{ยามเว่ย}13.00 - 14.59 น.
หลิวเซียงเอ๋อร์ทอดกายเดินชมสวนดอกโบตั๋นที่กำลังออกดอกเบ่งบานอวดความสวย เธอค่อย ๆ ย่อกายลงพร้อมสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ พลางเผยยิ้มอย่างพอใจ
“ถวายพระพรสนมหลิวซูเฟยเพค่ะ” สตรีร่างบางที่ยืนอยู่ตรงข้ามด้านหน้าเธอ ส่งยิ้มเล็กน้อย หลิวเซียงเอ๋อร์รีบลุกยืนก่อนจะพยักหน้ารับ
‘แล้วนี่ใครล่ะเนี้ย’ หลิวเซียงเอ๋อร์จ้องมองหน้าเรียวงามดั่งรูปไข่ ดวงตากลมสวยเหมือนกลีบท้อแรกแย้ม เธอคาดเดาไม่ได้เลยว่าหญิงงามตรงหน้านี้เป็สนมคนใดกัน
“หลินเสียงถวายพระพร พระสนมจูเสียนเฟยเพค่ะ” หลินเสียงที่เดินกลับมาจากห้องเครื่อง หลังจากจัดเตรียมน้ำชาและขนมให้นายสาวได้พักชมดอกโบตั๋น
‘อ้อ..จูเสียนเฟย ภรรยาเยอะดีจริง ๆ ฮ่องเต้องค์นี้...แต่เดี๋ยวนะ งั้นนางก็คือนางเอกในโลกนี้ซิ มิน่าหน้าตาผิวพรรณผุดผ่องออร่าเปล่งประกายเชียว’ หลิวเซียงเอ๋อร์ยืนอมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“พระสนมหลิวท่านอาการดีแล้วหรือเพค่ะ เห็นเหล่านางกำนัลบอกว่าท่านสลบไปนานถึงสามวันด้วยกัน” จูเสียนเฟย หรือจูเหมยฮวา สนมผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็ที่รักของฮ่องเต้ถามพร้อมยกยิ้มเล็กน้อย
“เราดีขึ้นแล้วสนมจูมิต้องเป็ห่วง นางกำนัลก็พูดเกินไปเราแค่พักผ่อนก็เท่านั้น”
“เมื่ออาการดีแล้ว เหตุใดเ้าถึงมิเข้าเฝ้าฮ่องเต้” เสียงเอ่ยแทรก ของสตรีอีกนางที่เดินเข้ามาตรงหน้าเธอ สตรีร่างสูงโปร่งผิวขาวหมดจด ใบหน้ายาวเรียวรับกับดวงตากลม จนหลินเสียงต้องรีบกระตุกชายเสื้อให้เธอหันมองปากขยับไร้เสียงนั่น
‘อะไรนะ..อ๋อกุ้ยเฟย’ เธอมองปากนั่นแล้วสะกดตามอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะหันมาหายังสตรีผู้มาใหม่
“ถวายพระพร พระสนมจิ้งกุ้ยเฟย” หลิวเซียงเอ๋อร์เรียนแบบท่าทางของหญิงงามที่เคยกล่าวทักเธอเมื่อซักครู่ ก่อนจะยืนตัวตรงหน้าเชิดราวกับท่าทางของเ้าของร่างเดิม
“หากเ้าอาการดีขึ้นแล้ว เหตุใดจึงไม่เข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮา หรือเ้ากลัวเื่อันใดสนมหลิว”
“มิต้องห่วงเราต้องเข้าเฝ้าฝ่าาแน่ เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายข้ายังมิแข็งแรงดีหากเป็อะไรไปเกรงฝ่าาจะทรงเป็ห่วง” หลิวเซียงเอ๋อร์กระตุ้กหางคิ้วอย่างไม่พอใจในท่าทางของสนมจิ้งกุ้ยเฟยที่ทำราวกับว่าเธอได้กระทำผิดต่อสิ่งใด
‘หรือนางจะทำผิดจริง’ หลิวเซียงเอ๋อร์นึกสงสัยในร่างเดิมของหลิวเซียงเช่นกัน
“ข้ามิได้ว่ากล่าวเ้า เพียงแค่บ่าวไพรต่างก็เห็นว่าเ้าผลักสนมจูเสียนเฟยตกน้ำ จริงหรือไม่สนมจูเสียนเฟย”
“เออ…ตอนนั้นหม่อมชั้นใจึงจำอะไรไม่ได้กันเพค่ะ" จูเหมยฮวาทำเสียงอ่อนพลางก้มหน้าราวคนผิด
“มันเป็อุบัติเหตุ ข้าเองก็ตกลงในสระนั่นเช่นเดียวกัน ถ้าข้าจงใจเหตุใดข้าต้องทิ้งตัวลงในสระน้ำนั่นเล่า”
“ก็เพราะเ้าชอบเรียกร้องความสนใจจากฝ่าานะซิ ครานี้เห็นทีฝ่าาคงจะไม่โอนอ่อนตามเ้าแน่” สนมจิ้งกุ้ยเฟย หรือจิ้งหนี่เหนียนบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ ต่างเป็ที่รู้กันว่าแต่ไหนแต่ไรมานางทั้งสองมักจะต้องแข่งขันเอาชนะกันอยู่เสมอแต่ก็มิเคยมีใครน้อยหน้าไปกว่ากัน
“ข้ามิสนว่าฝ่าาจะสนใจข้าหรือไม่ ขอแค่ข้าอยู่ได้ไม่ลำบากก็เพียงพอ” หลิวเซียงเอ๋อร์เอ่ยวาจาชัดเจน ทำให้บุรุษร่างสูงผู้ที่มาทีหลังถึงกับหมวดคิ้วเข้มอย่างไม่พอใจ
“สามหาว!! เ้ากำลังว่าเจิ้นมิดูแลใส่ใจวังหลังเลยหรือ” บุรุษร่างสูงกำลังเดินเข้ามาใกล้ สองมือไขว้หลังเผยไหล่กว้างอย่างสง่า หลิวเซียงเอ๋อร์ใจนรีบถอยหลัง
“ถวายพระพรฝ่าา” หลิวเซียงเอ๋อร์รู้ดีว่ายามนี้บุรุษตรงหน้าเธอเป็ใครมิได้นอกจากฮ่องเต้หนานรั่วหาน กษัตริย์ผู้เฉียวฉลาดทั้งบุ๊นและบู๊ผู้ที่ส่งให้เธอไปอยู่วังหลังนั่นเอง เธอรีบก้มหน้าลงพื้นก่อนจะก้าวถอยหลังไปหาหลินเสียงที่ยืนถือถาดชาและขนมอยู่
“ถวายพระพรฝ่าา” เหล่าสนมย่อกายน้อมคำนับพร้อมเพรียงกัน หลิวเซียงเอ๋อร์ค่อยเงยหน้าจ้องมองใบหน้าร่างสูงที่ดูงดงามกว่าชายใดที่เธอเคยพบมา หากแต่บางสิ่งที่สะดุดตาคงเป็ดวงตาคมดุจดังเหยี่ยวนั่นที่ทำให้เธอกลับนึกถึงใครบางคน
‘เฟอร์เฟคที่สุด ช่างเป็ฮ่องเต้ที่รูปโฉมงดงามราวมาจากสรวง์ ไม่แปลกใจเลยเหตุใดสนมหลิวถึงได้ห่วงหาอาทรในฮ่องเต้นัก ทั้งที่มีชายหนุ่มรูปงามข้างกายแท้ ๆ ’ เธอมองพิจารณาใบหน้าคมเข้ม คิ้วเรียงเฉียงรับกับใบหน้า
“เจิ้นเพียงยุ่งงานราชกิจมากไปหน่อย ไม่คิดว่าสนมหลิวจะคิดเช่นนี้ เช่นนั้นเจิ้นจะให้เหิงกงกงหายามส่งตัวเ้าเข้าหอดีหรือไม่” ฮ่องเต้หนานรั่วหานยกยิ้มอย่างพอใจ เขามิเคยเห็นสีหน้าซีดๆ ของนางยามใ และสีหน้าแดงระเรื้อราวผลเชอรี่ยามเขินอาย เหล่าสนมได้ยินต่างค้อนสายตามองนาง แต่ก็มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยขัด
“ฝ่าากระหม่อมจะหายามเข้าหอพระสนมหลิวซูเฟยให้พะยะค่ะ หากแต่ฤกษยามอาจมิทันพระทัยพระองค์ได้ข้าน้อยขอประทานอภัย” หลิวเซียงเอ๋อร์หันมองหน้าเหิงกงกง ก่อนจะแอบยิ้มอยู่ภายในใจ
‘โชคดีที่ยุคนี้จะทำอะไรก็ต้องมีพิธีรีตอง มิฉะนั้นเห็นทีเราคงจะรอดพ้นยาก ไม่ตายเสียก่อนก็คงตกเป็รองฮ่องเต้เมียเยอะคนนี้แน่’ หลิวเซียงเอ๋อร์นึกว่ากล่าวเขาอยู่ภายใน
“เช่นนั้นหม่อมชั้นทูลลาเพค่ะ” หลิวเซียงเอ๋อร์ย่อกายอย่างน้อบน้อม
"เดี๋ยวก่อนเจิ้นมีเื่ต้องคุยกับเ้า” พูดจบฮ่องเต้หนุ่มก็ได้แต่เอามือไขว้หลังเดินตรงไปยังศาลาริมน้ำ เหล่าขันทีและนางกำนัลที่ติดตามต่างรู้หน้าที่ทำได้เพียงยืนรอห่างราวครึ่งลี้1 ส่วนสนมสองนางยืนมองหน้ากันอย่างสงสัย หลิวเซียงเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มปอดก่อนจะเดินตรงไปยังศาลานั่น
หลิวเซียงเออร์ค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างช้า ๆ บนสะพานไม้โค้งเธอมีความรู้สึกเหมือนภาพด้านหน้าวูบไหว กลับมีภาพซ้อนทับ มันเป็ภาพหญิงสาวสองนางกำลังยืนชมดอกบัวก่อนที่หญิงนางหนึ่งที่เธอดูคุ้นตาจะเดินเข้าหาอีกสตรีร่างบาง ภาพที่เห็นเริ่มชัดเจนทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วหญิงสาวที่เธอเห็นก็คือ สนมหลิวซูเฟย และสนมจูเสียนเฟย ที่กำลังตกลงไปในสระบัวก่อนภาพจะกลับมาสู่ปกติ ร่างบางทรุดตัวลงมือสองข้างทำได้เพียงเกาะขอบสะพานเพื่อทรงตัว ฮ่องเต้หนานรั่วหานเห็นใบหน้านางขาวซีด
“เ้าเป็เช่นไร” ฮ่องเต้หนานรั่วหานเอ่ยถามก่อนจะยืนมือเพื่อรั้งร่างบางให้ลุกยืน
“หม่อมชั้นแค่รู้สึกวิงเวียนเท่านั้นเพค่ะ”
“เช่นนั้นเจิ้นจะให้นางกำนัลส่งเ้ากลับตำหนักเสียก่อน”
“มะ..มิเป็ไรเพค่ะ!!” หลิวเซียงเอ๋อร์รีบปฏิเสธ เธอเป็เพียงสตรีในวังหลังหากทำสิ่งใดไม่ถูกใจในวันนี้ต่อไปเธอคงจะอยู่ยาก สู้เธอยอมรับฟังสิ่งที่เขาอยากจะเอื้อนเอยอย่างน้อยก็ยังพอสู้หน้ากันได้
“เช่นนั้นเจิ้นจะมิถ่วงเวลาเ้ามาก” บรุษร่างสูงยืนไขว้หลังหันมองออกไปนอกศาลากลางสระบัว สันจมูกที่โด่งรับกับคิ้วเข้มทำให้ใบหน้าด้านดูสง่าผ่าเผยเป็อย่างยิ่ง
“เพค่ะ” หลิวเซียงเอ๋อร์กุมมือประสานยกขึ้นเล็กน้อยพอดูงาม เธอค่อยๆ ปรับเปลี่ยนท่าทางจากที่ผ่านตามาบ้างจนพอจดจำทำได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ถือว่าเริ่มคุ้นชิน
“เหตุใดวันนั้นเ้าจึงได้ผลักสนมจูเสียนเฟย” หลิวเซียงเออร์ยืนจ้องใบหน้าด้านข้างฮ่องเต้หนุ่ม เธอไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรดีในเมื่อภาพที่เธอเห็นเมื่อซักครู่ใครเห็นก็ต้องเข้าใจว่าเธอเป็คนผลักสนมจูเสียนเฟยตกลงไปเป็แน่
“เป็เหตุบังเอิญเพค่ะ”
“บังเอิญ!! หรือเ้าตั้งใจกันแน่”
“เหตุใดหม่อมชั้นต้องผลักสนมจูด้วย ในเมื่อหม่อมชั้นก็ตกลงในสระบัวนั่นเช่นกัน”
“แล้วเจิ้นจะรู้ได้เช่นไรว่าเ้ามิได้โป้ปดเจิ้น” ร่างสูงหันหน้ามองแววตาเขาช่างดุราวกับราชสีห์ที่มองกวางน้อย
“หม่อมชั้นขอประทานอภัย หากพระองค์จะทรงเชื่อหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพระองค์แล้วเพค่ะ” หลิวเซียงเอ๋อร์หลบสายตามองต่ำ
“พระสนม..เหตุใดเ้าจึงพูดเช่นนั้น เ้าเห็นว่าเจิ้นเป็คนจิตใจคับแคบหรือกระไร”
“หม่อมชั้นไม่มีพยานและหลักฐาน แล้วจะให้หม่อมฉันหาสิ่งใดมากราบทูลล่ะเพค่ะ”
‘สนมหลิวท่านหาเื่ให้ข้าลำบากแล้ว’ ร่างบางก้าวถอยหลังเพราะถูกร่างสูงที่กำลังขยับก้าวเข้าใกล้
“ครั้งนี้เจิ้นอภัยให้เ้า หากมีครั้งหน้าอย่าหาว่าเจิ้นข่มเหง” ฮ่องเต้หนานรั่วหานสบัดแขนเสื้อก่อนจะเดินออกจากศาลากลับตำหนักหลงเฉียวกงอย่างไม่พอใจ
1 1 ลี้ = 500 เมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้