เสี่ยวสู่กับลี่ชิวที่มาช่วยงานได้ชมความครึกครื้นโดยประมาณแล้ว เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงลอบออกจากเรือนผู้เฒ่าเคออย่างเงียบเชียบก่อนมุ่งตรงไปทางโรงงาน
พวกนางสองคนต้องรายงานเื่ที่เกิดขึ้นในเรือนผู้เฒ่าเคอให้นายหญิงของตนฟังสักหน่อย เตือนนายหญิงว่าสกุลเคอจะมาก่อเื่ เพื่อให้นางได้เตรียมการรับมือั้แ่เนิ่นๆ
ครั้นแม่เฒ่าเคอได้ยินเสียงร้องของหลิวชุนฮวา นางก็ชะงักมือโดยพลัน จากนั้นเอามือเท้าเอวเอ่ยด้วยความโมโหว่า
“ใช่ หากเ้าไม่พูดข้าก็ลืมไปเสียแล้ว ล้วนต้องโทษนังเด็กชั้นต่ำเคอโยวหรานผู้นั้น จะเปิดโรงงานยามใดไม่เปิด กลับมาเปิดในวันที่ก่วงเถียนออกเรือน ดูเถิดว่าแม่เฒ่าเช่นข้าจะไปก่อเื่จนยุ่งเหยิงวุ่นวายได้หรือไม่”
ครั้นได้ยินว่ามารดาของตนจะไปหาเื่เคอโยวหราน มือของเคอเจิ้งซีถึงขั้นสั่นเทาอย่างอดมิได้
เขาเสียนิ้วไปหนึ่งนิ้ว แม้ยามนี้จะพันผ้าเอาไว้ทว่าก็แอบรู้สึกเจ็บจี๊ดเป็บางครา ยังจะให้ไปหาเื่เคอโยวหรานอีกหรือ?
เมื่อนึกถึงต้วนเหลยถิงที่ไม่ต่างอันใดกับเทพมาร เคอเจิ้งซีก็ถึงกับสะดุ้งโหยงและขยับกายเข้าหลบมุม พยายามไม่ให้แม่เฒ่าเคอสังเกตเห็นถึงการมีอยู่ของตนอย่างสุดความสามารถ
หลิวชุนฮวาเอ่ยเสริมเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากเงื้อมมือของแม่เฒ่าเคอโดยเร็ว
“ท่านแม่กล่าวได้ถูก เคอโยวหรานจงใจหาเื่ก่วงเถียนของพวกเรา นางทำเช่นนั้นเรียกว่าเปิดโรงงานด้วยหรือเ้าคะ? นางจงใจสร้างความไม่พอใจให้พวกเราต่างหาก!
พวกเราไปดูกันสักหน่อยว่านางเชิญชาวบ้านทั้งหมู่บ้านไปกินสิ่งใด? เหตุใดทุกคนจึงไปอยู่ที่โรงงานแล้วไม่มางานแต่งเลยแม้แต่คนเดียวกันเ้าคะ?”
ครั้นแม่เฒ่าเคอถูกยุยง ศีรษะของนางก็จวนจะไหม้เกรียมในทันใด นางหันไปหมายจะให้เสี่ยวสู่กับลี่ชิวประคอง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องวางมาดสักหน่อยมิใช่หรือ?
กล่าวไปแล้วหลังจากเรียกใช้หญิงรับใช้มาสองวัน แม่เฒ่าเคอคิดว่าตนกลายเป็ฮูหยินเฒ่าไปเสียแล้ว หลงลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าเสี่ยวสู่กับลี่ชิวคือคนที่เคอโยวหรานส่งมา
เ้านายของผู้อื่นคือเคอโยวหราน ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับแม่เฒ่าเคอแม้แต่อีแปะเดียว ยามนี้ช่างประเสริฐนัก เดินวนหาทั้งนอกและในเรือน มีหรือจะยังเห็นเงาหญิงรับใช้ทั้งสองคนนั้นอยู่?
ครานี้แม่เฒ่าเคอราวกับแช่ในหม้อไฟพริก ทั่วทั้งร่างถึงกับะเิทันที
ผู้เฒ่าเคอพลันหยัดกายลุกขึ้น คล้ายกับชายชราใคร่ครวญบางสิ่งจนกระจ่างภายในเสี้ยววินาที จึงหันกายเดินออกไปข้างนอก ปากยังร้องบริภาษไม่ยอมหยุด
“นับได้ว่าตาเฒ่าเข้าใจแล้ว นังเคอโยวหรานที่เป็ของชดเชย [1] นั่นจงใจใช้แผนการกับพวกเราโดยเฉพาะ
เบื้องหน้านางส่งหญิงรับใช้ทั้งสองคนมาช่วยงานพวกเรา แต่แท้จริงแล้วกลับ้าหาชื่อเสียง หญิงรับใช้สองคนนั้นมิได้ทำอันใดแม้แต่นิดเดียว พวกเรากลับจมบ่อโคลนจนปีนไม่ขึ้นเสียแล้ว
ไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งที่ตาเฒ่าเป็ถึงปู่ของนาง นางยังจะกล้าฏเช่นนี้? ดูเถิดว่าวันนี้ยามอยู่ต่อหน้าชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ข้าจะตีนางจนจำกระทั่งมารดามิได้หรือไม่”
แม่เฒ่าเคอไม่้าเผยท่าทีอ่อนแอเช่นกัน นางพลันสวมรองเท้าแล้ววิ่งเหยาะๆ ตามไป
“ตาเฒ่ากล่าวได้ถูกต้อง วันนี้หลังจากนางมาเสริมสินเดิม คนทั้งหมู่บ้านถึงได้ออกไปจนหมด พวกเรามิอาจละเว้นนังเด็กชั้นต่ำผู้นั้น...”
เคอเจิ้งซีกับหลิวชุนฮวามองแผ่นหลังของผู้เฒ่าเคอและแม่เฒ่าเคอค่อยๆ เลือนหายไป ไม่มีผู้ใดตามไปสักคน
พวกเขาสองคนเสียเปรียบเคอโยวหรานมาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าคราใดล้วนไม่ได้ประโยชน์ ทั้งยังต้องาเ็สาหัสทุกครั้งอีกด้วย
ครั้งนี้คนทั้งสองฉลาดแล้ว พวกเขาเป็เพียงอากับอาสะใภ้ ไม่มีน้ำหนักเช่นตาเฒ่ากับแม่เฒ่า ควรจะอยู่เก็บกวาดภายในเรือน อย่าได้ไปหาเื่ใส่ตัวจะดีกว่า
กล่าวไปแล้วร่างกายของผู้เฒ่าเคอกับแม่เฒ่าเคอที่อายุหกสิบกว่าช่างแข็งแรงเกินไปแล้ว ไม่นานนักก็มาถึงโรงงานหนงเซียงได้สำเร็จ
ทว่าเมื่อคนอวดดีทั้งสองเห็นบรรยากาศของที่นี่ก็ไม่ต่างกับถูกสาดน้ำเย็นหนึ่งถัง ความโกรธที่ก่อตัวเลือนหายไปในพริบตา
ใบหน้าที่โกรธเคืองแต่เดิมของผู้เฒ่าเคอเปลี่ยนเป็รอยยิ้มสดใสทันที เขาประสานกำปั้นและเอ่ยทำความเคารพว่า
“ไอ้หยา ลมอันใดหอบท่านนายอำเภอมายังที่นี่เสียแล้ว? ท่านมาเยือนหมู่บ้านเถาหยวนของพวกเรา นับว่าเป็วาสนาหลายภพชาติที่พวกเราสั่งสมเอาไว้อย่างแท้จริง ฮ่าๆๆ...”
แม่เฒ่าเคอยิ่งถูกภาพตรงหน้าทำเอาราวกับตกอยู่ในม่านหมอก เดิมทีนางก็กำลังสับสน ยามนี้ยิ่งเลอะเลือนกว่าเดิม
พื้นที่ว่างด้านหน้าโรงงานจัดวางโต๊ะงานเลี้ยงนับร้อยโต๊ะ ด้านหน้าสุดมีหนึ่งโต๊ะ ผู้ที่นั่งตรงโต๊ะนั้นก็คือนายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้านเฉิน และผู้นำสกุลไม่กี่ท่าน รวมถึงคุณชายสวมชุดผ้าไหมสีสันงามตาผู้หนึ่ง
เื่เหล่านี้ปกติยิ่งนัก เพราะพวกเขาเป็คนใหญ่คนโต ล้วนสมควรจะนั่งตรงโต๊ะนี้
แต่ผู้ใดก็ได้บอกเขาที กระทั่งเคอต้าส่ากับเคอโยวหรานก็นั่งร่วมโต๊ะนี้เช่นกัน นี่มันนับเป็เื่อันใด?
เมื่อก่อนตอนเ้าทึ่มผู้นั้นอยู่ในเรือนตน กระทั่งโต๊ะกินข้าวก็ยังไม่เคยได้นั่ง ต้องนั่งยองๆ กินข้าวอยู่ตรงหัวมุมมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่ายามนี้อีกฝ่ายจะนั่งทานอาหารร่วมโต๊ะกับท่านนายอำเภอเสียแล้ว?
เคอโยวหรานยิ่งไม่สมควร แม้จะมีหมวกเหวยเม่าบดบังใบหน้า แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็สตรีผู้หนึ่ง
เหตุใดสตรีถึงได้มานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะกับคนใหญ่คนโตมากมายถึงเพียงนี้ เช่นนี้ไม่น่าเหลือเชื่อเกินไปหรอกหรือ?
สิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าเคอไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือเหตุใดเคอเจิ้งหนานถึงมิได้นั่งร่วมโต๊ะกับนายอำเภอ? แต่กลับไปนั่งตรงโต๊ะด้านข้าง ร่วมกินดื่มกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันจากสกุลเคอไม่กี่คน
ครั้นนายอำเภอได้ยินคำกล่าวทักทายอย่างเกรงใจของผู้เฒ่าเคอ จึงเงยหน้าขึ้นมองชายชราพลางคิดในใจว่า :
ตาเฒ่าผู้นี้สมองบวมแล้วกระมัง? ตนไม่รู้จักอีกฝ่ายแม้แต่นิด เหตุใดถึงได้แสดงท่าทีสนิทสนมกับตนขนาดนี้?
เป็เพียงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น ยังไม่รู้จักตระหนักถึงฐานะของตนเองให้ชัดเจน กล้าคิดเพ้อฝันจะคบหาผู้มีฐานะสูงกว่า เมื่อวานยังนอนไม่ตื่นหรืออย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าเคอไม่ล่วงรู้ถึงความคิดของนายอำเภอ เขามัวแต่เอ่ยว่า “ใต้เท้า ท่านอาจจะไม่รู้จักข้าน้อย แต่ข้าน้อยคือบิดาของนายทะเบียนเคอเจิ้งหนาน เจิ้งหนานได้รับการดูแลจากท่านถึงได้มีวันนี้ ตาเฒ่าขอขอบพระคุณท่านแทนเขาขอรับ”
กล่าวจบ ชายชรายังค้อมคารวะลงต่ำอีกครั้ง เฝ้าหวังว่านายอำเภอจะจดจำตนได้
เคอเจิ้งหนานที่อยู่โต๊ะด้านข้างเห็นบิดาของตนเองทำเช่นนี้ก็ถึงกับหน้าเขียวเสียแล้ว อีกฝ่ายไม่เห็นการจัดเรียงโต๊ะอาหารงานเลี้ยงในวันนี้หรืออย่างไร?
ตนนั่งอยู่ที่โต๊ะข้าง แต่ตาเฒ่ากลับแนะนำตัวว่าเป็บิดาของเขา เหตุใดถึงไม่บอกว่าเป็ปู่ของเคอโยวหรานหรือบิดาของเคอต้าส่ากันเล่า?
ต้องทำเยี่ยงนี้จึงจะเชื่อมสัมพันธ์กับท่านนายอำเภอได้ง่าย ช่างโง่เสียจริง! เห็นทีคงต้องพึ่งตนให้มาคลี่คลายเื่นี้เสียแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ เคอเจิ้งหนานพลันยืนขึ้นจากโต๊ะด้านข้าง เดินมายังตรงหน้านายอำเภอเพื่อประสานมือคารวะแล้วเอ่ยว่า
“ท่านนายอำเภอ ท่านพ่อของข้าคือปู่แท้ๆ ของโยวหราน วันนี้น้องหญิงออกเรือนกับคุณชายใหญ่สกุลโฉว ภายในเรือนจัดงานมงคลจึงมาร่วมงานล่าช้าและรบกวนโต๊ะของท่านเสียแล้ว หวังว่าใต้เท้าจะอภัยขอรับ”
ครั้นนายอำเภอได้ยินเช่นนี้ก็เปลี่ยนจากสีหน้าอึมครึมเป็สดใส เอ่ยอย่างเป็มิตรว่า “โอ้ ที่แท้คือท่านปู่ของน้องหญิงโยวหรานนี่เอง เสียมารยาทแล้วๆ”
เคอโยวหรานเอ่ยเสริมหนึ่งประโยคอย่างเหมาะเจาะ “ใต้เท้า พวกเราหนึ่งครอบครัวถูกท่านปู่ขับออกมาแล้ว ยามนี้ไม่เพียงแยกเรือน แต่ยังถูกบีบบังคับให้ออกจากสกุลเสียด้วยซ้ำ เฮ้อ แค่คิดก็ทำให้ผู้อื่นปวดใจยิ่งนักเ้าค่ะ”
ความจำของนายอำเภอเกาไม่ค่อยดีนัก ครั้นเคอโยวหรานเอ่ยเช่นนี้ เขาพลันหวนนึกถึงเื่ราวตอนมาเยือนหมู่บ้านเถาหยวนเมื่อหลายวันก่อน ยามนั้นก็ได้รับรู้เื่ราวเหล่านี้แล้วมิใช่หรืออย่างไร?
นับได้ว่าถูกความจำของตนทำให้พลาดท่าแล้วจริงๆ ยามนี้ประเสริฐนัก สร้างความหมางใจให้เคอโยวหรานโดยปริยาย เช่นนั้นเขายังจะคบค้ากับโรงสุราฟู่หยวนผ่านทางเคอโยวหรานได้อย่างไรเล่า?
เพียงแต่นายอำเภอเป็ถึงผู้ใดกัน คลุกคลีอยู่ในวงการขุนนางมาหลายสิบปี การพลิกแพลงสถานการณ์ตามโอกาสยังไม่นับเป็เื่ยากสำหรับเขา
พบเพียงว่านายอำเภอเปลี่ยนสีหน้าเร็วกว่าพลิกหน้าตำราเสียอีก ใบหน้าที่แต่เดิมมากล้นไปด้วยรอยยิ้มกลายเป็สีหน้าไร้ความรู้สึกภายในเสี้ยววินาที เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอึมครึมว่า
“อ้อ? เช่นนั้นหรือ? น้องหญิงโยวหรานดีเลิศขนาดนี้ เหตุใดจึงถูกขับออกจากสกุลเสียได้? นี่ไม่เท่ากับผู้าุโไม่รู้จักให้เกียรติตนเองหรอกหรือ?”
ผู้เฒ่าเคอ “...?”
เคอเจิ้งหนาน “...?”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ของชดเชย 赔钱货 เป็คำดูถูกเด็กผู้หญิง เมื่อเด็กสาวโตจนออกเรือนเข้าบ้านเ้าบ่าว แต่บ้านเ้าสาวยังต้องเสียเงินทองและข้าวของเครื่องใช้เสริมสินเดิม ถือได้ว่าขาดทุน