ความลับ?
คุณหนูสามตระกูลหานมาพร้อมกับท่านชายซูชัดๆ เห็นได้ชัดว่านางยืนอยู่ข้างท่านชายซู ในตอนนี้ไม่ไปสนใจข้อมือท่านชายซู แต่วิ่งมาบอกความลับ? ราวกับว่าเื่ราวเมื่อสักครู่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน?
แม้ว่าท่านชายซูจะน่ารังเกียจ แต่หญิงสาวคนนี้จะไม่ใจกว้างไปหน่อยหรือ?
นางถึงขนาดมีความลับกับจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย? ดูท่าว่านางกับจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยคงไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดา พวกเขามีความสนิทสนมกัน!
จิตใจของกูเฟยเยี่ยนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและแค้นเคืองใจเล็กน้อย เพราะในใจของนางคิดว่าหญิงสาวที่มีความสนิทสนมกับจิ้งหวางเตี้ยนต้องเป็หญิงงามที่สร้างความโปรดปราน มันไม่สมควรที่จะเป็หานอวี๋เอ๋อร์ที่งามเพริศพริ้ง แต่มีคำพูดคิดร้ายกับคนอื่นอยู่ตลอดนี่นา?
อย่างไรก็ตามต่อให้นางอยากรู้อยากเห็นและรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม แต่นางก็ไม่สามารถทักถามได้ว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยทรง้าเพื่อนแบบไหน นางก็ี้เีจะสนใจเช่นกัน
ใบหน้าของกูเฟยเยี่ยนเผยถึงรอยยิ้มบางเบาแล้วโน้มกายเอ่ยรับคำ “เพคะ” พร้อมกับยื่นมือไปรับบัตรสีดำจากนั้นหันหลังเดินออกไป ฝีเท้าของนางเรียกได้ว่ากระฉับกระเฉงมาก!
ภายในบัตรสีดำใบนี้มีหลายหมื่นเหรียญทองที่จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยได้มอบให้นาง มันเพียงพอที่จะทำให้นางตามหาสมุนไพรล้ำค่ามากมายในสนามประมูลแล้วนำไปป้อนหวางเป่าติงน้อยได้ หากว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยคอยอยู่เคียงข้างนางก็ต้องพะว้าพะวังและต้องคอยระมัดระวังคำพูดกับการกระทำของตนเอง แต่เมื่อจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยไม่อยู่นางก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ! " เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่เมืองจิ้นหยาง ไม่มีใครรู้จักนาง
กูเฟยเยี่ยนยิ่งคิดฝีเท้าก็ยิ่งกระฉับกระเฉงมากขึ้น ผ่านไปไม่นานก็ได้แยกตัวออกมาไกลแล้ว
หานอวี๋เอ๋อร์เกิดความประหลาดใจมาก นางมองไปที่แผ่นหลังของกูเฟยเยี่ยน ภายในใจเกิดความรู้สึกถึงหมัดกระทบกับปุยฝ้าย มีแรงแต่ไม่อาจใช้ได้ น่าอึดอัดเสียจริง!
นางมาเพื่อแสดงอำนาจและยั่วยุ กูเฟยเยี่ยนมองไม่ออกหรือ?
ไม่ นางไม่เชื่อ!
นางคิดว่ากูเฟยเยี่ยนแสร้งทำเป็แน่ กูเฟยเยี่ยนแสร้งทำเป็ปล่อยเพื่อที่จะจับ นางมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งในพริบตา!
หานอวี๋เอ๋อร์สงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็วแล้วกระซิบแ่เบา “จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย อวี๋เอ๋อร์ได้จองที่นั่งไว้ที่ศาลาน้ำชา พวกเราจิบชาไปพร้อมกับพูดคุยกัน ดีหรือไม่? ”
ในขณะนี้จวินจิ่วเฉินกำลังจ้องมองไปที่แผ่นหลังของกูเฟยเยี่ยนราวกับใจลอยจึงไม่ได้ยินคำพูดของหานอวี๋เอ๋อร์
เมื่อหานอวี๋เอ๋อร์เห็นเช่นนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะเกิดโทสะขึ้นมา
นางตั้งใจเดินไปหยุดตรงหน้าจวินจิ่วเฉินเพื่อบดบังสายตาของเขาแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เตี้ยนเซี่ย ท่านนั้นคือกูเฟยเยี่ยนแพทย์หญิงในจวนของท่าน? มีข่าวลือมาว่าทักษะสมุนไพรของนางยอดเยี่ยมจนเหนือกว่าศาสตราจารย์แพทย์ห้องยาสำนักหมอหลวง ข่าวลือนี้จะไม่พูดเกินจริงไปหน่อยหรือ? ”
จวินจิ่วเฉินไม่ได้ใส่ใจในคำถามของนาง สายตาของเขาจับจ้องไปที่พืชมหัศจรรย์ที่ห้อยอยู่บนเอวนาง เขาถามด้วยน้ำเสียงเ็า “เ้าหาเจอแล้วหรือยัง? ”
หานอวี๋เอ๋อร์ยิ้มแต่ไม่ตอบ นางเพียงแค่เอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย ไปคุยรายละเอียดที่ศาลาน้ำชากันเถอะ”
สิ่งที่ห้อยอยู่บนเอวของหานอวี๋เอ๋อร์มีนามว่าคงชี่เฟิ่งหลี โดยปกติมักจะถูกเรียกว่าต้นหญ้าเฟิ่งหลี นี่เป็พืชที่ไม่มีราก ไม่จำเป็ต้องใช้ดินในการเพาะปลูก และเป็พืชมหัศจรรย์ที่ไม่จำเป็ต้องใช้น้ำในการเพาะเลี้ยง ปล่อยวางเอาไว้โดยมารดน้ำเล็กน้อยนานๆ ครั้ง ก็สามารถอยู่รอดได้แล้ว พืชนี้มีหลากหลายพันธุ์และมีขนาดที่แตกต่างกัน ในมือของหานอวี๋เอ๋อร์เป็ต้นที่ค่อนข้างเล็ก ไม่มีดอก ใบไม้สีเหลืองสดใสม้วนตัวออกด้านนอก เมื่อมองดูแล้วราวกับดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กที่มีความงดงามมาก
หานอวี๋เอ๋อร์ใช้เชือกเล็กสีแดงผูกมันเอาไว้แล้วห้อยไว้ที่เอวเคียงคู่กับจี้หยกและถุงหอม เมื่อมองดูแล้วไม่โดดเด่นแต่ก็ให้ความรู้สึกขี้เล่น
ราวสามปีก่อนนางได้รับคำสั่งมาจากมารดาบุญธรรมให้ไปถวายของขวัญในวันคล้ายวันประสูติของเทียนอู่ฮ่องเต้ ภายในพระราชวังนางได้พบกับจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยที่เพิ่งจะกลับมาที่เมืองจิ้นหยางได้ไม่กี่วัน และจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยก็ได้สังเกตถึงต้นหญ้าเฟิ่งหลีบนเอวของนาง
พวกเขาได้ออกจากพระราชวังพร้อมกัน จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยชื่นชอบต้นหญ้าเฟิ่งหลีเป็อย่างยิ่ง เขาไม่เพียงแต่ถามถึงที่มาที่ไป แต่ยังได้เอ่ยขออีกด้วย ในตอนนั้นนางระมัดระวังตัวโดยพูดแค่ว่านี่คือต้นเฟิ่งหลี ตนเองได้พบโดยบังเอิญที่ตลาดในหมู่บ้านทางใต้ นางไม่้าตัดขาดแล้วมอบให้เขา แต่เต็มใจช่วยเขาตามหาอีกหนึ่งต้น
ด้วยเหตุนี้ระยะเวลาสามปีนางจึงเป็เพื่อนกันกับจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยและติดต่อกันตลอด
นางไม่ได้ออกตามหาดอกเฟิ่งหลีและพยายามถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ
เมื่อมาถึงที่ศาลาน้ำชาจวินจิ่วเฉินก็ได้เอ่ยถามอีกครั้ง “มีข่าวคราวอะไรหรือ? ”
หานอวี๋เอ๋อร์ยังคงไม่พูดอะไรโดยคงความลึกลับเอาไว้ นางตั้งใจแกะต้นเฟิ่งหลีออกมาแล้วยื่นไปให้จวินจิ่วเฉิน “เตี้ยนเซี่ย ท่านไม่ได้พบมันมาปีกว่าแล้วใช่หรือไม่? ท่านลองดู มันเปลี่ยนแปลงไปใช่หรือไม่? ”
จวินจิ่วเฉินรับมาด้วยความระมัดระวังแล้วพิจารณาอย่างจริงจัง
ในตอนนั้นการที่เขาสังเกตได้ถึงต้นเฟิ่งหลีในชั่วพริบตาเป็เพราะในตอนที่เห็นมันแวบแรกเขาก็ััได้ถึงความคุ้นเคยและความสนิทสนมที่ไม่อาจพรรณนาได้ ราวกับว่าตนเองเคยเพาะเลี้ยงและชื่นชอบสิ่งนี้มาก่อน
เช่นเดียวกันกับดอกเหลียนเฉียวมากมายในสวนดอกไม้ด้านหลังจวนของเขา สิ่งเหล่านี้มีทั้งความคุ้นเคยและความสนิทสนมที่ไม่อาจบรรยายได้ แต่ไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกถึงเหตุผล นึกไม่ออกว่าตนเองเคยพบเจอที่ไหน
เขารู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับความทรงจำสิบปีที่หายไปของเขา เขาสงสัยแม้กระทั่งในวัยเด็กของตนเองได้เติบโตที่สวนดอกเหลียนเฉียว
เขาได้ส่งคนไปค้นหาสถานที่หลายแห่งที่มีทุ่งดอกเหลียนเฉียว และไร่ดอกเหลียนเฉียว จากนั้นเขาจึงไปดูด้วยตนเองในทุกที่ น่าเสียดายที่ไม่พบอะไรเลย
ในอดีตเขาเคยลองใช้ดอกเหลียนเฉียวมาหยั่งเชิงต้าหวงซูกับฟู่หวง ทว่าพวกเขากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ สัญชาตญาณบอกเขาว่าเขาไม่ได้ถูกเลี้ยงดูและโตมากับต้าหวงซู
สำหรับต้นหญ้าเฟิ่งหลีเขาก็ได้ส่งคนไปตามหาอย่างลับๆ เช่นกัน น่าเสียดายที่สามปีมานี้ล้วนหาต้นที่สองไม่พบ จวบจนกระทั่งในตอนนี้หานอวี๋เอ๋อร์คือเบาะแสเดียวที่เขามี…
เมื่อมองไปที่ต้นหญ้าเฟิ่งหลีเล็กๆ บนมือ ความรู้สึกคุ้นเคยที่ไม่อาจอธิบายได้ก็ได้มากระทบจิตใจเขาอีกครั้ง จวินจิ่วเฉินไม่ได้พูดอะไรแต่ดวงตาคู่นั้นที่มักจะมีความเ็าได้อ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่หานอวี๋เอ๋อร์หลงใหลมากที่สุดก็คือความอ่อนโยนในดวงตาของจวินจิ่วเฉินที่พบเจอได้ยาก ความอ่อนโยนเช่นนี้ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกเขาจ้องมองล้วนจะได้รับการปฏิบัติอย่างอ่อนโยนและดูแลด้วยความระมัดระวัง
ใน่เวลาสามปีมานี้นางได้สอบถามอ้อมๆ อยู่หลายครั้ง และได้ให้คนไปลอบสืบข่าวอยู่หลายรอบ ทว่าท้ายที่สุดก็ยังไม่ทราบว่าเหตุใดเขาจึงชื่นชอบต้นหญ้าเฟิ่งหลี นางยังเคยสงสัยว่าเขาอาจจะเคยมีความรักและต้นหญ้าเฟิ่งหลีก็คือของแทนใจจากคนรักของเขา?
หานอวี๋เอ๋อร์มองจวินจิ่วเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหลงใหลโดยไม่รู้ตัว นางคาดหวังไว้ว่าในตอนนี้นางได้อยู่ในสายตาของเขา ไม่ใช่ต้นหญ้าเฟิ่งหลี
จวินจิ่วเฉินได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะตัดใจไม่ลงแต่เขาก็ได้คืนกลับไป “ดูเหมือนว่าจะใหญ่ขึ้นเล็กน้อย”
หานอวี๋เอ๋อร์ยิ้มแย้มด้วยความลึกลับมากยิ่งขึ้น “เตี้ยนเซี่ย ท่านดูสิ! ”
นางได้ยื่นมือออกมา บนฝ่ามือมีต้นหญ้าเฟิ่งหลีต้นใหม่อีกต้นวางไว้อยู่และเป็พันธุ์พืชชนิดเดียวกันกับต้นแรก ต่างกันแค่เล็กกว่าหนึ่งเท่าเท่านั้น! จวินจิ่วเฉินประหลาดใจมาก “เ้าหาเจอจากที่ไหน? ”
หานอวี๋เอ๋อร์เลิกแกล้งทำให้อยากรู้ นางเอ่ยด้วยความจริงจังว่า “เตี้ยนเซี่ย ต้นนี้เกิดออกมาจากต้นแรกเมื่อครึ่งปีที่แล้ว ข้าเพาะเลี้ยงจนโต เดิมที้าไปพบท่านโดยไม่กล่าวที่เมืองจิ้นหยาง คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านที่นี่ อะ ข้ามอบให้ท่าน”
โดยทั่วไปแล้วต้นเฟิ่งหลีจะขยายพันธุ์พืชโดยการแตกหน่อใหม่ออกมาจากต้นเก่า เมื่อหน่อใหม่เติบใหญ่แล้วก็สามารถแยกออกมาเป็อีกต้นหนึ่งได้ ครึ่งปีมานี้หานอวี๋เอ๋อร์ได้เพาะปลูกด้วยความระมัดระวังเป็อย่างมาก
ในขณะนี้เองจวินจิ่วเฉินก็ได้รับรู้ว่าหานอวี๋เอ๋อร์ไม่ได้ตามหาคนขายต้นหญ้าเฟิ่งหลีในตอนนั้นเจอ เขาค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย
หานอวี๋เอ๋อร์หยิบเชือกสีแดงออกมาแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “เตี้ยนเซี่ย ข้าช่วยท่าน…”
นางยังเอ่ยไม่จบหมางจ้งก็ได้วิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน “เตี้ยนเซี่ย เกิดเื่แล้ว แพทย์หญิงกู นาง…”