“พอได้แล้ว!”
ขณะนั้นมีเสียงเย็นเยือกแฝงด้วยความโมโหดังขึ้น จากนั้นผู้คนเห็นผู้เฒ่ามู่ตบโต๊ะจนโต๊ะแตกกระจายไม่เป็ชิ้นดี
“พวกเ้าสร้างความอับอายให้ตระกูลมู่ยังไม่พออีกหรือไง ข้าบอกให้เขาอยู่ก็คืออยู่ กลับมานั่งที่ตัวเองซะ!” ผู้เฒ่ามู่มองบุตรทั้งสองของตนด้วยสายตาเย็นเยียบ แม้เขาจะไม่ชอบเย่เฟิง แต่ก็ไม่้าให้คนตระกูลมู่ทำร้ายเย่เฟิง
มู่เทียนหลงและมู่เทียนหู่ชะงักไปเล็กน้อย พวกเขามองเย่เฟิงแวบหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ตัวเอง
“ผู้าุโเยว่ งานวันเกิดข้ามีการต้อนรับที่ไม่ดีต้องขออภัยเป็อย่างสูง” ผู้เฒ่ามู่กล่าวพร้อมคำนับเยว่กู่ เขาไม่สนว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลมู่กับสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะเป็อย่างไร แต่ตอนนี้ต้องปล่อยผ่านไปก่อน
“มิบังอาจ!” เยว่กู่โค้งตัวเล็กน้อยให้ผู้เฒ่ามู่ก่อนจะกล่าวว่า “ตอนนี้เย่เฟิงเข้าร่วมสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ทั้งยังคว้าอันดับหนึ่งในงานประลองของสำนักเมื่อหลายวันก่อน ถือว่าเป็บุคคลสำคัญที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะอบรมสั่งสอนเป็อย่างดีในภายภาคหน้า ดังนั้นข้าไม่หวังว่าจะมีผู้ใดลอบทำร้ายเย่เฟิง แม้จะเป็การกลั่นแกล้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อย่าได้เกิดขึ้นเชียว”
แม้เยว่กู่จะอ่อนน้อมถ่อมตนมาตลอด แต่น้ำเสียงของเขากลับแข็งกร้าว และยังแสดงท่าทีที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนมีต่อเย่เฟิงในเวลาเดียวกัน นี่ก็หมายความว่าผู้ใดที่้ากำจัดเย่เฟิงถือว่าเป็ศัตรูของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
ผู้เฒ่ามู่ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป คล้ายนึกไม่ถึงว่าหลานชายที่ไม่พบหน้านานหลายปีจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ และเขายิ่งไม่คิดว่าท่าทีของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่มีต่อเย่เฟิงจะมุ่งมั่นถึงเพียงนี้เช่นกัน เพื่อเย่เฟิงแล้ว สำนักยุทธ์เทียนเสวียนไม่ลังเลที่จะแตกคอกับตระกูลมู่ หากตระกูลมู่ทำร้ายเย่เฟิงก็ถือว่าทำลายฟางเส้นสุดท้ายของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน และมันจะนำามาสู่พวกเขาสองกองกำลัง
“อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 5 แต่คว้าอันดับที่ 1 ได้ ข้าละสงสัยมาตรฐานของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจริง ๆ!” ขณะนั้นมีเสียงดังมาจากทางฝั่งสำนักศึกษาเสินเจียง เป็ผู้าุโสำนักศึกษาเสินเจียง
ตระกูลมู่คำนึงถึงสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แต่สำนักศึกษาเสินเจียงเขาไม่สน สองกองกำลังมีความขัดแย้งบ่อยครั้ง และเป็ศัตรูกัน บัดนี้ทางราชวงศ์จ้าวพยายามกำจัดสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ดังนั้นสำนักศึกษาเสินเจียงเขาก็ยิ่งกดดันสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเข้าไปอีก
“หอชิงหลงข้าก็ไม่รังเกียจที่จะลงมือกับขั้นรวมชี่ที่ 5 สำนักยุทธ์เทียนเสวียน เพราะผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามชิงหลงอ่อนแอสุดก็อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6” คนของหอชิงหลงกล่าวพลางมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน
“สำนักยุทธ์เทียนเสวียนคงตกต่ำจริง ๆ อำนงอำนาจหายสิ้น ไม่สู้อยู่ใต้อาณัติราชวงศ์จ้าว สนับสนุนราชวงศ์จ้าว แล้วจะได้ฟื้นคืนความรุ่งโรจน์อีกครา ลูกศิษย์กลุ่มนี้ก็แค่มดแมลงเท่านั้น” ผู้าุโสำนักอี่เทียนกล่าว คนของสามกองกำลังต่างพากันดูถูกเหยียดหยามสำนักยุทธ์เทียนเสวียน จนผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ได้กลิ่นทะแม่ง ๆ สามกองกำลังฉวยโอกาสจากความขัดแย้งระหว่างเย่เฟิงกับตระกูลมู่ ร่วมมือกันกดดันสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ทำเหล่าผู้คนต่างเผยสีหน้าสนใจ พวกเขาอยากเห็นทะเลเพลิงที่ลุกโชนนี้
“ท่านทั้งสามไม่ต้องห่วงเื่ภายในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน สนใจเื่ตัวเองก่อนจะดีกว่า!” เยว่กู่ได้ยินคำพูดดูถูกเ่าั้ก็หน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะคิดในใจว่า “ขั้นพลังของเย่เฟิงกับอวิ๋นเจี๋ยต่ำต้อยจริง ๆ”
“สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเป็หนึ่งในสี่สำนักยุทธ์ศึกษาแห่งเมืองหลวง ลูกศิษย์ที่บ่มเพาะออกมาอาจไม่อ่อนแออย่างที่คิดไว้ หากทั้งสามกองกำลังมีข้อสงสัย ก็ลองทดสอบดูได้”
สิ้นเสียงเยว่กู่ มู่เทียนหลงก็ลุกขึ้นจากที่นั่งอีกครั้ง แต่ไม่ได้มองไปที่พวกเย่เฟิงเยว่กู่ เขากล่าวว่า “งานวันเกิดพ่อข้า หากมีการประลองคงดีมิใช่น้อย เช่นนั้นข้าขอแนะนำให้มีการแลกเปลี่ยนวิชา ผู้ใดอยู่ต่ำกว่าขั้นยุทธ์แท้ แต่สูงกว่าขั้นรวมชี่สามารถแลกเปลี่ยนวิชาได้ทุกเมื่อ หากอีกฝ่ายตกลงก็เปิดการประลองในโถงใหญ่ได้เลย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อทดสอบพลังของคนรุ่นเยาว์ การประลองจะต้องอยู่ในขอบเขตเท่านั้น”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ชะงักไปชั่วขณะ พร้อมคิดในใจว่ามู่เทียนหลงร้ายกาจมาก
สามกองกำลังพากันกดดันสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ในจุดนี้นั้นเหมือนคอยซ้ำเติมอีกแรงด้วยการอาศัยมือของสามกองกำลังจัดการสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เช่นนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ยังใช้โอกาสนี้ช่วยกอบกู้ชื่อเสียงตระกูลมู่ได้อีกด้วย โดยให้ทุกคนในที่แห่งนี้สนใจแต่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน เพื่อปกปิดความอัปยศของตระกูลมู่ก่อนหน้านี้
“ข้าเห็นด้วยกับพี่มู่!” ผู้าุโสำนักศึกษาเสินเจียงกล่าว
“ข้าเห็นด้วย!”
“ข้าก็ด้วย!”
หอชิงหลงและสำนักอี่เทียนต่างออกมาแสดงจุดยืน ส่วนกองกำลังอื่น ๆ ก็ย่อมไม่คัดค้าน
แม้เยว่กู่จะดูออกว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน หาไม่แล้วคงถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้
“ในเมื่อทุกท่านเห็นด้วย เช่นนั้นก็เริ่มการแลกเปลี่ยนวิชาได้ ณ บัดนี้” มู่เทียนหลงกล่าวพร้อมยิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ
“ดี!” ผู้าุโหอชิงหลงระบายยิ้ม จากนั้นหันไปมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังแล้วพูดว่า “หยางฉง เ้าไปจัดการอันดับหนึ่งนั่นของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เป็ไง?”
ชายหนุ่มนามว่าหยางฉงคนนั้นตาเผยประกายคมกริบ “ไม่มีปัญหาแน่นอนขอรับ ก็แค่ขั้นรวมชี่ที่ 5 ข้าเอาชนะเขาได้โดยที่ไม่ต้องออกแรงมากด้วยซ้ำ”
หยางฉงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เขาอยู่อันดับที่ 10 ในรายนามชิงหลงแห่งหอชิงหลง เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 สูงกว่าเย่เฟิงหนึ่งระดับ ทั้งยังมีพลังแกร่งกล้า ทำให้หยางฉงรู้สึกได้เปรียบ จากนั้นหยางฉงเดินออกมาข้างหน้า มองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลนก่อนกล่าวว่า “มาสู้กัน หากเ้าไม่กล้าตอนนี้ก็ยอมแพ้ไปซะ!”
ฉากนี้ทำให้ผู้คนตาเป็ประกาย และเฝ้ารอว่าเย่เฟิงจะกล้าสู้กับหยางฉงหรือไม่ แต่เหล่าคนที่เคยเห็นเย่เฟิงฆ่าตู๋กูหลงต่างแอบไว้อาลัยให้กับหยางฉง แม้แต่คนของตระกูลตู๋กูหรือตระกูลเฉินที่ชิงชังเย่เฟิงก็ยังดูแคลนหยางฉง เพียงแต่ในที่แห่งนี้พวกเขาทำได้เพียงมองดูหยางฉงประสบกับความโชคร้าย ถึงอย่างไรฝ่ายหอชิงหลงก็เป็คนให้หยางฉงไปท้าเย่เฟิงก่อน
เย่เฟิงมองหยางฉงด้วยสายตานิ่งเรียบ ไร้ซึ่งความผันผวนใด ๆ พร้อมกล่าวว่า “เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ไสหัวไปซะ!”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกไป จู่ ๆ ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายหอชิงหลงก็เผยสีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย ภายในใจของพวกเขาหวังว่าหยางฉงจะสั่งสอนเย่เฟิงให้หนัก ๆ
“เ้าคนโอหัง ในเมื่อเ้าไม่รู้จักกาลเทศะ เช่นนั้นข้าจะให้เ้าชดใช้กับความโอหังของเ้า!”
หยางฉงเกิดโทสะเพราะคำพูดของเย่เฟิง เขาอัดพลังหยวนใส่ฝ่ามือ ก่อนจะวาดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิง เห็นชัดว่ากระบวนท่านี้ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยือก จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดออกไปโดยใช้เพียงพลังกายล้วน ปราศจากการใช้พลังหยวนใด ๆ
“ปัง!” การโจมตีทั้งสองเข้าปะทะกัน จากนั้นผู้คนได้ยินเสียงกระดูกแตกหักแล้วตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันเ็ป
นาทีต่อมาเห็นหยางฉงตัวกระเด็นปลิวออกไป ก่อนจะกระแทกพื้นอย่างแรง แล้วเขาก็นิ่งไปไม่ขยับเขยื้อน
“นี่...” ผู้คนต่างตะลึงงัน โดยเฉพาะคนเ่าั้ที่คิดว่าหยางฉงจะสั่งสอนเย่เฟิงหนัก ๆ ก็ใกว่าใคร ๆ กำปั้นที่เรียบง่ายแต่ซัดหยางฉงที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6 กระเด็นปลิว อีกอย่างพวกเขายังััได้ว่าในหมัดของเย่เฟิงไม่มีพลังหยวนเคลื่อนไหวอยู่เลย เป็เพียงพลังกายบริสุทธิ์เท่านั้น พลังกายของเย่เฟิงผู้นี้น่าหวาดกลัวเพียงนี้เชียวหรือ?
“รู้สึกคุ้นจัง!” จ้าวซินอี๋ที่นั่งอยู่ต้องชะงักไปชั่วขณะ นางรู้สึกคุ้นตากับหมัดที่ใช้เพียงพลังกายบริสุทธิ์นี้มาก ในค่ายกลมายามีชายนามว่าตั๋วมิ่งก็ใช้กระบวนท่าธรรมดา ๆ แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยพลังเต็มสิบส่วนนี้เช่นกัน
“อ่อนหัด ทำตัวเองแท้ ๆ ข้าไม่รู้ว่าเขามีนิสัยฉกฉวยโอกาสหรือคนในรายนามชิงหลงของหอชิงหลงเ้าไร้น้ำยากันแน่!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมองไปทางด้านหอชิงหลง เมื่อคนของหอชิงหลงได้ยินต่างก็เผยหน้าเขียวและมองเย่เฟิงด้วยสายตาอาฆาต
“ไหนบอกอยู่ในขอบเขต แล้วเหตุใดเ้าทำลายแขนของเขา?” ผู้าุโหอชิงหลงซักถามเย่เฟิงด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“เขาใช้กระบวนท่าสังหารกับข้าก่อน หรือท่านไม่เห็น?” เย่เฟิงแสยะยิ้มก่อนจะพูดต่อไปว่า “หากหอชิงหลงท่านมีแต่คนอ่อนหัด ทางที่ดีก็อย่าออกหน้าเดี๋ยวจะขายหน้าเสียเปล่า!”
“วาจาโอหัง กำเริบเสิบสาน ข้าหลูเฉียงจะกำราบเ้าให้จงได้!” ขณะนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์หอชิงหลงคนหนึ่งทนดูไม่ได้ จากนั้นเขากะพริบร่างแล้วไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเย่เฟิง เขามองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือก แล้วกล่าวต่อว่า “อย่าคิดว่าเอาชนะหยางฉงแล้วจะทำตัวเหิมเกริมไม่สนใครหน้าไหนก็ได้ คนของหอชิงหลงข้าสามารถเอาชนะเ้าได้ ในนั้นรวมทั้งข้าด้วย ถ้าไม่อยากมีจุดจบที่น่าอนาถก็จงคุกเข่าขอโทษซะ!”
“หลูเฉียง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 7 อยู่อันดับที่ 8 ในรายนามชิงหลงแห่งหอชิงหลง เป็คนที่หยางฉงมิอาจทัดเทียม ครั้งนี้เย่เฟิงคงเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ง่าย ๆ คาดว่าหลูเฉียงอาจเป็ฝ่ายชนะแทน” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว ซึ่งคำพูดของเขาแทนคำตอบของใครหลาย ๆ คน พวกเขาส่วนใหญ่ไม่คิดว่าเย่เฟิงจะเอาชนะหลูเฉียงได้
“อยากสู้กับเขา ก็เอาชนะข้าให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูด!” ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวที่เบื้องหน้าหลูเฉียงผู้นั้น
“ขั้นรวมชี่ที่ 4 งั้นหรือ ล้อเล่นกันใช่ไหม? มีพลังแค่นี้ก็กล้าเสนอหน้าออกมา เช่นนั้นข้าจะจัดการเ้าก่อน”
ดวงตาของหลูเฉียงเผยประกายเย็นเยือก จากนั้นปล่อยพลังออกไปโจมตี หมายสั่งสอนอวิ๋นเจี๋ย!
