้าคะ ท่านอา)" ท่าทางไม่เห็นเป็คนนอก แต่เพราะมีอาหารอยู่เต็มปากจึงพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก
"ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่า ปิ่นไข่มุกนี้เ้ากับฉีอันทำกันเองเพียงสองคนหรือ?"
แท้จริงแล้วเมื่อเช้าเฉียวเยว่ก็บอกนางแล้ว แต่ตอนนั้นนางนึกว่าก็เพียงพูดไปอย่างนั้นเอง มิได้เก็บมาใส่ใจ แต่ตอนบ่ายได้ยินมารดาเอ่ยถึงอีก จึงรู้ว่าพวกเขาใช้เวลาทำถึงสิบกว่าวัน
เฉียวเยว่พยักหน้า "ใช่เ้าค่ะ ฝีมือของข้าดีหรือไม่? ข้าคือผู้เชี่ยวชาญงานฝีมือ"
ซูเยียนหรันทอยิ้มน้อยๆ "สวยมาก"
หลังจากนั้นก็หันไปถามิเยว่ "ถุงเหอเปา เ้าก็ทำเองหรือ?"
ิเยว่ยิ้ม "ใช่เ้าค่ะ ท่านอา"
"อาไม่รู้เลยว่าพวกเ้าทำขึ้นมาเอง พวกเ้าเก่งกันทุกคน"
หลังจากชื่นชม ก็ชำเลืองไปที่เฉิงกวานอิง แล้วยิ้มเหยียดอย่างเ็า
เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแท้ๆ ดูเด็กบ้านของนาง กับเด็กของบ้านสกุลเฉิงเ่าั้ ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ
เฉิงกวานอิงรับรู้ได้ถึงสายตาของนาง ก็เม้มปาก ก้มหน้าไม่แสดงท่าทีอันใด
เฉียวเยว่มองคนนี้ที มองคนโน้นที ก็รู้สึกว่าครอบครัวของท่านอาคงจะไม่สมัครสมานกันมากนัก
ทันใดนั้นก็พูดเสียงดัง "ท่านอา ท่านอาเขย บ้านของพวกท่านอยู่ไกลมากเลยหรือ?"
นางยื่นมือออกมาทำท่าเปรียบเทียบ "ไกลขนาดนี้เลยใช่หรือไม่?"
เฉิงกวานอิงพยักหน้ายิ้ม "ใช่ ไกลมาก"
หัวไชเท้าน้อยคนนี้ชื่ออะไร?
หลังจากนั้นก็ถามต่อ "แล้วเสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกท่านทางโน้นรูปแบบเหมือนกับเมืองหลวงหรือไม่?"
เฉิงกวานอิงยิ้ม "ย่อมเหมือนกัน ล้วนเป็อาภรณ์ของต้าฉี" เหตุใดจึงถามเื่นี้?
เฉียวเยว่ดึงเปียน้อยๆ ของตนเอง "เช่นนั้นมีของกินที่อร่อยเป็พิเศษหรือไม่?"
อ้อมไปเสียหนึ่งรอบ ก็เพื่อเื่นี้!
ซูซานหลางขบกรามกรอด "เฉียวเยว่ ก้นน้อยๆ ของเ้าคันมากใช่หรือไม่?"
เฉียวเยว่ยกมือปิดก้นทันควัน "ตีเด็กไม่ได้นะเ้าคะ"
ซูเยียนหรันหัวเราะพรืด "น้อยนักที่จะได้เห็นพี่สามเป็เช่นนี้"
ดวงหน้าอวบอิ่มของเฉียวเยว่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม เื่สร้างบรรยากาศครึกครื้นต้องยกให้สาวน้อยโลลิเช่นนาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้