เมื่อเ้าของจวนและแขกที่มาอย่างฟู่หลงเหยียนเข้ามานั่งในห้องทานอาหาร ก็เกิดอาการเช่นเดียวกับเ้าของจวนเมื่อสองวันก่อนเช่นกัน เมื่อเขาเห็นอวี้จิ่นใช้มือข้างที่าเ็ได้อย่างคล่องแคล่วไม่มีการเ็ป แม้แต่ผ้าพันแผลก็ไม่มีคนอื่น ๆ พอเห็นอาการของฟู่หลงเหยียนก็หัวเราะออกมาเบา ๆ เนื่องจากอาการนี้มันช่างคล้ายกับพวกตนเสียเหลือเกิน จนอวี้จิ่นต้องอธิบายว่านางมียารักษาแผลที่ดีกว่าท่านหมอ จึงทำให้นางหายเร็วกว่าปกติซึ่งมันไม่ใช่เื่แปลกเพราะแผลมิได้ลึกถึงกระดูก
“เอ่อ จิ่นเอ๋อร์มิใช่ว่าพี่ไม่อยากเชื่อหรอกนะแต่ว่ายาที่เ้าบอกมามันมีอยู่จริงเช่นนั้นหรือ หากคนชั่วเห็นแก่ตัวรู้เื่ยานี้เข้าเ้าจะไม่เป็อันตรายรึจิ่นเอ๋อร์” ฟู่หลงเหยียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเื่ยาในครั้งนี้
“อืม นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่ายานี้ข้าจะใช้กับผู้ใดอีกนั่นแหละเ้าค่ะ พี่ใหญ่กับพี่ชายฟู่ไม่น่าจะกลัวเจ็บจากการถูกของมีคมบาดกระมังเ้าคะ” อวี้จิ่นรู้อยู่แล้วว่าเื่นี้ทำใจให้เชื่อได้ยากหากไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นกับตา
“แน่นอนสิจิ่นเอ๋อร์พี่เป็ทหารในกองทัพเชียวนา กับแค่แผลเล็ก ๆ อย่างที่เ้าพูดมาจะกลัวไปใยแล้วเ้าถามไปทำไมรึ” เจียงหยวนได้ทีขอโอ้อวดเื่ของตนเองกับน้องสาวเสียหน่อย
“เพราะข้า้าให้พวกท่านสองคนทำให้ตนเองมีแผลบนฝ่ามือ จากนั้นพวกเราจะมาพิสูจน์กันว่ายาวิเศษกระปุกนี้ จะเป็ยาวิเศษสมชื่ออย่างที่ข้ายืนยันกับพวกท่านหรือไม่เ้าค่ะ” แค่พูดใครจะเชื่อ
“ฉึบ!!”
“ขวับ!! อาเหยียนเ้าจะรีบไปที่ใดข้ายังไม่ทันได้หยิบมีดเลยนะ”
“เพื่อพิสูจน์ว่าจิ่นเอ๋อร์มิใช่คนพูดโกหก หรือโอ้อวดสรรพคุณของยาเกินจริงอย่างไรเล่า จิ่นเอ๋อร์เ้าใช้ยาทาบนแผลตามที่บอกกับทุกคนไว้เถิด” ฟู่หลงเหยียนลงมืออย่างรวดเร็ว ด้วยความอยากรู้ในสิ่งที่อวี้จิ่นบอกเกี่ยวกับยากระปุกนี้
“เ้าค่ะพี่ชายฟู่ ทุกคนดูให้ดีอย่าได้กระพริบตานะเ้าคะ”
อวี้จินย้ำกับทุกคนในห้องนี้อีกครั้งแม้แต่คนสนิททั้งหลาย ยังแอบขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อดูผลของยากระปุกน้อยในมือบาง จากนั้นไม้พายเล็ก ๆ ได้ใช้ตักยาออกมาป้ายลงบนแผลของฟู่หลงเหยียน ทุกคนไม่กล้าหายใจแรงหรือกระพริบตาด้วยเกรงว่าจะพลาด่เวลาสำคัญไป
แค่หนึ่งลมหายใจาแบนมือหนาค่อย ๆ ประสานเป็เนื้อเดียวกัน คล้ายกับว่าไม่เคยมีาแอย่างไรอย่างนั้นคราวนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อได้เห็นสรรพคุณของยากับตาตนเองทุกคนเกิดความเงียบปกคลุมภายในห้องในบันดลไม่มีใครกล้าเอ่ยอันใด อวี้จิ่นหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีทนไม่ไหวจึงส่งเสียงเรียกสติกันเสียหน่อย
“อะ ฮึ่ม ๆ”
“เฮือกก!! มะ มะ มันช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้วจิ่นเอ๋อร์ นี่น้องรักเ้ามียาเช่นนี้อยู่กี่มากน้อยพอจะบอกพี่ใหญ่ได้หรือไม่ พี่ใหญ่มิได้อยากได้เป็ของตนเองหรอกนะแต่อยากให้กองทัพมียาของเ้าไว้เท่านั้น”
“พ่อเองก็อยากรู้เช่นกันจิ่นเอ๋อร์ถ้ายังพอมีเหลือเ้าช่วยแบ่ง ไม่ใช่ ๆ ๆ พ่อจะซื้อกับเ้าเองเ้าตั้งราคาขายมาได้เลย หากมีศึกายานี้ย่อมช่วยชีวิตทหารในกองทัพได้มากเป็แน่” แม่ทัพใหญ่ย่อมคิดเช่นเดียวกับบุตรชายที่อยากให้กองทัพมียานี้ของอวี้จิ่น
“แต่ท่านลุงขอรับหากมีคนรู้สรรพคุณของยานี้ จิ่นเอ๋อร์จะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือกับพวกขุนนางและคนทั่วไป พวกเรายังพอปกป้องจิ่นเอ๋อร์ได้แต่หากเป็ความประสงค์จากวังหลวงเล่า ที่ข้าพูดเช่นนี้มิได้เกรงกลัวว่าจะปกป้องจิ่นเอ๋อร์ไม่ได้นะขอรับ ถึงจะกลายเป็ฏข้าย่อมไม่กลัวอยู่แล้วแต่ท่านป้าและฮูหยินผู้เฒ่า จะได้รับอันตรายไปด้วยการใช้ชีวิตของทุกคนก็ยากขึ้นไปอีกผู้ใดบ้างไม่อยากยาวิเศษอาจจะถึงขั้นบังคับให้จิ่นเอ๋อร์ คิดค้นและปรุงยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตที่ยืนยาวก็เป็ได้นะขอรับท่านลุง” ฟู่หลงเหยียนไม่เคยเกรงกลัวอำนาจของเชื้อพระวงศ์ เพราะงานและหน้าที่ของตนนั้นทำตามกฎหมายของแคว้น แต่การลงมืออย่างลับ ๆ เพื่อจัดการศัตรูผู้ใดไม่ทำบ้าง
“อาเหยียนพูดมาก็ถูกนะลูกแม่แม้แต่หมอที่ผู้คนยกย่องว่าเป็หมอเทวดา ยังไม่สามารถปรุงยารักษาาแได้อย่างจิ่นเอ๋อร์ ถ้ามีคนรู้มากและนำไปพูดต่อจนเกินพอดีย่อมมีปัญหาตามมา” ฮูหยินผู้เฒ่าคิดแล้วก็เห็นด้วยกับฟู่หลงเหยียน
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดีล่ะเ้าค่ะท่านพี่ ลูกของเรามีความสามารถทั้งทีกลับมีทั้งคุณและโทษเช่นนี้”
“ทุกคนเ้าคะที่พี่ชายฟู่พูดมาก็มีเหตุผลรับรองในตัวอยู่แล้ว แต่ข้าอยากจะบอกว่าตัวยาที่มีสรรพคุณกระปุกนี้ จะมอบให้เฉพาะพวกท่านเท่านั้นจะไม่นำไปใช้กับคนหมู่มากเด็ดขาดเ้าค่ะ สำหรับเื่การช่วยชีวิตทหารข้าย่อมเห็นด้วยหากมันสามารถช่วยได้ ฉะนั้นจะมีการปรับสรรพคุณของยาชนิดนี้ลงไปส่วนหนึ่ง เมื่อใช้ยาสูตรใหม่าแจะเริ่มดีขึ้นหลังจากผ่านไปสามวันดีหรือไม่เ้าคะ จะได้ดูไม่ต่างจากยาของหมอท่านอื่นมากนักเพียงแต่ยาของข้าช่วยเื่แผลเป็ด้วยเท่านั้นเองเ้าค่ะ” อวี้จิ่นคิดเอาไว้แล้วว่านางจะไม่นำยาเช่นที่ตนเองใช้ นำออกมาขายอย่างเด็ดขาดหากไม่มีเหตุจำเป็ถึงขั้นอาการหนัก
“ในเมื่อจิ่นเอ๋อร์สามารถทำได้พวกเราย่อมเบาใจ แต่อย่างไรเสียพ่อจะหาองครักษ์มาเพิ่มให้เ้าอีกสักหนึ่งคน คนนี้พ่อจะคัดเลือกสตรีมาเพื่อคอยดูแลใกล้ชิดเ้าด้วยนะ” แม่ทัพใหญ่คิดว่าเพียงแค่ตงลู่อาจรับมือยากหากฝ่ายที่มาหาเื่มีจำนวนมากกว่า
“ท่านลุงเื่องครักษ์ที่เป็สตรีปล่อยให้เป็หน้าที่ของข้าเถิดขอรับ กองกำลังของตระกูลฟู่มิได้ฝึกเพียงแค่บุรุษเท่านั้นบางทีงานสำคัญและละเอียดอ่อนจำเป็ต้องใช้สตรีลงมือ หลังจากจัดการเื่การค้าเกลือเถื่อนสำเร็จข้าจะพาคนมาส่งด้วยตนเองขอรับ” ฟู่หลงเหยียนเคยคิดเื่นี้มาก่อนแล้วจึงได้ส่งตงลู่มาเป็คนแรก
“อากุ่ยแม่เชื่อว่าคนที่อาเหยียนส่งมาย่อมเชื่อฟังจิ่นเอ๋อร์ และความสามารถด้านวรยุทธ์ย่อมไม่ธรรมดาเช่นกันเ้าก็รับไว้เถิด”
“ขอรับท่านแม่ อาเหยียนลุงต้องรบกวนเ้าอีกครั้งแล้ว หลังจากจัดการเื่ในท้องพระโรงวันพรุ่งนี้จบพวกเรามาฉลองด้วยกันเป็อย่างไร” ที่แม่ทัพใหญ่ยอมรับปากตามที่มารดาพูด เนื่องจากว่ากองกำลังของตระกูลเจียง มิได้ฝึกสตรีไว้ทำงานทุกคนล้วนมีแต่บุรุษทั้งสิ้น
“ขอรับท่านลุง”
“โครกกก!!”
“หืม นี่พวกเราลืมเื่สำคัญไปใช่หรือไม่” แม่ทัพใหญ่ได้ยินเสียงท้องร้องใกล้ ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“แฮะ ๆ ๆ ท่านพ่อเ้าคะพวกเรามัวแต่พิสูจน์ยาของข้านี่นา อาหารบนโต๊ะมันเริ่มจะเย็นแล้วประเดี๋ยวจะทานไม่อร่อยนะเ้าคะ ตอนนี้สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือการทานอาหารเช้ามากกว่าเ้าค่ะ” อวี้จิ่นแอบเขินอายเสียงท้องร้องของตนที่ดังไม่เลือกเวล่ำเวลา
“ฮ่า ๆ ๆ พ่อขอโทษจิ่นเอ๋อร์เช่นนั้นพวกเรานั่งลงทานข้าวกันเถิด นี่ก็เลยเวลาไปมากแล้วเื่อื่นยังมีเวลาพูดคุยกันอีกมาก”
และแล้วเจียงหยวนก็ได้ชิมอาหารฝีมือของน้องสาวเสียทีแม้จะเป็อาหารง่าย ๆ แต่ทุกคนก็ลงความเห็นว่าอร่อยมาก จนเจียงหยวนอดคิดถึงคำพูดของสหายที่กระซิบบอกไม่ได้ เพราะฟู่หลงเหยียนและคนสนิทต่างได้ทานอาหารที่หลากหลายจากอวี้จิ่นนั่นเอง หลังอาหารมื้อเช้าฟู่หลงเหยียนอยู่พูดคุยเพียงครึ่งชั่วยามก็ขอตัวกลับ เพื่อกลับไปจัดเตรียมหลักฐานสำหรับการประชุมยังท้องพระโรงในวันพรุ่งนี้
เช้าวันใหม่ที่ยังไร้แสงตะวันสาดส่องถนนในเมืองหลวง เริ่มมีเสียงรถม้าทยอยวิ่งไปยังประตูทางเข้าวังหลวง ซึ่งวันนี้ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์เรียกตัวขุนนางเข้าประชุมยังท้องพระโรงอันโออ่า เนื่องจากทรง้าทราบความคืบหน้าการแก้ปัญหาของราษฎร ที่พระองค์ทรงได้มอบหมายให้หลายฝ่ายจัดการงานเหล่านี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรในแคว้นจ้าวให้ดีขึ้น
ขุนนางตำแหน่งน้อยใหญ่ต่างตบเท้าเดินเข้าท้องพระโรงอย่างต่อเนื่อง การแบ่งกลุ่มพูดคุยย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าใครอยู่ร่วมกับฝ่ายใดอำนาจในมือของใครมีมากกว่ากัน จนได้เวลาเสด็จออกว่าราชการของฮ่องเต้เสียงพูดคุยก่อนหน้านี้จึงได้หยุดลง
“ฝ่าาเสด็จแล้วววว”
“ถวายบังคมฝ่าาของจงทรงพระเจริญพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ขุนนางทุกท่านลุกขึ้นได้ วันนี้เจิ้นหวังเป็อย่างยิ่งว่าขุนนางทุกท่าน คงได้ทำตามคำสั่งของเจิ้นแล้วกระมัง” ฮ่องเต้ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบนิ่ง และทอดพระเนตรไปยังขุนนางที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
"ทูลฝ่าาพระบัญชาของพระองค์ มิมีขุนนางคนไหนไม่กล้าปฏิบัติตามแน่พ่ะย่ะค่ะ แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนำไปปฏิบัติจนเห็นผลหรือมีคนเฉื่อยชาทำบ้างหยุดบ้างจนงานเสร็จล่าช้า จนเกิดปัญหาเพิ่มไม่รู้จบงบประมาณบานปลายราษฎรที่เดือดร้อนอยากจะร้องเรียน ก็ไม่สามารถทำได้เพราะพวกเขาย่อมเกรงกลัวอำนาจของขุนนางพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ฟู่กั๋วกงพูดมีเหตุผลจิตใจของคนเรายากแท้หยั่งถึง แม้เจิ้นจะมีหูตามากมายแต่ใช่ว่าคนเ่าั้จะรายงานข้อเท็จจริงเสมอไป เอาล่ะเสนาบดีห่าวปัญหาเื่ภัยแล้งขาดแคลนน้ำทำการเกษตร ยามนี้ไปถึงไหนแล้วรึเจิ้นไม่เห็นฎีการรายงานความคืบหน้ากลับมา ท่านพอจะมีคำอธิบายกับเจิ้นหรือไม่” เื่นี้ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งไปเกือบสามเดือนแล้ว แต่การทำงานแทบจะไม่มีรายงานกลับมาเมืองหลวงสักนิด
“ทูลฝ่าายามนี้เ้าหน้าที่ของทางเมืองสุ่ยโจว กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอย่างหนักแต่ยังไม่อาจพบต้นตอของเื่นี้ได้พ่ะย่ะค่ะ” ห่าวซวนเสนาบดีกรมการเกษตรตอบฮ่องเต้อย่างไม่เต็มเสียงนัก
“หืม ท่านอย่าบอกนะว่าผ่านมานานถึงเพียงนี้ยังแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วราษฎรจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรเมื่อยังหาสาเหตุไม่ได้ ทำไมท่านไม่ขอความช่วยเหลือหรือเข้ามาหารือกับเจิ้น อย่างน้อยจะได้หาทางออกของเื่นี้เพื่อช่วยเหลือราษฎรได้บ้าง แต่ท่านกลับปิดปากเงียบหรือตำแหน่งที่ได้มา มันไม่ใช่ผลงานของท่านรึเสนาบดีห่าว!!” ฮ่องเต้ไม่คิดว่าจะทรงได้รับคำตอบเช่นนี้จากขุนนางที่มีตำแหน่งเป็ถึงเสนาบดี
“ฝ่าาโปรดระงับโทสะ กระหม่อมเห็นว่าพระองค์ทรงงานหนักอยู่ทุกวัน จึงไม่อยากนำเื่นี้ไปทำให้ทรงเหน็ดเหนื่อยเพิ่มเท่านั้น และกระหม่อมได้ส่งคนไปที่เมืองสุ่ยโจวแล้วเพื่อช่วยค้นหาสาเหตุที่แท้จริงพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีห่าวเริ่มเหงื่อตกเนื่องจากที่เมืองสุ่ยโจว ยังไม่มีการดำเนินการแก้ไขใด ๆ ทั้งสิ้นและเงินช่วยเหลือก็ถูกแบ่งไปแล้ว
“ฝ่าาเื่ภัยแล้งเป็เื่ใหญ่คงต้องใช้เวลาแก้ปัญหาสักหน่อย เพราะปีนี้แคว้นจ้าวของเราประสบปัญหาหลายด้านติดต่อกันจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีเซียงออกมาแก้ต่างให้กับเสนาบดีห่าว
“หึ เสนาบดีเซียงที่ท่านพูดมาเจิ้นย่อมรู้อยู่แล้วว่าปีนี้มีปัญหามากมายหลายด้าน แล้วพวกท่านที่ได้ตำแหน่งใหญ่โตเคยสอบด้วยการตอบคำถามได้คะแนนอันหนึ่ง ยามเป็บัณฑิตความคิดอยากทำเพื่อราษฎรพรั่งพรูเป็หน้ากระดาษ แต่ยามนี้ดูพวกท่านแต่ละคนสนใจแต่อำนาจในมือ ราษฎรก็แค่เครื่องมือหาเงินเพื่อให้พวกท่านอยู่อย่างสุขสบายในเมืองหลวง ทั้งที่พวกท่านเองก็เคยผ่านการมีชีวิตที่ยากลำบากมาก่อนมิใช่รึ!!” ฮ่องเต้ทรงได้ยินเสนาบดีเซียงพูดเข้าข้างขุนนาง
ฝ่ายเดียวกันก็เริ่มทรงกริ้ว
่เวลานี้เป็โอกาสดีที่ฟู่กั๋วกงจะได้ยื่นถวายหลักฐาน เพื่อกำจัดขุนนางกังฉินผู้เอาเปรียบราษฎรมานานเสียที ครั้งนี้ถือว่าได้ถอนรากถอนโคนคนชั่วออกจากราชสำนัก ส่วนในอนาคตหากจะมีขุนนางเช่นนี้เกิดขึ้นมาอีก การปราบปรามยังคงจะดำเนินการต่อไปเช่นเดิม ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรไปทางฟู่กั๋วกงและฟู่หลงเหยียนสองพ่อลูก จากนั้นจึงพยักพระพักตร์เล็กน้อยโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
“ฝ่าากระหม่อมฟู่หลงเหยียนจากสำนักตรวจการ มีเื่กราบทูลถึงขุนนางระดับสูงได้กระทำความผิด จากความหลงใหลในอำนาจ จึงได้สร้างความเสียหายให้ราชสำนักเป็อย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็เื่เกี่ยวกับอะไรเชิญใต้เท้าฟู่พูดมาให้ละเอียด หากเป็เื่ที่ไม่อาจให้อภัยได้ขุนนางเ่าั้ต้องรับโทษหนักทันที” ฮ่องเต้ทรงชื่นชมฟู่หลงเหยียน ั้แ่เข้ามาเป็สหายร่วมเรียนกับรัชทายาท
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าา จากรายงานลับที่กระหม่อมได้มาเกี่ยวกับการลักลอบค้าเกลือเถื่อน จนทำให้ราคาเกลือในแคว้นจ้าวเกิดปัญหาขึ้น กระหม่อมได้เดินทางไปสืบเื่นี้ด้วยตนเองยังเมืองเฉียนโจว ที่มีข่าวลือเื่ผีสาวออกอาละวาดจนผู้คนไม่กล้าออกนอกเรือนยามค่ำคืน อันที่จริงแล้วเื่ผีสาวนี้เป็เพียงฉากบังหน้าเท่านั้น เพื่อไม่ให้ชาวบ้านพบเห็นการขนเกลือเถื่อนเข้ามาขาย ขุนนางชั่วจึงคิดวิธีที่ผู้คนกลัวออกมาและมันได้ผลเช่นนั้นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ” ฟู่หลงเหยียนกล่าวรายงานไปลอบมองไปทางเสนาบดีจินและพรรคพวกไป
“ปัง!!! บังอาจยิ่งนัก ราษฎรของเจิ้นต้องเดือดร้อนอีกมากเพียงใดกับขุนนางชั่วพวกนี้ ใต้เท้าฟู่ท่านตามสืบจนพบผู้อยู่เื้ัหรือไม่ มีหลักฐานบ่งชี้ถึงคนผู้นี้มามอบให้กับเจิ้นไหม”
“ทูลฝ่าากระหม่อมสืบจนพบทั้งหลักฐานและผู้ที่อยู่เื้ั นักโทษที่กระหม่อมนำตัวมาจากเมืองเฉียนโจวต่างรับสารภาพ รวมถึงบอกรายชื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ในส่วนของหลักฐานกระหม่อมได้มอบให้กับอัครมหาเสนาบดีฟู่กั๋วกง เป็ผู้เก็บรักษาดูแลเพื่อป้องกันมิให้ขุนนางที่กระทำความผิด ส่งคนมาแย่งชิงหลักฐานเหล่านี้ไปทำลายก่อนจะนำมาถวายกับฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าาหลักฐานทั้งหมดอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ตัวการใหญ่ที่เป็ผู้บงการเื่ค้าเกลือเถื่อนคือเสนาบดีจินจือคง เส้นทางการเงินที่กระจายแบ่งให้พรรคพวกมีทั้งเสนาบดีเหมา เสนาบดีห่าวและเสนาบดีเซียงรวมถึงขุนนางผู้ช่วยอีกมาก ซึ่งรายชื่อของทุกคนปรากฏอยู่ในหลักฐานนี้ทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กั๋วกงก้าวออกไปนำหลักฐานที่ซ่อนไว้อย่างดีถวายต่อฮ่องเต้ทันที
“ฟู่กั๋วกง! ท่านอย่าได้ใส่ร้ายผู้อื่นเช่นนี้ ฝ่าากระหม่อมไม่เคยทราบเื่เกลือเถื่อนมาก่อน อาจมีการเข้าใจผิดที่คลาดเคลื่อนหรือมีคนจงใจให้ร้ายกระหม่อมก็เป็ได้พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีจินรีบออกมาแก้ต่างให้ตนเองก่อนใคร
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมอยู่ถวายการรับใช้ฝ่าาที่เมืองหลวง จะร่วมมือทำเื่เลวร้ายลับหลังได้อย่างไรฝ่าาอย่าทรงเชื่อนะพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีเซียงร้อนตัวเพิ่มอีกคน สิ่งนี้ยิ่งกระตุ้นให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วมากขึ้น
“ฝ่าาโปรดพิจารณาให้ความเป็ธรรมแก่พวกกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!!” ขุนนางฝ่ายเสนาบดีจินต่างคุกเข่าร้องขอต่อฮ่องเต้
“หึ พวกเ้าทำการทุจริตมาหลายปีถึงเพียงนี้ยังคิดจะปกปิดความผิดของตน และกล่าวว่าถูกผู้อื่นให้ร้ายหวังให้พวกเ้าถูกลงโทษ เพื่อคนเ่าั้จะได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งแทนงั้นรึ คิดว่าเจิ้นเป็ฮ่องเต้โง่เขลาไม่รับรู้สิ่งที่พวกเ้าวางแผนแย่งชิงอำนาจหรืออย่างไร ห๊า!!”
“ฝ่าานอกเหนือจากนี้เื่ที่พระองค์เคยสงสัย คนที่กระหม่อมส่งไปสืบข่าวได้รายงานกลับมาว่า ตระกูลเซียงได้เปิดโรงรับฝากเงินยังเมืองชายแดนทิศบูรพา เงินงบประมาณที่ถูกยักยอกไปย่อมมีตราประทับของราชสำนัก คนพวกนี้จึงนำไปสับเปลี่ยนและกระจายเงินเสียก่อน จากนั้นค่อยแลกกลับมาโดยออกเป็ตั๋วเงินในนามโรงรับฝากเงินตระกูลเซียงพ่ะย่ะค่ะ คนชั่วไม่จำเป็ต้องออกหน้าเองเสมอไปมิใช่หรือท่านเสนาบดีจิน แค่สั่งการอยู่เื้ัแสร้งเป็คนหน้าซื่อใจคตง่าย ๆ เช่นนี้ผู้ใดก็ทำได้” เื่นี้ฟู่หลงเหยียนได้มอบให้ฉู่โม่เดินทางไปสืบอย่างลับ ๆ
“ปัง!! ดี ดี ดีจริง ๆ ขุนนางของเจิ้นล้วนดีมากจริง ๆ มีทั้งพยานและหลักฐานให้เห็นอยู่ทนโท่ ยังจะบอกว่าตนเองไม่ผิด คิดจะให้ขุนนางระดับล่างตายแทนพวกเ้าทุกคนสินะ เสนาบดีจินเ้ามักใหญ่ใฝ่สูงอยากเป็พระอัยกาของฮ่องเต้องค์ใหม่สินะ ถึงได้ใช้เงินมากมายเลี้ยงดูกองกำลังไว้นับหมื่นนาย มิน่าเล่าจินกุ้ยเฟยถึงได้คัดเลือกแต่บุตรสาวของพวกท่านแต่งเข้าตำหนักองค์ชายหก” ฮ่องเต้ทรงพิโรธกับแผนการ่ชิงอำนาจของพระองค์ จากพระโอรสองค์ที่หกอย่างจ้าวเทียนฉี
“ฝ่าามิใช่เลยกระหม่อมมิกล้าทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน โปรดไตร่ตรองด้วยเถิดกระหม่อมถูกปรักปรำพ่ะย่ะค่ะ ต้องมีคนสั่งการให้เ้าเมืองเฉียนโจวใส่ร้ายกระหม่อมเป็แน่ฝ่าา” เสนาบดีจินต้องยืนกระต่ายขาเดียว เพื่อให้ตนพ้นผิดแม้หลักฐานตรงหน้าจะเป็ของจริง
“เมื่อมีพยานหลักฐานครบเช่นนี้ยังจะบอกว่าถูกปรักปรำ พวกเ้ามันเห็นแก่ตัวเกินเยียวยาแล้วจริง ๆ ทหาร!! ลากตัวขุนนางพวกนี้ออกไปขังไว้ยังคุกหลวง รวมถึงทุกคนที่อยู่ในจวนแต่ละตระกูลทั้งสายหลักและสายรอง ขุนนางพวกนี้กับครอบครัวต้องถูกปะาเจ็ดชั่วโคตรในข้อหาเป็ฏแผ่นดิน ปลดจินกุ้ยเฟยเป็ไฉ่เหรินส่งนางไปตำหนักเย็น องค์ชายหกปลดเป็สามัญชนเนรเทศไปชายแดนทันที” ฮ่องเต้ทรงตัดสินโทษตามพยานหลักฐานที่ฟู่หลงเหยียนนำมา เนื่องจากเื่นี้เป็รับสั่งลับของฮ่องเต้ ที่ทรง้ากำจัดขุนนางกังฉินออกจากราชสำนัก
“ฝ่าา!! กระหม่อมถูกปรักปรำจินกุ้ยเฟยและองค์ชายหกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ เลยพ่ะย่ะค่ะฝ่าา!!”
“กระหม่อมถูกเสนาบดีจินหลอกใช้พ่ะย่ะค่ะฝ่าา โปรดเมตตาพวกกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าา”
“ฝ่าา!! กระหม่อมผิดไปแล้วขอโอกาสให้พวกกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงร่ำร้องขอพระเมตตาจากฮ่องเต้ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่มีอยู่หนึ่งคนที่ยามนี้ไม่ได้สนใจเสียงร้องไห้คร่ำครวญใด ๆ นอกจากจะสนใจมือทั้งสองข้างตนเองที่มันกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง เจียงกุ้ยฉินเริ่มตกอยู่ในพะวังของตนั้แ่ฟู่หลงเหลียนกราบทูลถวายรายงานกับฮ่องเต้ เขาสังเกตเห็นว่ามือของตนเริ่มเหี่ยวย่นทีละนิด คราแรกเจียงกุ้ยฉินคิดว่าตนตาฝาดแต่เมื่อเพ่งมองให้ดีิัเริ่มเหี่ยวย่นจริง ๆ
เมื่อขุนนางชั่วกลุ่มแรกถูกนำตัวออกไปจากท้องพระโรง ฟู่กั๋วกงจึงกล่าวรายงานเื่การทุจริตรับสินบนของเจียงกุ้ยฉินต่อทันที
“ฮึ น่าเจ็บใจนักที่เจิ้นให้โอกาสคนพวกนี้มากเกินไป”
“ฝ่าากระหม่อมยังมีอีกหนึ่งเื่ที่สำคัญไม่แพ้กัน ้ากราบทูลต่อพระองค์เพื่อทรงพิจารณาบทลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กั๋วกงยังคงยืนอยู่กลางท้องพระโรงมิได้ขยับกลับเข้าที่ของตน
“หืม ฟู่กั๋วกงยังมีเื่ร้ายอันใดจะบอกกับเจิ้นอีกเช่นนั้นรึ เชิญท่านกล่าวมาเถิดแล้วเจิ้นจะตัดสินใจเองว่าควรทำเช่นไร” ฮ่องเต้ทรงคิดว่าจะหมดเื่แล้วเสียอีก
“กระหม่อม้าให้ฝ่าาลงโทษใต้เท้าเจียงกุ้ยฉินรองเ้ากรมขุนนาง ข้อหาเรียกรับเงินสินบนการเลื่อนตำแหน่งขุนนาง เมื่อหลายปีก่อนและเมื่อครั้งที่ผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ รองเ้ากรมขุนนางเจียงกระทำความผิดนี้ ได้รับเงินตำลึงไปมากกว่าหนึ่งแสนตำลึงทอง ฝ่าาขุนนางที่สมควรได้รับการเลื่อนตำแหน่งย่อมมาจากผลงานที่จับต้องได้ แต่ขุนนางที่ใต้เท้าเจียงกุ้ยฉินเสนอชื่อต่อฝ่าานั้น มิได้มีผลงานตามที่เขียนในรายงานแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็สมุดบัญชีเรียกรับเงินสินบนที่รองขุนนางเจียงได้ซุกซ่อนเอาไว้ยังบริเวณใต้โต๊ทำงานพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กั๋วกงต้องช่วยบิดาของว่าที่ลูกสะใภ้ตัวน้อยของบุตรชายเสียหน่อย
“ท่านว่าอะไรนะ!! นี่ราชสำนักของเจิ้นเละเทะถึงเพียงนี้เชียวรึ เจียงกุ้ยฉิน!!!” ฮ่องเต้ต้องตกพระทัยกับเื่นี้อีกครั้ง
“เอ่อ กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“นะ นะ นี่เ้ามิได้ฟังสิ่งที่ฟู่กั๋วกงรายงานกับเจิ้นเลยรึ แม้แต่ยามอยู่ต่อหน้าเจิ้นยังทำตัวไม่สนใจสิ่งใด เ้ากระทำความผิดอันใดไว้รู้ตัวหรือไม่จะยอมรับสารภาพกับเจิ้น หรือ้าให้ส่งตัวไปยังกรมอาญาเพื่อไต่สวนหาความจริง พูด!!”
“เจียงกุ้ยฉินความผิดของเ้าคือการเรียกรับสินบน สำหรับการเสนอชื่อขุนนางเพื่อเลื่อนตำแหน่ง หลักฐานทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของฝ่าาแล้วเ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่” แม่ทัพใหญ่เจียงเป็ผู้บอกถึงความผิดของน้องชายต่างมารดาด้วยตนเอง
“เรียกรับเงินสินบน? ห๊า!! หรือว่าสิ่งที่ข้า.....”
“ถูกต้องหลักฐานที่ท่านคิดว่าซ่อนไว้อย่างดีมีคนค้นพบ และนำมาถวายต่อฝ่าาเป็ที่เรียบร้อยแล้ว เ้ายังจะมีคำแก้ตัวอันใดต่อหน้าพระพักตร์หรือไม่” เสนาบดีหานจากกรมการคลังย้ำให้เจียงกุ้ยฉินฟังอีกครั้ง
“ฝ่าาเื่นี้กระหม่อมมิได้เป็คนทำนะพ่ะย่ะค่ะ เป็ท่านเสนาบดีจินที่สั่งการเื่ทั้งหมดนี้ฝ่าา กระหม่อมถูกข่มขู่ทำร้ายคนในครอบครัว จึงต้องให้ความร่วมมืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พี่ชายของกระหม่อมเองก็มิคิดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแต่ประการใด กระหม่อมจำต้องทำเพื่อรักษาชีวิตคนในครอบครัวเท่านั้น ฝ่าาโปรดให้ความเป็ธรรมกับกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าคิดว่าเจิ้นดูไม่ออกหรือว่าตลอดเวลาที่รับราชการ เ้าเอาแต่อิจฉาริษยาพี่ชายต่างมารดามากเพียงใด ทั้งที่เ้าสอบเป็ขุนนางได้ก่อนแท้ ๆ แต่คนเป็พี่ชายกลับไต่เต้าอย่างก้าวะโ ด้วยผลงานที่โดดเด่นมากกว่าหลายเท่าจนได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ เจิ้นยังได้ยินมาว่าฮูหยินของเ้าจ้างวานหมอตำแยที่มาทำคลอดจางฮูหยิน ให้นางสังหารเด็กที่คลอดออกมาวันเดียวกับบุตรสาวของเ้าด้วยนี่ จิตใจโเี้ไม่น้อยเลยนะรองเ้ากรมเจียง” หากเป็เื่ที่ฮ่องเต้ให้ความสนใจการสืบข่าวย่อมไม่ใช่เื่ยาก
“ขอบพระทัยฝ่าาที่ทรงใส่พระทัย ถือว่าบุตรสาวของกระหม่อมยังมีบุญอยู่บ้าง ที่หมอตำแยนางนั้นไม่สังหารนางั้แ่ยังแบเบาะและเลี้ยงดูนางไว้ จนวันนี้บุตรสาวของกระหม่อมได้กลับคืนสู่ตระกูลแล้วพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพใหญ่แม้จะกราบทูลหน้าพระพักตร์แต่หางตาและมุมปาก ที่ยิ้มเยาะเย้ยเจียงกุ้ยฉินอย่างสาแก่ใจยิ่งนัก
“เจียงกุ้ยฉินเ้ากล่าวอ้างว่าถูกเสนาบดีจินข่มขู่ จึงให้ความร่วมมือกระทำความผิดแต่เจิ้นคิดว่ามันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี บทลงโทษของขุนนางเห็นแก่เงินเจิ้นขอลดตำแหน่งของเ้า จากขุนนางขั้นสามเหลือเพียงขุนนางขั้นหกและให้ออกเดินทางทันที เพื่อไปรับตำแหน่งเ้าเมืองสุ่ยโจวรีบแก้ไขปัญหาเื่น้ำโดยเร็วที่สุด ภายในหนึ่งปีหากไม่มีความคืบหน้าเจิ้นจะปลดเ้าออกจากการเป็ขุนนางเสีย” การแข่งขันภายในตระกูลฮ่องเต้ทรงเข้าใจดี แต่การคิดสังหารเด็กทารกมันโเี้เกินไป
“ฝ่าา!! ฝ่าาทรงเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ มารดาของกระหม่อมแก่ชรามากแล้ว เดินทางไกลอาจทำให้ล้มป่วยได้ฝ่าาทรงเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เจียงกุ้ยฉินร้องขอความเมตตาไปก็เท่านั้น ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่เปลี่ยนพระทัยอย่างแน่นอน
“ทหาร!! เอาตัวเจียงกุ้ยฉินออกไปคอยเฝ้าให้เก็บข้าวของ เพื่อออกเดินทางจากเมืองหลวงภายในวันนี้ให้ได้ หากผู้ใดกล้าขัดราชโองการปะาได้ทันทีเอาตัวไปได้”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าา”
“หึ พวกเ้าทุกคนที่เหลือจงฟังไว้ให้ดีจงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ อย่าได้คิดใช้อำนาจที่มีในทางที่ผิด มิเช่นนั้นย่อมได้รับโทษเช่นตัวอย่างในวันนี้เพราะเจิ้นมีสำนักตรวจการ ที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเ้าทุกคนอยู่ตลอดเวลา”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เลิกประชุมได้ พรึ่บ!”
“น้อมส่งเสด็จฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
การเชือดไก่ให้ลิงดูครั้งนี้ย่อมมีคนเกรงกลัวอย่างแน่นอน และอย่าคิดทำสิ่งที่ผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างเด็ดขาด ยิ่งสำนักตรวจการที่ฮ่องเต้ทรงตั้งขึ้นด้วยพระองค์เองนั่นอีก คนของสำนักตรวจการปะปนอยู่ทุกที่แต่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าคือคนไหน เสียงของความวุ่นวายหน้าวังหลวง มาพร้อมกับเสียงสาปแช่งจากชาวบ้านที่รออยู่จำนวนมาก
