หวังเมิ่งเยียนที่ฟังอยู่ด้านข้างถอนหายใจอีกครั้งแม่สามีของตนช่างไร้ความคิดจริงๆ เดิมทีต้นเหตุของเื่นี้ไม่ได้อยู่ที่อวี๋เจียวนางดูออกว่าคนผู้นั้นไม่ใช่คนที่จะยอมเอาเงินออกมาอย่างเสียเปรียบแน่นอน
หวังเมิ่งเยียนดึงชายแขนเสื้อของสตรีแซ่จาง เอ่ยเสียงเบาว่า“ท่านแม่ แม่นางเมิ่งบอกแล้วว่ายินดีจะให้ยืมเงินสิ่งสำคัญคือส่วนกลางไม่ยอมจ่ายเงินคืนหากอยากให้พี่สามไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอท่านยังต้องไปโน้มน้าวท่านปู่ท่านย่าให้ใช้เงินส่วนกลางจ่ายคืนเ้าค่ะ”
สตรีแซ่จางใคร่ครวญไม่กระจ่าง คิดว่าอวี๋เจียวไม่ยอมให้เงินแต่นางฟังคำกล่าวของสะใภ้ใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรจึงหันไปร้องไห้โวยวายใส่อวี๋หรูไห่และสตรีแซ่อวี๋โจว
ภายในห้องโถงดังระงมไปด้วยเสียงร้องไห้สตรีแซ่ซ่งกลับมายังห้องของครอบครัวรอง นางเคาะประตูห้องด้านในอวี๋ฉี่เจ๋อเปิดประตูออกมา ซ่งชุนเล่าสถานการณ์ภายในห้องโถงให้บุตรชายของตนฟังอวี๋ฉี่เจ๋อได้ฟังทว่าไม่เอ่ยสิ่งใดกลับเป็อวี๋ฝูหลิงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยออกมาด้วยความขุ่นเคือง “น้องเล็กเ้าอย่าเข้าไปข้องเกี่ยวเื่นี้ อวี๋เจียวพูดไม่ผิด มีสิทธิ์อะไรให้นางเอาเงินค่ารักษาออกมาใช้โดยเปล่าประโยชน์!เดิมทีการที่พี่สามไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอก็ควรใช้เงินส่วนรวมท่านย่าลำเอียงเหตุใดถึงไม่ส่งพี่สามไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอก่อนแล้วบอกให้ครอบครัวสามยืมเงิน!”
สตรีแซ่ซ่งถอนหายใจ เอ่ยพลางมองอวี๋ฉี่เจ๋อ“เกรงว่าหากแม่หนูเมิ่งไม่ยอมนำเงินออกมาท่านปู่ท่านย่าของเ้าจะไม่มีทางยอมรามือง่ายดาย”
ใบหน้าหล่อเหล่าของอวี๋ฉี่เจ๋อฉายแววสงบกว่าปกติดวงตาเรียวรีดุจดอกท้อทอดมองออกไปข้างนอก ภายในลานเรือนอวี๋เจียวกำลังเงยหน้าพูดคุยกับอวี๋เฉียวซาน ใบหน้าเล็กงามสะอาดแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มบางท่าทางราวกับไม่ได้กังวลในเื่ที่ท่านแม่กล่าวมาแม้แต่นิด ช่างคล้ายกับว่าไม่ว่าเื่ราวใดๆก็ไม่อาจทิ้งร่องรอยไว้ภายในใจของนาง
เขาเก็บสายตากลับมา เอ่ยเสียงเบาอย่างเชื่องช้าว่า“ท่านแม่ไม่ต้องเป็กังวลแทนนาง เื่ของนาง นางย่อมมีความคิดเป็ของตนเอง”
เดิมทีสตรีแซ่ซ่งกลัวว่าหากท่านผู้เฒ่ามาหาฉี่เจ๋อแล้วสั่งให้เขาบังคับแม่หนูเมิ่งเอาเงินออกมาหากบุตรชายของตนทำเช่นนั้นจริงๆ ถึงตอนนั้นแม่หนูเมิ่งจะต้องไม่พอใจเป็แน่ครั้นยามนี้ได้ฟังคำกล่าวของเขาจึงรู้สึกวางใจ โชคดีที่ภายในใจบุตรชายของตนประจักษ์แจ้งไม่โอนอ่อนตามผู้ใดง่ายๆ
สตรีแซ่ซ่งยกยิ้มชื่นใจ ไม่เอ่ยสิ่งใดมากความเร่งเร้าให้อวี๋ฝูหลิงไปเย็บชุดแต่งงานของตนส่วนนางก็ยกตะกร้าเข็มกับด้ายไปนั่งเย็บพื้นรองเท้าอยู่ตรงหัวเตียงของอวี๋เมิ่งซานเอ่ยรำพันว่า “ยามนี้แม่หนูเมิ่งต้มยาบำรุงร่างกายให้ฉี่เจ๋อด้วยตนเองอีกทั้งฉี่เจ๋อยังสอนแม่หนูเมิ่งคัดอักษร ดูแล้วความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสองค่อยๆดีขึ้น ข้างกายฉี่เจ๋อของพวกเรามีคนคอยดูแลรอบด้านอย่างรอบคอบเช่นนี้ข้าไม่อยากให้เกิดรอยแยกระหว่างเด็กทั้งสองคนเพราะเื่เช่นที่ท่านแม่ก่อขึ้นจริงๆ”
ในส่วนลึกของจิตใจ สตรีแซ่ซ่งยังคงเห็นอวี๋เจียวเป็ลูกสะใภ้เพราะถึงอย่างไรก็เข้ามาอยู่ในเรือนครอบครัวของพวกนางเท่ากับแม่หนูเมิ่งเป็คนครอบครัวรองแล้ว
อวี๋เมิ่งซานพยักหน้า เขาก็คิดว่าสิ่งที่ภรรยากล่าวมามีเหตุผลครั้นเห็นว่ายามนี้บนใบหน้าของภรรยาเปื้อนยิ้มบ่อยขึ้นสีหน้าไม่เอาแต่อมทุกข์เช่นเมื่อก่อนคล้ายกลับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนแต่เป็เพราะแม่หนูเมิ่ง
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า“มิสู้พวกเราให้แม่หนูเมิ่งย้ายเข้าห้องฉี่เจ๋อเถิด?”
สตรีแซ่ซ่งถึงกับนิ่งงันไปชั่วครู่ นางไม่เคยนึกถึงข้อนี้มาก่อนใบหน้าแดงระเรื่ออย่างไม่อาจหักห้าม ท่ามกลางความขวยเขินยังเจือด้วยความเป็กังวลเอ่ยเสียงเบาว่า “เช่น...เช่นนี้ไม่ดีกระมัง? ไม่เอ่ยถึงว่าแม่หนูเมิ่งจะยินยอมหรือไม่ร่างกายของฉี่เจ๋อก็ไม่อาจ...ไม่อาจทนเหน็ดเหนื่อยได้”
คนทั้งสองยังเยาว์วัย หากอยู่ด้วยกันจริงๆร่างกายอ่อนแอด้วยโรคภัยเช่นนั้นของบุตรชายตนจะทานทนการร่วมรักได้อย่างไร?
อวี๋เมิ่งซานรู้สึกว่าตนพลั้งปากไปแล้วเช่นกันถึงแม้จะเฝ้าหวังให้มีคนคอยดูแลข้างกายบุตรชายของตน แต่การอยู่ด้วยกันยังนับว่าไม่เหมาะสมจริงๆ
ภายในลานเรือน อวี๋เจียวเอ่ยถามอวี๋เฉียวซาน “ท่านลุงใหญ่ท่านมีหนังฟอกหรือไม่เ้าคะ?”
อวี๋เฉียวซานเอ่ยหลังได้ฟังคำกล่าวของอวี๋เจียว “หนังฟอกที่มีก่อนหน้านี้ถูกขายทิ้งไปหมดแล้วตอนนี้ภายในเรือนของข้ามีหนังแกะอยู่ไม่กี่แผ่น ข้าจะเอามาให้เ้าลองดู?”
