มนุษย์ ต้องเรียนรู้ที่จะเติบโต
ทุกคนต่างเป็เช่นเดียวกัน และฉินเสวี่ยก็ต้องเป็เช่นนั้น ฉินอวี่ไม่สามารถจะอยู่ดูแลฉินเสวี่ยไปได้ชั่วชีวิต
งานชุมนุมจะเกิดขึ้นในเวลาอีกเพียงไม่ถึงยี่สิบวัน เป้าหมายของฉินอวี่คือสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ส่วนฉินเสวี่ยกำลังสนใจสำนักใดอยู่นั้น เขาไม่อาจรู้ได้เลย
ดังนั้น ฉินอวี่จึง้าให้ฉินเสวี่ยเรียนรู้ที่จะเติบโต เรียนรู้ที่จะตอบโต้ แต่หากยังเป็เช่นนี้ ฉินอวี่ก็ไม่อาจวางใจได้เมื่อนางเข้าสู่สำนักต่างๆ
เมื่อฉินอวี่กลับมาเกิดใหม่ ความทรงจำที่ลึกซึ้งที่สุดก็คือเื่ของฉินเสวี่ย ตอนนั้นฉินเสวี่ยเป็เหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย หรือไม่ก็พี่สาวตัวน้อยที่คอยดูแลฉินอวี่ นางแข็งแกร่งและอยู่ได้ด้วยตนเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉินอวี่จึงพบว่าทุกอย่างนั้นฉินเสวี่ยเพียงแสร้งแสดงมันออกมา แต่ในความเป็จริง นางไม่มั่นใจในตนเองเลย อีกทั้งยังเหมือนจะขี้ขลาดและด้อยค่าตนเองอยู่เล็กน้อย
แม้ว่าฉินอวี่จะรู้ดี ว่าเหตุใดฉินเสวี่ยจึงต้องทำเช่นนี้ แต่เื่ราวต่างๆ ก็ได้ดำเนินมาจนถึงจุดนี้แล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว เช่นนั้นแล้ว ฉินอวี่จึง้าให้ฉินเสวี่ยได้เรียนรู้ที่จะตอบโต้!
ฉินเสวี่ยที่กำลังก้มหน้ากัดริมฝีปากแดงของนางทั้งน้ำตา เล็บของนางเกือบจะจิกเข้าไปในเนื้อบนฝ่ามือของนางอยู่แล้ว คำพูดของหลงอวี่ยังคงดังกึกก้องอยู่ในใจของนาง “การได้รู้จักกับผู้มีพร์ของสำนักเซียนเป็จำนวนมาก ก็จะเป็ผลดีกับนางและพี่ฉินในอนาคต”
ดูเหมือนว่ามีบางอย่างัักับฉินเสวี่ย ทันใดนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นมองชุยซั่วด้วยน้ำตาที่นองหน้า และะโขึ้นด้วยความโกรธ “ทำไม? ทำไมพวกเ้าถึงต้องคอยรังควานข้ากับพี่ชายซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดด้วย? ั้แ่เล็กจนโต พวกเ้าเอาแต่คอยรังแกพวกเราสองพี่น้องมาตลอด เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดว่าเ้าเป็เหมือนพี่ชายของข้า...”
“เพียะ!”
ก่อนที่ฉินเสวี่ยพูดจบ เสียงตบก็ดังขึ้นอย่างรุนแรง จนฉินเสวี่ยโซเซแทบจะล้มลงกับพื้น แต่ฉินเฟิงกลับพูดออกไปด้วยสีหน้าเ็า “เป็แค่หญิงชั้นต่ำ ยังกล้าจะมานับญาติกับข้า มีสิทธิ์อะไรมาเรียกชุยซั่วว่าพี่ชาย?”
“พอได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่ซึ่งพวกเ้าจะมาสะสางเื่ในบ้านของพวกเ้า อยากจะตบอยากจะด่ากันก็กลับไปตบไปด่ากันที่บ้าน!” ชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบหนังสือเชิญได้ะโขึ้นมาอย่างเยือกเย็น
หวังผิงเหลือบมองชุยซั่วอย่างเฉยเมย แต่ก็เริ่มจะหมดความอดทน เมื่อเห็นชุยซั่วเป็เช่นนี้ เขาจึงรีบขยิบตาให้ฉินเฟิงทันที
หลังจากฉินเฟิงเข้าใจในความหมายนั้น เขาก็คว้าจับผมอันยาวของฉินเสวี่ยทำท่าทางเหมือนจะลากนางออกไป
แม้ว่าความกลัวเกรงของฉินเสวี่ยที่มีต่องชุยซั่วจะหยั่งรากลึก แต่นางกลับไม่เคยเกรงกลัวฉินเฟิงเลยแม้แต่น้อย นางมีความเกลียดชังเขาอย่างมาก ขณะที่ฉินเฟิงกำลังคว้าจับเส้นผมของนาง ฉินเสวี่ยก็หันหลังกลับอย่างรวดเร็ว และปล่อยท่าโจมตีฉินเฟิง
หลังจากอดทนอยู่เป็เวลานาน ในที่สุดฉินเสวี่ยก็เหมือนจะะเิอารมณ์ขึ้นมา
เสียงกัดฟันอย่างรุนแรงของฉินอวี่ดังขึ้นท่ามกลางผู้คน ดวงตาทั้งสองของเขาเป็สีแดงก่ำดั่งเื จ้องมองตรงไปยังเบื้องหน้า และก้าวไปอย่างช้าๆ
สยงท่าเทียนเดินตามฉินอวี่ออกไป เมื่อมองเห็นท่าทางของฉินอวี่ เขาก็อดจะเกาศีรษะไม่ได้ เมื่อมองออกไปข้างหน้าอีกครั้ง เขาก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉินอวี่
“ใครกล้าขวางข้า ฆ่าให้หมด!” สายตาของฉินอวี่จ้องตรงไปยังฉินเฟิงและฉินเสวี่ยที่กำลังทะเลาะกัน ทันใดนั้นเขาก็หันไปพูดกับสยงท่าเทียนอย่างหนักแน่น ร่างกายของเขาสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง สีหน้าของสยงท่าเทียนเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าที่ฉินอวี่พูดมากำลังหมายถึงอะไร แต่ในเวลาต่อมาดวงตาของสยงท่าเทียนก็ต้องเบิกกว้างขึ้นในทันที
“ตูม!”
ฉินเฟิงที่กำลังสู้อยู่กับฉินเสวี่ยรู้สึกได้ถึงพลังอันท่วมท้นที่ไหลเข้าสู่หน้าอก ความเ็ปที่รุนแรงทำให้ฉินเฟิงรู้สึกชาไปในทันที จากนั้นเขาก็ส่งเสียงกรีดร้องที่บีบหัวใจขึ้นมา เขากระอักเืออกมาอย่างแรง ก่อนร่างจะกระเด็นลอยออกไป
ขณะที่เขากำลังลอยออกไปอย่างกลับหัวกลับหางนั้น มือที่เหมือนดั่งกรงเล็บเหล็กก็คว้าหมับเข้าที่คอของเขาทันที ฉินเฟิงใกลัวเป็อย่างมาก ก่อนที่เขาจะทันได้เห็นบุคคลที่จู่โจมเข้ามา เขารู้สึกได้เพียงการบีบอัดที่เกิดขึ้นในมือและขาทั้งสองข้างที่เ็ปทะลุทะลวงถึงหัวใจ จากนั้นพลังอันแข็งแกร่งก็หลั่งไหลเข้าสู่เส้นลมปราณของเขา ขณะที่ไม่ทันแม้จะส่งเสียงร้อง พลังดังกล่าวก็ทำลายเส้นลมปราณจนแตกออกทันที!
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง ชุยซั่วสูดลมหายใจเข้า และรีบะโออกไป “หยุดเดี๋ยวนี้!” แม้ว่าเขาจะดูถูกดูแคลนฉินเฟิง แต่ถึงอย่างไรก็เป็ลูกพี่ลูกน้องของเขา และเขายังเป็คนพามา หากฉินเฟิงต้องตายอย่างอนาถเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้จะอธิบายให้ชุยหงผู้เป็ปู่ฟังได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าฉินอวี่ยังไม่ยอมวางมือ ชุยซั่วก็ยิ่งโกรธและเรียกกระบี่ิญญาเล่มหนึ่งออกมาฟันตรงไปทางฉินอวี่ทันที แต่ในขณะที่เขากำลังโจมตีออกไป เงาร่างราวกับเจดีย์เหล็กก็ได้ตั้งตระหง่านขวางอยู่ตรงหน้าเขา คว้ากระบี่อันแหลมคมของชุยซั่วไว้ด้วยมือเปล่า ก่อนจะปล่อยหมัดออกไป กระแทกใส่หน้าอกของชุยซั่วอย่างจัง
“ปัง!” ชุยซั่วกระอักเืออกมาอย่างรุนแรง ร่างกายของเขากระแทกเข้ากับกำแพงวังหลวงอย่างแรงจนกำแพงพังทลายลงมา
ในขณะที่สยงท่าเทียนกำลังทำการโจมตีอยู่นั้น หวังผิงก็ใช้จังหวะนี้เริ่มเคลื่อนไหว
แม้ว่าหวังจะผิงยังรู้สึกประหลาดใจ แต่ถึงอย่างไรชุยซั่วก็เป็ศิษย์น้องของเขา หากมีเื่อะไรเกิดขึ้นที่นี่ เขาก็คงแบกหน้าอยู่ต่อไปไม่ได้ เมื่อเป็เช่นนี้เขาจะนั่งดูสยงท่าเทียนสังหารชุยซั่วได้หรือ?
การเคลื่อนไหวของหวังผิงทำให้ศิษย์คนอื่นของสำนักเทียนหั่วต่างห้อมล้อมเข้ามาทันที และเริ่มทำการโจมตี
“มาก็ดีเลย!” สยงท่าเทียนส่งเสียงะโ ทั่วทั้งร่างของเขาสว่างไสว จากนั้นจึงเรียกพลังขวงสยงออกมาในทันที
บรรดาผู้คนและผู้ฝึกฝนยุทธ์ที่อยู่ไม่ไกลต่างมองดูความชุลมุนที่อยู่ตรงหน้าอย่างงุนงง ทุกคนต่างตกตะลึง เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีใครกล้ามาต่อสู้กันที่ประตูวังหลวง ใครๆ ต่างก็รู้ว่า เ้าภาพในการจัดงานนี้คือสำนักโบราณเทียนหลง แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็การหักหน้าสำนักโบราณเทียนหลงอย่างรุนแรง
ไม่เพียงแต่ผู้คนจะตกตะลึง แม้แต่ชายวัยกลางคนที่รับผิดชอบตรวจสอบหนังสือเชิญก็ตกตะลึงตามไปด้วย เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนกล้าสร้างเื่วุ่นวายขึ้นในเวลานี้ แต่ไม่นานเขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ความโกรธเริ่มรุนแรงขึ้น จนร่างกายเริ่มปลดปล่อยพลังปราณที่รุนแรงออกมา พลันะโขึ้นอย่างโกรธเคือง “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
แต่สยงท่าเทียนที่กำลังต่อสู้กับหวังผิงจะยอมฟังที่ไหนกัน? ในตอนนี้สยงท่าเทียนไม่สนใจผู้ใดอื่นอีกแล้ว เขาเข้าโจมตีใส่หวังผิงในทันที
ระดับการฝึกฝนของหวังผิงอยู่ในขั้นเทียนชุ่ยระดับชั้นที่สอง แล้วเขาจะสามารถอดทนต่อหมัดั์อันดุร้ายของสยงท่าเทียนได้อย่างไร?
ในเวลานี้ ฉินอวี่ได้ทำลายเส้นลมปราณและแขนขาทั้งสองข้างของฉินเฟิงจนเขาเกือบจะเหลือเพียงครึ่งชีวิต และเขาก็หยุดโจมตี จากนั้นเขาก็มองไปยังสยงท่าเทียนที่กำลังต่อสู้กับหวังผิงอย่างบ้าคลั่ง และปรายตามองไปยังชายวัยกลางคนที่กำลังโกรธเกรี้ยว พลันะโขึ้นเสียงดัง “สยงท่าเทียน วางมือก่อนเถอะ”
สยงท่าเทียนหยุดการโจมตี และจ้องตรงไปที่หวังผิงอย่างดุดัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มขึ้นบนมุมปาก
ใบหน้าของหวังผิงกำลังดูเคร่งขรึมจนน่ากลัว เขาคิดจะตอบโต้กลับไป แต่ในเมื่อคนของสำนักโบราณเทียนหลงได้เอ่ยปากออกมาแล้ว เขาจึงไม่้าจะมีปัญหากับสำนักโบราณเทียนหลง และอีกประการหนึ่งคือ พลังของคนเถื่อนเช่นนี้เป็สิ่งที่น่ากลัวมากยิ่งนัก ทำให้เขาต้องระวังอย่างถึงที่สุดด้วยความหวาดกลัว
หวังผิงดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เขาเหลือบมองไปยังชุยซั่วที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและนั่งกระอักเือย่างต่อเนื่องอยู่บนกำแพงเมือง แล้วจึงพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ท่านสองท่าน ช่วยให้คำอธิบายข้าหน่อยได้หรือไม่ เหตุใดต้องโจมตีศิษย์สำนักเทียนหั่วของข้าด้วย?” ในตอนนี้ ด้านฉินเฟิงกลับไม่สนใจอะไร แต่เปลือกตาล่างของชุยซั่วได้รับาเ็ หากเขาหยุดในตอนนี้ผู้คนจะนับถือได้อย่างไร?
“คำอธิบาย?” สยงท่าเทียนหันศีรษะไปมองฉินอวี่ เมื่อพบว่าฉินอวี่มีใบหน้าที่เคร่งขรึม เขาก็อดจะเกาศีรษะไม่ได้ จากนั้นจึงหันไปทางหวังผิงพลางพูดขึ้นมา “พี่ใหญ่ของข้าเห็นเขาแล้วอารมณ์เสีย!” อันที่จริงสยงท่าเทียนไม่รู้หรอกว่าฉินอวี่ลงมือโจมตีไปเช่นนี้ด้วยเหตุใด แต่เมื่อดูจากสีหน้าของฉินอวี่ก่อนหน้านี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าเหมือนจะไม่สบอารมณ์สักเท่าไร
“เกิดอะไรขึ้น?”
ในตอนนี้ สีหน้าของอี้จ้านเทียนที่มองออกมาจากในวังหลวงก็เริ่มดูไม่ได้อย่างยิ่ง เขาใช้ความทุ่มเทอย่างมากที่จะจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้น แต่กลับมีคนกล้าจะมาทะเลาะต่อสู้กันที่หน้าประตูทางเข้างาน แม้ว่าอี้จ้านเทียนจะเป็คนง่ายๆ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเรียกเพลิงพิสุทธิ์ออกมา
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? ท่านพี่อี้ ศิษย์น้องของข้าถูกทำร้ายอย่างไม่มีเหตุผล ขอท่านพี่อี้โปรดให้คำอธิบายกับสำนักเทียนหั่วด้วย” หวังผิงที่ดูจะลำบากใจมองไปทางสยงท่าเทียนอย่างโเี้ สองมือของเขาก็ประสานขึ้นและพูดกับอี้จ้านเทียนด้วยความโกรธเคือง
“ยังต้องมีคำอธิบายด้วยหรือ? เ้าหูหนวกหรือ? ข้าก็บอกไปแล้วว่าศิษย์พี่ของข้าเห็นเขาแล้วอารมณ์ไม่ดี?” สยงท่าเทียนจ้องไปทางหวังผิง พลางชี้นิ้วข้างขวาไปทางชุยซั่วด้วยความโกรธ
“เยี่ยม! เยี่ยม เยี่ยมมาก! เป็คำตอบที่เยี่ยมไปเลย เห็นเขาแล้วอารมณ์ไม่ดี” อี้จ้านเทียนโกรธมาก วันนี้เขาได้เชิญผู้มีพร์วัยหนุ่มสาวของแดนนภาชิงเหลียนตะวันออกมาที่นี่ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาก่อความวุ่นวาย เพียงเพราะอารมณ์เสียที่เห็นหน้าใครสักคน? เื่นี้ทำให้เขาโกรธอย่างมาก
“ฮ่าๆ เป็คำตอบที่ดีจริงๆ เห็นเขาแล้วอารมณ์เสีย! ท่านพี่อี้ ดูเหมือนงานเลี้ยงของท่านพี่คงต้องมาคอยกังวลกันแล้วล่ะว่าใครเห็นหน้าพวกข้าแล้วจะอารมณ์เสียบ้าง” ในตอนนี้ เสียงที่เกรี้ยวกราดดังขึ้น ทุกคนต่างหันหน้าไปมอง กลับมองเห็นถงอวิ๋นเฟยและจื่อซวินเอ๋อกำลังเดินเข้ามาจากระยะไกล ใบหน้าอันหล่อเหลาของถงอวิ๋นเฟยเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุขที่ได้เห็นคนกำลังทุกข์ใจ
ฉินอวี่ยังคงมองอยู่อย่างนิ่งเฉย มองดูเื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้อย่างเ็า ราวกับว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา และปล่อยให้เหตุการณ์ทั้งหมดพัฒนาไปเรื่อยๆ
“เ้าไก่อ่อน น้ำเสียงที่ไม่น่าฟังเมื่อครู่นี้เ้ากำลังว่าใคร?” สยงท่าเทียนมองไปทางถงอวิ๋นเฟย และะโอย่างโกรธเคือง
ทันทีที่พูดเช่นนี้ออกมา ทุกคนต่างตกตะลึง โดยเฉพาะคนที่รู้จักตัวตนของถงอวิ๋นเฟย
หวังผิงมองไปทางสยงท่าเทียนราวกับคนตาย รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่มุมปาก กล้าเรียกคนในเผ่ายุทธ์ทองคำว่า “ไก่อ่อน” อย่างนั้นหรือ? ใบหน้าที่แข็งทื่อ สีหน้าที่ดูเคร่งขรึม จิตใจที่ดูเย้ยหยันแล้ว ทำแบบนี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?
“เ้าลองมองข้าอีกครั้งสิ!” สยงท่าเทียนะโอย่างโกรธเคือง
ในตอนนี้ ทุกคนต่างถอนหายใจ แม้แต่อี้จ้านเทียนก็ยังมองสยงท่าเทียนอย่างประหลาดใจ แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผุดขึ้นมาในความคิด ดวงตาของอี้จ้านเทียนเปล่งประกายขึ้นทันที จากนั้นจึงมองสยงท่าเทียนอีกครั้ง
การแสดงออกของถงอวิ๋นเฟยดูเคร่งเครียดมากขึ้น เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งก่อน สยงท่าเทียนจะสงบเสงี่ยมลงบ้าง แต่ครั้งนี้เขาคิดจะค่อยๆ โน้มน้าวความโกรธของอี้จ้านเทียนไปใส่ตัวฉินอวี่ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเ้าโง่คนที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน จะกล้าจะสร้างความขัดแย้งกับตนเอง
หากเป็เมื่อหลายวันก่อน ถงอวิ๋นเฟยคงจะลงมือสั่งสอนสยงท่าเทียนไปอีกครั้งแน่นอน แต่ไม่กี่วันมานี้ เขาได้ติดต่อไปทางครอบครัวเพื่อสอบถามเื่ของตระกูลขวงสยง แต่เขากลับได้คำตอบเพียงไม่กี่คำ “อย่าไปยุ่งกับพวกเขา”
คำพูดเพียงสั้นๆ นี้ ทำให้ถงอวิ๋นเฟยใอย่างมาก ใน่เวลารุ่งเรืองสูงสุดของเผ่ายุทธ์ทองคำ ความแข็งแกร่งนั้นยิ่งใหญ่มาก แต่กลับหวาดกลัวตระกูลขวงสยงเป็อย่างยิ่ง สิ่งนี้ทำให้ถงอวิ๋นเฟยต้องชั่งใจ ทันใดนั้น ถงอวิ๋นเฟยก็หันกลับมามองอี้จ้านเทียน ก่อนจะพูดอย่างเฉยเมย “ดูเหมือนจะมีบางคนไม่ยินดีให้พวกข้าเข้าร่วมงานเลี้ยงของท่านพี่อี้” ถงอวิ๋นเฟยเน้นเสียงตรงคำว่า “ของท่านพี่” อย่างหนักแน่น
ความหมายของเขาคือ มีใครบางคนกำลังไม่เห็นเ้าบ้านอยู่ในสายตา
ทันทีที่พูดออกมา สีหน้าที่แสดงออกของหวังผิงก็แข็งทื่อไปพร้อมความเยือกเย็น เขามองไปที่ถงอวิ๋นเฟยด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงมองไปที่สยงท่าเทียนอีกครั้ง
แม้ว่าจะพอคาดเดาได้ว่าผู้ที่ต่อสู้กับถงอวิ๋นเฟยที่ร้านขายยาหมื่นสรรพสิ่งจะต้องเป็สยงท่าเทียน แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ อี้จ้านเทียนจึงไม่อาจถอยหนีได้เลยแม้เพียงครึ่งก้าว ไม่เช่นนั้น ตัวเขาอี้จ้านเทียนจะมีหน้าอยู่ได้อีกหรือ? เขามองถงอวิ๋นเฟยอย่างเ็า จากนั้นอี้จ้านเทียนก็พูดกับฉินอวี่และสยงท่าเทียนอย่างจริงจัง “ท่านทั้งสอง ข้าขอคำอธิบายสำหรับเื่วันนี้ด้วย”
ในครั้งนี้ คิดว่าหากสยงท่าเทียนยังคงตอบว่า “เห็นแล้วอารมณ์เสีย” อีกครั้ง อี้จ้านเทียนจะต้องจับพวกเขาทั้งสองคนไปแน่นอน
ในตอนนี้ฉินอวี่ที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดได้เลิกคิ้วขึ้น แล้วเริ่มเอ่ยปากพูด “คำอธิบาย? ใครบอกข้าได้บ้าง วันนี้ใครเป็ผู้จัดงานเลี้ยงขึ้น ใครกันที่เป็เ้าภาพ? หากข้าเดาไม่ผิดละก็ คงจะเป็สำนักเทียนหั่วสินะ?”
ทันทีที่ฉินอวี่กล่าวออกไปเช่นนี้ คนทั่วไปและผู้ฝึกฝนยุทธ์ที่เฝ้าดูอยู่ไม่ไกลก็โกลาหลขึ้นทันที เพราะทุกคนต่างรู้ว่าอี้จ้านเทียนแห่งสำนักโบราณเทียนหลงเป็ผู้จัดเลี้ยงขึ้นมิใช่หรือ?
และในตอนนี้ ฉินอวี่กลับบอกว่าเป็สำนักเทียนหั่ว สิ่งนี้ทำให้ทุกคนต้องจ้องตรงไปยังฉินอวี่เป็สายตาเดียว ราวกับกำลังมองดูคนโง่คนหนึ่ง
เมื่อชุยซั่วที่ใบหน้าซีดขาวซึ่งพิงกำแพงอยู่ได้ยินคำพูดของฉินอวี่ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แต่ใบหน้าของหวังผิงกลับเปลี่ยนไปทันที
กล้ามเนื้อใบหน้าของอี้จ้านเทียนกระตุกอย่างแรง จ้องมองฉินอวี่อย่างเ็า และพูดขึ้นว่า “สหาย ทุกคนต่างรู้กันถ้วนหน้าว่าวันนี้สำนักโบราณเทียนหลงของข้าเป็ผู้จัดงาน นี่เ้า้ายั่วยุข้าหรือ?”
“ที่แท้ก็เป็สำนักโบราณเทียนหลงของเ้าที่จัดงานขึ้นที่นี่ ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็ขอถามเ้าหน่อยเถอะ มีคนที่ถือหนังสือเชิญจากสำนักโบราณเทียนหลงของเ้า แต่กลับถูกสำนักเทียนหั่วรังแกอย่างไร้ความปรานีอยู่หน้าประตู ข้าขอถาม... ครั้งนี้สำนักโบราณเทียนหลงเป็คนจัดงานจริงหรือ หากว่าใช่ ก็ขอให้สำนักโบราณเทียนหลงจงให้คำอธิบายกับน้องสาวของข้าด้วย แม้แต่คนได้รับเชิญยังปกป้องไม่ได้ สำนักโบราณเทียนหลงของเ้าจะมีสิทธิ์อะไรมาจัดงานเลี้ยง?!” ฉินอวี่ะโเสียงดังด้วยใบหน้าเคร่งขรึม จ้องมองไปทางอี้จ้านเทียน
เสียงนั้นดังกังวานและมีพลังอย่างยิ่ง
ในตอนนี้ ฉินอวี่ยกหน้ากากขึ้นและไม่ปิดบังตัวตนของตนเองอีกต่อไป