หลังจากรถม้าหยุดลง มู่จื่อหลิงก็ยื่นมือไปเลิกผ้าม่านรถ เห็นผู้มาใหม่ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ เป็ดังที่นางคาดไว้จริงๆ ข่าวแพร่ไปเร็วพอใช้ได้เลย ไทเฮาเฒ่ารอไม่ไหวดักคนกลางทางเสียแล้ว
ผู้ที่มาใหม่เป็หลินมามาข้างกายไทเฮา ด้านหลังมีนางกำนัลต๊อกต๋อยตามมาด้วยสี่คน หลินมามาทุ่มเทใจคิดแผนชั่วร้ายออกมาไม่น้อยจนได้รับความโปรดปรานจากไทเฮา
บัดนี้นางได้รับความโปรดปรานจากไทเฮาอย่างลึกซึ้ง ยิ่งเปลี่ยนเป็ผู้ที่ไม่เห็นผู้อื่นในสายตา คนในวังยังต้องเกรงกลัวนางถึงสามส่วน
“บ่าวคารวะหวางเฟย องค์ชายหก” หลินมามาส่งเสียงแหลม คำนับด้วยความเย่อหยิ่ง ใบหน้าหมางเมิน น้ำเสียงไม่นอบน้อมโดยสิ้นเชิง
ดวงตาที่หรี่ลงคู่นั้นไม่รู้เหลือบมองไปทางไหน ะโเสียงดังเกรงกลัวผู้อื่นจะฟังไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
“บ่าวคารวะหวางเฟย องค์ชายหก” นางกำนัลด้านหลังหลินมามาสี่คนทำความเคารพตาม
มู่จื่อหลิงเสียดสีในใจ คนโง่งมเช่นยายเฒ่าปีศาจผู้นี้เป็ฟ้าร้องดัง ฝนเม็ดเล็ก [1] ยามนี้สามารถนำลูกกระจ๊อกออกมาจากวังได้แล้ว
“ยืนขึ้น มีเื่ใด” มู่จื่อหลิงถามทั้งที่รู้ แม้จะไม่ชินกับท่าทางผยองจองหองของยายปีศาจเฒ่านี่ แต่ยามนี้นางไม่มีอารมณ์มาสั่งสอนมารยาทนางมารเฒ่าผู้นี้แล้ว
หลินมามากระแอมไอในลำคอสองครั้ง เชิดศีรษะยืดอก กล่าวอย่างเคร่งเครียด “บ่าวได้รับพระบัญชาจากไทเฮา ให้นำหวางเฟยไปตำหนักโซ่วอัน”
บัดนี้ที่หลินมามาพูดนั้นเป็ ‘นำตัว’ มิใช่ ‘เชิญ’ ต่างเพียงตัวอักษรเดียว แต่ความหมายกลับไม่เหมือนกันเลย
“พี่สะใภ้สาม ดูท่าไทเฮาคงรู้แล้ว ตอนนี้ทำอย่างไรดี?” หลงเซี่ยวเจ๋อกระซิบอยู่ข้างหูมู่จื่อหลิง ถามด้วยความกังวล
“จะทำอย่างไรได้อีก ไทเฮาสั่งลงมานั้นเป็พระบัญชา เปิ่นหวางเฟยฝ่าฝืนได้หรือ เห็นชัดๆ ว่าไม่ได้ ไม่ไปก็ต้องไปแล้ว” มู่จื่อหลิงพูดเสียงดังอย่างไม่ใส่ใจ สร้างสถานการณ์ข่มขู่นางก็ทำได้ ไม่ว่าอย่างไรกิริยาท่าทีก็ยังต้องคงเอาไว้
ในเมื่อโรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนานกลับมากำเริบ ไทเฮาก็ไม่รีบให้นางไปรักษาหลงเซี่ยวหนาน แต่กลับรีบมาหาเื่นาง นี่้าระบายโทสะแทนหลงเซี่ยวหนาน ช่างเป็เสด็จย่าที่อบอุ่นจริงๆ
ยามนี้ไม่ว่าตำหนักโซ่วอันจะเป็ถ้ำเสือวังัอันใดนางก็ล้วนต้องลุยเดี่ยวเข้าไป บัดนี้นางไม่รู้ว่าไทเฮาจะลงมือกับนางอย่างไร เห็นลูกไม้เช่นใดแก้เช่นนั้น แก้ไม่ได้นางก็จนปัญญาแล้ว ใครใช้ให้นางต่ำกว่าไทเฮาอยู่หลายขั้นกันเล่า
“พี่สะใภ้สาม ข้าจะไปกับท่านด้วย” ใบหน้าของหลงเซี่ยวเจ๋อเต็มไปด้วยความกังวล เขาในขณะนี้ไม่วางใจให้มู่จื่อหลิงไปพบไทเฮาเพียงลำพัง
หลินมามาเห็นว่าหลงเซี่ยวเจ๋อ้าไปด้วย จึงไม่ลืมตักเตือนอย่างเรียบเฉย “องค์ชายหก ไทเฮาให้บ่าวนำตัวหวางเฟยไปเพียงผู้เดียว มิได้ทรงตรัสให้นำพระองค์ไปด้วย”
หลังนางพูดจบั์ตาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยันอันบริสุทธิ์ นางย่อมรู้ว่าเหตุใดไทเฮาจึงให้มู่จื่อหลิงไปตำหนักโซ่วอันเพียงลำพัง
วันนี้์เข้าข้างนางจริงๆ ครั้งที่แล้วยายเด็กหน้าขนนี่ทำให้นางขายหน้าต่อพระพักตร์ไทเฮา นางต้องปรนนิบัติฉีหวางเฟยผู้นี้เป็อย่างดีแน่
ได้ยินคำพูดนี้หลงเซี่ยวเจ๋อก็ไม่พอใจ ถลึงตาใส่หลินมามาอย่างโกรธเคือง พูดเหี้ยมเกรียม “สามหาว เปิ่นหวงจื่อจะไปถวายพระพรเสด็จย่า เ้ากล้าขัดขวาง?”
ยายปีศาจเฒ่าสมองไขมันผู้นี้ เขารู้ว่านางเป็มือเท้าข้างกายไทเฮา ชอบทำตัวเป็สุนัขแอบอ้างบารมีเ้าของ ออกอุบายทำร้ายผู้อื่นต่อหน้าไทเฮาอย่างชำนิชำนาญ น่าสะอิดสะเอียนเป็ที่สุด ช่างทำให้คนเกลียดชังจริงๆ
ตอนนี้หากให้พี่สะใภ้สามไปกับนางเพียงลำพังไม่แน่ว่าอาจเกิดเื่ใดขึ้น เขาไม่อยากให้พี่สะใภ้สามถูกทำร้าย แม้ความสามารถของเขาไม่มากมาย แต่ก็ต้องทุ่มเทปกป้องพี่สะใภ้สามสุดตัว
“บ่าวมิกล้า เพียงแต่ไทเฮาทรงตรัสแล้วว่าเช้านี้เป็กรณีพิเศษ ไม่ต้องไปถวายพระพรแด่พระนางเพคะ” หลินมามามิได้เกรงกลัวต่อน้ำเสียงของหลงเซี่ยวเจ๋อโดยสิ้นเชิง พูดอย่างชอบธรรม
“เ้า” หลงเซี่ยวเจ๋อยังอยากกล่าวต่ออย่างมีโทสะ กลับถูกมู่จื่อหลิงตัดบทเสียก่อน
“ข้าไปเองก็พอแล้ว เ้าไปดูองค์ชายห้าก่อนว่าเป็อย่างไรบ้าง” มู่จื่อหลิงพูดอย่างเฉยเมย
นางไม่คิดจะให้หลงเซี่ยวเจ๋อติดตามไปด้วย ด้วยนิสัยหุนหันพลันแล่นของเขานี้ไม่แน่ว่าอาจก่อเื่ใดออกมาก็ได้ ถึงเวลานั้นไม่ได้ช่วยนาง แล้วยังพัวพันไปถึงเขาด้วย เช่นนั้นได้ไม่คุ้มเสียเลย
“พี่สะใภ้สาม” หลงเซี่ยวเจ๋อร้องเรียกอย่างกังวล
มู่จื่อหลิงส่งสายตาให้เขาสบายใจ “พอแล้ว รีบไปเถิด อย่ากังวล”
“ได้ ข้าจะลงจากรถ” หลงเซี่ยวเจ๋อส่งเสียงตอบรับแล้วะโลงจากรถม้า เขาก็ไม่กล้าถ่วงเวลาอีกเช่นกัน เสียเวลามากไปอีกหนึ่งนาทีก็อาจจะเพิ่มเหตุผลให้ไทเฮามาหาเื่พี่สะใภ้ได้อีกหนึ่งเหตุผล
หลังจากหลงเซี่ยวเจ๋อลงจากรถ รถม้าจึงวิ่งต่อไป ทว่าหลงเซี่ยวเจ๋อกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง มองทิศทางที่รถม้าวิ่งไปอย่างเป็กังวล
จนกระทั่งรถม้าวิ่งไปไกลแล้วหลงเซี่ยวเจ๋อจึงดึงสายตาที่กังวลมิอาจตัดใจกลับมา รีบวิ่งพุ่งไปอีกทางอย่างรีบเร่ง ทิศทางนั้นมิใช่ตำหนักหนานเหอ แต่เป็......
มู่จื่อหลิงถูกนำตัวมาที่ตำหนักโซ่วอัน เท้าเพิ่งเหยียบเข้าไป ยังมิทันเหลือบมองคนบนที่นั่งหลักก็ต้องใกับบรรยากาศขวัญผวาอันน่าขนลุกข้างใน
มู่จื่อหลิงตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว สูดลมหายใจเข้าลึก เชิดหน้ายืดตัวตรงก้าวไปด้านหน้า
ถึงได้เห็นไทเฮาที่อยู่บนบัลลังก์ ยังคงงามสง่า สูงศักดิ์ แต่กลับไม่มีความเมตตากรุณาเหมือนก่อนหน้า ใบหน้าน่าเกรงขามเด็ดขาด มุมปากยกขึ้นอย่างเืเย็น สายตาดุดันจับจ้องมาที่มู่จื่อหลิง
ฮองเฮาเองก็อยู่ด้วย ทว่าสีหน้ากลับนิ่งสงบและดูดีกว่าของไทเฮามากนัก ยังคงสง่างามระคนอ่อนโยนเป็มิตรเช่นเดิม มุมปากเหยียดเป็รอยยิ้มจาง ด้วยท่าทีของมารดาแห่งใต้หล้า
ดูท่าเื่ที่หลงเซี่ยวหลีถูกกักบริเวณ นางคงปล่อยวางแล้ว ยามนี้จึงได้รู้จักมาร่วมวงครึกครื้น เสแสร้งเป็คนดี
มู่จื่อหลิงเดินไปด้านหน้าไทเฮา ไม่รอให้นางคารวะ ไทเฮาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นอย่างเด็ดขาด “คุกเข่าลง”
ไทเฮามิได้พูดว่าผู้ใดต้องคุกเข่า แต่คนในที่นั้นกลับเข้าใจ
ทว่าเ้าของเื่ที่ควรคุกเข่าลงอย่างมู่จื่อหลิงก็มิได้หวาดกลัวต่อความน่าเกรงขามของน้ำเสียงเย็นนี้เลย นางยืนอย่างทระนงในศักดิ์ศรีไม่ขยับเขยื้อน ตอนนี้นางไม่คิดจะคารวะแล้ว ดวงตากระจ่างใสสบเข้ากับดวงตาเย็นเยียบของไทเฮาโดยไร้ซึ่งการเลี่ยงหลบ
คุกเข่า? นางมู่จื่อหลิงรู้จักแต่การคุกเข่าต่อฟ้าดิน ต่อบิดามารดา แต่ไม่รู้การคุกเข่าให้ไทเฮา อย่างไรก็ได้รับโทษจนถึงที่สุดแล้ว เพิ่มไปอีกสักข้อนางก็ไม่รังเกียจว่ามากเกินไป
ทว่าหลินมามาที่อยู่ด้านหลังกลับไม่ปล่อยให้นางสมปรารถนา หลินมามาส่งสายตาให้นางกำนัลสองคนข้างหลัง
นางกำนัลสองคนได้รับสัญญาณ เดินขึ้นไปข้างหน้าจับบ่าทั้งสองข้างของมู่จื่อหลิง คนหนึ่งมือหนึ่งกดลงไปอย่างแรง สองมือยากต่อกรสี่มือ มู่จื่อหลิงกัดฟัดอย่างโกรธแค้น ดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายมิอาจต้านอยู่จนคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
เห็นมู่จื่อหลิงคุกเข่าลงข้างเดียว และยังมีท่าทางหยิ่งทระนง หลินมามาก็หัวเราะเย้ยหยัน มิลืมเหวี่ยงเท้าออกไปจากด้านหลังอย่างแรง จึงส่งเสียงดัง ‘ตึง’ มู่จื่อหลิงจึงคุกเข่าลงไปต่อหน้าไทเฮาจริงๆ
มู่จื่อหลิงส่งเสียงร้องอย่างเ็ป กัดฟันด่าในใจ ‘บ่าวสุนัข ต้องรุนแรงเช่นนี้เลยหรือ’
พยัคฆีจรจากพนาไพรถูกรังแก นางอดทน บ่าวเฒ่าทรยศผู้นี้ควรภาวนาให้ไทเฮาชราทรมานนางจนตายในวันนี้ มิเช่นนั้นหลังจากที่นางหลุดออกไปได้ นางบ่าวแก่ผู้นี้จะต้องเป็คนแรกที่นางจัดการ
หลังจากไทเฮาเห็นมู่จื่อหลิงคุกเข่าลงก็แย้มยิ้มพึงพอใจ ยกจอกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง น้ำเสียงทรงอำนาจเจือไปด้วยความไม่คลุมเครือสายหนึ่ง “มู่จื่อหลิง เ้ารู้ความผิดหรือไม่”
มู่จื่อหลิงค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นสบสายตากับไทเฮา งงงันยิ่งนัก ในขณะเดียวกันก็แสดงออกอย่างสลดใจ “ไม่ทราบว่าหม่อมฉันทำผิดโทษฐานใด”
นางไม่รู้จริงๆ แม้แต่หน้าของหลงเซี่ยวหนานนางยังมิได้พบด้วยซ้ำ จะรู้ได้อย่างไรว่าโรคทางสมองของเขากลับมากำเริบจริงหรือไม่ ต่อให้รู้แล้วอย่างไร ก็ไม่มีหลักฐานอ้างอิงอยู่ดี
ทันทีที่มาไทเฮาไม่ถามเหตุผลก็ถามความผิดนาง อย่าได้พูดถึงประตู แม้แต่รูก็ไม่มี นอกจากนี้นางก็ไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่จะถูกบีบง่ายๆ กระต่ายร้อนรนจะกัดคนเสียแล้ว แม้ไทเฮาจะสูงส่งจนนางมิอาจแตะต้อง แต่การเย้าแหย่ก็ยังทำได้นี่
ดวงตาของไทเฮาทอประกายโทสะ พูดเสียงเย็น “เ้าหลอกเบื้องสูงลวงเบื้องล่าง เปิดศีรษะของหลงเซี่ยวหนานพูดว่ารักษาโรคทางสมองของเขาหายแล้ว บัดนี้โรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนานกลับมากำเริบแล้ว เ้ายังกล้าพูดว่าเ้าไม่รู้ว่าทำผิดโทษฐานใด?”
มู่จื่อหลิงขวัญกล้านัก วันนี้อายเจียจะดูว่าเ้าจะสามารถปากแข็งไปได้ถึงตอนไหน อายเจียรอมานานเช่นนี้ ในที่สุดก็ได้รับโอกาส ครานี้ไม่มีทางละเว้นเ้าอีกเป็แน่
มู่จื่อหลิงกะพริบตาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ ถามกลับว่า “หม่อมฉันทำผิดโทษฐานใด?”
อย่างไรวันนี้ต่อให้นางตายก็สู้ไทเฮาไม่ได้ ไทเฮาเองก็คงไม่ละเว้น ปล่อยนางไปเพราะความเคารพนอบน้อมเช่นกัน ต่อให้ไทเฮา้าให้นางเคารพนอบน้อมจึงจะปล่อยนางไป นางก็ไม่รู้ว่าเคารพนอบน้อมต้องทำอย่างไร
ในเมื่อสู้ไม่ได้ และไม่รู้จักการทำเสียงอ่อนเสียงหวานขอร้องอ้อนวอน เช่นนั้นนางหยอกล้อไทเฮาก็ได้ สู้กับไทเฮาจนตาย ก่อนตายยังสามารถยั่วโทสะไทเฮาได้ก็ดีนัก!
สีหน้าไทเฮาเปลี่ยนไป ตะเบ็งเสียงอย่างมีโทสะ “สามหาวมู่จื่อหลิง เ้าจรดมีดบนพระเศียรองค์ชายก็มีโทษฐานดูิ่ หลอกลวงอายเจียและคนทั้งหมดผิดโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูง เ้ายังพูดว่าเ้าไม่มีความผิด?”
ไทเฮาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามู่จื่อหลิงตายไปจนถึงศีรษะแล้ว ยังแสร้งทำท่าทางบริสุทธิ์ยุติธรรมอีก จนตอนนี้ก็ยังกล้าใช้แววตาเย้ยหยันมาสบตานาง ไร้ซึ่งหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง
ท้ายที่สุดนางก็ยังประเมินมู่จื่อหลิงต่ำไป มู่จื่อหลิงมีความสามารถนัก!
ใบหน้าของมู่จื่อหลิงเผยสีหน้าตื่นใ กะพริบตาอย่างไร้ความผิดต่อไป แสร้งโง่งมถามกลับ “หม่อมฉันผิดที่ใด?”
มู่จื่อหลิงมิได้รีบร้อนตามไทเฮา นางในยามนี้เป็เช่นสุกรตายแล้วไม่กลัวน้ำร้อนในสายตาผู้อื่น
ไม่ยอมก็มากัดข้าสิ!
“เ้า...” ไทเฮาถูกไฟแห่งโทสะแผดเผา หน้าอกสะท้านขึ้นลง คำพูดก็มิอาจเปล่งออกมาได้
ขณะนี้เองฮองเฮาคนดีจึงออกมาขัดตาทัพ นางลุกขึ้นอย่างสง่างาม เดินไปใกล้ไทเฮา ระบายโทสะให้ไทเฮาด้วยความปรารถนาดี “เสด็จแม่โปรดระงับโทสะ หลิงเอ๋อร์อาจจะยังเด็ก ไม่รู้ภาษา พวกเราสั่งสอนให้มากก็พอแล้ว”
โทสะไทเฮาสงบลงมาไม่น้อย ได้ยินฮองเฮาพูดเพื่อมู่จื่อหลิงก็มิได้โกรธเคือง ราวกับเพิ่งตื่นจากฝันอย่างไรอย่างนั้น ครู่เดียวก็เข้าใจขึ้นมา
มู่จื่อหลิงไม่ได้ซาบซึ้งกับคำพูดของฮองเฮาเลยแม้แต่น้อย นางชำเลืองมองเงียบๆ นางเด็ก? นางมีชีวิตอยู่มาสองโลกยังเด็ก? แต่งงานแล้วยังเด็ก?
ในยุคโบราณอายุนางเท่านี้เป็เด็ก ก็มิใช่ล้วนเด็กกันทั้งแผ่นดินหรือ ฮองเฮาไร้สาระแล้ว
ส่วนการสั่งสอนที่ฮองเฮาพูดนั้น นางก็ไม่รู้ว่าฮองเฮาเปี่ยมเมตตาผู้นี้จะสั่งสอนนางอย่างไร
กระทั่งมุมปากของฮองเฮายกขึ้นอย่างรู้เท่าทัน เรียกอย่างเฉยเมย “หลินมามา”
“บ่าวเข้าใจแล้ว” หลินมามาตอบรับอย่างเ้าเล่ห์ นำสิ่งหนึ่งออกมาจากหน้าอก บิดเอวก้าวมาด้านหน้ามู่จื่อหลิง
มู่จื่อหลิงเงยหน้ามองสิ่งที่อยู่ในมือหลินมามา ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าการสั่งสอนของฮองเฮามีความหมายใด
สีหน้าของนางเปลี่ยนโดยพลัน ใจนตาโตอ้าปากค้าง บัดนี้นางกลัวแล้วจริงๆ
ไอ้หยา การสั่งสอนนี้โเี้เหลือเกิน อาจจะเอาชีวิตคนได้จริงๆ......
---------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ฟ้าร้องดัง ฝนเม็ดเล็ก หมายถึง พูดอย่างน่าเกรงขามแต่ไร้ความสามารถ