หวาชิงเสวี่ยถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ อย่าพูดถึงการหาอาวุธเลย แค่เอาชีวิตรอดก็ยากแล้ว…
หลี่จิ่งหนานเห็นสีหน้าของหวาชิงเสวี่ยเปลี่ยนไป เขาจึงคว้าเสื้อผ้าของนางไว้แล้วถามว่า “เ้าเป็อะไรไป? เ้านึกอะไรออกหรือ? ตอนที่ข้าพบเ้า เ้าอยู่บนูเานั่น เ้าเคยเห็นอาวุธนั่นบ้างหรือไม่? หา?”
หลังจากที่หวาชิงเสวี่ยถูกหลี่จิ่งหนานช่วยให้ฟื้นขึ้นมา นางก็พบว่าตัวเองสูญเสียความทรงจำ แม้แต่นามของหวาชิงเสวี่ยก็เป็หลี่จิ่งหนานที่เป็ผู้ตั้งให้
ตอนนั้นหิมะกำลังตก หลี่จิ่งหนานวางท่าร่ายกลอนเอ่ยว่า “เกล็ดน้ำแข็งหิมะโปรยริษยาความงามพิสุทธิ์ ยามมีแสงอบอุ่นเห็นเพียงบุปผา [1] จากนี้ไปเ้าก็ชื่อหวาชิงเสวี่ยแล้วกัน”
นางรู้สึกแปลกๆ จึงบอกปัดไป ไม่้าชื่อนี้ คิดในใจว่าตนเองอาจจะฟื้นความทรงจำขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้
แต่หลี่จิ่งหนานกลับโกรธเคืองอย่างยิ่ง ตอนนั้นเขาถลึงตามองนาง เอ่ยเสียงดังว่า “บังอาจ! นามที่เปิ่นเตี้ยนเซี่ยให้ไปแล้ว จะเอาคืนกลับมาได้อย่างไร?”
เพราะเหตุนี้ ชื่อหวาชิงเสวี่ยจึงถูกตั้งขึ้น…
ตอนนี้นางถูกหลี่จิ่งหนานคว้าไว้ จนไม่อาจทำสิ่งใดได้ “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าบนูเานั้นมีอาวุธที่ว่าหรือไม่ ตอนที่ข้ารู้สึกตัวก็อยู่บนูเานั่นแล้ว ข้าหลงทาง ทั้งหนาวทั้งหิว แล้วก็สลบไป…”
เพียงแต่ ทุกครั้งที่นางได้ยินคำว่าอาวุธจากปากของหลี่จิ่งหนาน หัวใจของนางก็มักจะเต้นแรงอยู่เสมอ ราวกับมีบางสิ่งที่ตัวเองลืมไป…แต่นางไม่กล้าบอกหลี่จิ่งหนาน อย่าว่าแต่เื่ที่นางจำอะไรั้แ่แรกไม่ได้เลย ต่อให้จำได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเื่นี้จะนำภัยมาถึงตัว นางจึงไม่กล้าพูดออกไป...
หลี่จิ่งหนานรู้สึกท้อแท้ “จริงสิ เ้าเป็เพียงสตรี จะไปรู้อะไร…”
หวาชิงเสวี่ยได้ยินเช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะสบถในใจ เป็สตรีแล้วอย่างไร? เ้าก็ยังเด็กอยู่เลย!
ตอนนั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดัง ‘ปัง ปัง ปัง’ ภายในห้องเงียบเสียงลง สีหน้าของคนทั้งสองเปลี่ยนไปทันที
“…แม่นางหวา?” เสียงดังก้องมาจากด้านนอก พร้อมกับเสียงเคาะประตู “แม่นางหวา ข้าคือหรงเซิงจากหอเฟิงเล่อ!”
หอเฟิงเล่อ?
คนทั้งสองในห้องมองหน้ากันไปมา
หวาชิงเสวี่ยลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปดูเอง”
“เ้าดูให้ดีก่อนค่อยเปิดประตูนะ” หลี่จิ่งหนานที่ขดตัวอยู่ในผ้าห่ม เอ่ยด้วยความวิตกกังวล
คนที่อยู่นอกประตูคือหรงเซิง บ่าวรับใช้ของหอเฟิงเล่อ เขากำลังอุ้มห่อผ้าขนาดใหญ่อยู่ด้านนอก
หวาชิงเสวี่ยโล่งใจ นางจำบ่าวรับใช้คนนี้ได้ นางเคยซักเสื้อผ้าให้คนครัวของหอเฟิงเล่อหลายครั้ง และเคยพบเห็นบ่าวรับใช้คนนี้ตอนที่นำเสื้อผ้าไปส่ง
หวาชิงเสวี่ยรีบเปิดประตู
“แม่นางหวาใช่หรือไม่ขอรับ? ท่านป้าเหยียนบอกว่าครั้งก่อนแม่นางหวาซักเสื้อผ้าได้อย่างสะอาดราวกับของใหม่ นางจึงบอกว่าต่อไปนี้ให้ส่งเสื้อผ้าทั้งหมดมาให้ท่านซัก นี่ขอรับ ทั้งหมดข้าส่งมาแล้ว” หรงเซิงพูดพร้อมกับรอยยิ้ม “ท่านป้าเหยียนยังบอกอีกว่า อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ หลังจากซักเสื้อผ้าแล้วยังต้องเสียเวลาตากให้แห้ง จึงเพิ่มเงินให้อีกยี่สิบอีแปะเป็ค่าถ่านขอรับ”
่นี้ฝนตกและหิมะโปรยปรายอยู่ตลอด เพื่อที่หวาชิงเสวี่ยจะได้ส่งมอบเสื้อผ้าที่ซักแล้วให้ตรงเวลา จึงนำเสื้อผ้าทุกชิ้นไปตากใกล้เตาไฟอย่างระมัดระวังจนแห้งก่อนที่จะส่งไป เช่นนี้จะต้องเสียถ่านไปไม่น้อย เดิมทีทำด้วยความซื่อสัตย์ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีรายได้พิเศษ
ยี่สิบอีแปะ…อย่างน้อยก็พอจะซื้อเนื้อกินได้สองวัน ่นี้ทั้งนางและหลี่จิ่งหนานยังไม่ได้กินเนื้อเลย
หลี่จิ่งหนานเห็นหวาชิงเสวี่ยอุ้มเสื้อผ้ากองใหญ่เข้ามา ใบหน้าของเด็กชายพลันบูดบึ้งอย่างไม่รู้ตัว “ทำไมเสื้อผ้าเยอะขนาดนี้อีกแล้ว”
หวาชิงเสวี่ยรู้ว่าเขายังคงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง จึงไม่เก็บมาใส่ใจ นางยิ้มพลางกล่าวว่า “องค์รัชทายาทเด็กดีของข้า มีเสื้อผ้าให้ซักก็ดีแล้ว ตอนนี้เราสองคนทำงานแบกหามก็ไม่ไหว เงินติดตัวของท่านก็ใช้เช่าเรือนหลังนี้ไปแล้ว เสื้อนวมผืนเดียวที่มีอยู่ก็เอาไปจำนำเพื่อแลกกับเสบียงอาหาร ตอนนี้ไม่ต้องออกจากเรือนก็ได้เงินมาใช้จ่าย ถือเป็เื่ที่โชคดีแล้ว”
หลี่จิ่งหนานมองมือทั้งสองข้างที่บวมแดงของหวาชิงเสวี่ย นึกถึงตนเองที่ต้องพึ่งพาสตรีผู้นี้มาซักเสื้อผ้าเพื่อหาเลี้ยงตัวเขาเอง ภายในใจก็รู้สึกเศร้าใจมากจริงๆ “เช่นนั้น เอาเข็มขัดของข้าไปจำนำเถอะ”
“เสื้อผ้าของเ้าล้วนทำมาจากวัสดุในวัง เราอย่าเสี่ยงเลย อยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว”
ตอนนั้นที่เอาเสื้อนวมไปจำนำ ก็เพราะว่าทั้งตัวนางและหลี่จิ่งหนานต่างร้อนใจจนขาดสติไปชั่วขณะ ไม่ได้คิดให้รอบคอบ พอกลับมาคิดดู ถึงกับใจนเหงื่อไหลท่วมตัว โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่มีข่าวใดแพร่ออกไป คาดว่าคงเป็เพราะเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไม่มีใครรู้จักของที่ทำขึ้นมาสำหรับราชวงศ์ เพียงแต่ พวกเขาก็ไม่อาจทำเป็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเพียงเพราะโชคดีที่ไม่มีใครจำได้
หลี่จิ่งหนานเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมาในทันที “ข้าจะช่วยเ้าซัก” พูดจบเขาก็เตรียมลงจากเตียงเตา
หวาชิงเสวี่ยใ ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปขวางเขาไว้
หลี่จิ่งหนานนั่งอยู่บนขอบเตียงเตา มองหวาชิงเสวี่ยด้วยความไม่พอใจ “ทำไม? กลัวข้าสร้างปัญหาให้เ้าหรือ? การที่เปิ่นเตี้ยนเซี่ยยื่นมือมาช่วยเป็บุญวาสนาของเ้าแล้ว”
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกจนใจเหลือเกิน เด็กคนนี้ เมื่อใดก็ตามที่ทำตัวโอ้อวดฐานะองค์รัชทายาทขึ้นมา คำพูดช่างไม่น่าฟังเหลือเกิน
เสื้อผ้ากันหนาวเหล่านี้พอเปียกน้ำเข้าแล้วแล้วก็ยิ่งหนาและหนักอึ้ง เด็กตัวเล็กๆ อย่างเขาจะสามารถขยี้ให้สะอาดได้อย่างไรกัน?
หลี่จิ่งหนานอายุยังน้อย แต่กลับมีนิสัยหัวรั้นไม่เบา หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาเดือนกว่า หวาชิงเสวี่ยก็ค่อยๆ เข้าใจนิสัยใจคอของเขา รู้ว่ากับเขาต้องใช้ไม้อ่อนจะใช้ไม้แข็งไม่ได้ จึงพูดเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อองค์รัชทายาทอยากช่วย เช่นนั้นช่วยข้าขยี้หัวไชเท้าในลานให้ละเอียดได้หรือไม่?”
หลี่จิ่งหนานมองหวาชิงเสวี่ยด้วยสายตาเคลือบแคลง พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เ้าอย่ามาหลอกข้านะ หัวไชเท้าเน่าๆ นั่นแม้แต่กินก็ยังกินไม่ได้แล้ว จะขยี้ให้มันละเอียดไปเพื่ออะไรกัน?”
ในลานมีหัวไชเท้าเน่าและเศษหัวไชเท้าเหลือจากร้านอาหารกองอยู่ ล้วนเป็ของที่หวาชิงเสวี่ยเก็บมาทั้งหมด
หวาชิงเสวี่ยหัวเราะเบาๆ แล้วพูด “แน่นอนว่าไม่ได้เอามากิน ข้าจะเอามาซักเสื้อผ้าต่างหาก”
“ซักเสื้อผ้า? หัวไชเท้าพวกนั้นเนี่ยนะ?” หลี่จิ่งหนานย่นจมูก สีหน้าแสดงออกว่าไม่เชื่อ
หวาชิงเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ หยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งจากกองเสื้อผ้าสกปรกที่ถือเข้ามา ชี้ไปที่รอยเปื้อนแล้วเอ่ยพูด “ท่านป้าเหยียนเป็คนครัว นางต้องลงมือจัดการกับเป็ดไก่และปลาที่ยังไม่ตายอยู่ทุกวัน นอกจากคราบน้ำมันบนเสื้อผ้าแล้ว ยังมีคราบเืติดอยู่ หัวไชเท้าพวกนี้ใช้ซักคราบเืได้”
หลี่จิ่งหนานส่ายหัวไปมา “เป็ไปได้อย่างไร? ถ้าเป็หัวไชเท้าขาวก็ยังพอทน แต่ถ้าใช้หัวไชเท้าส้ม [2] จะไม่ทำให้เสื้อผ้าเปลี่ยนเป็สีแดงหรือ?”
หวาชิงเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ “เื่นี้มีอะไรน่าแปลกใจกัน เหตุที่โลหิตมีสีแดงก็เพราะว่ามีฮีโมโกลบินอยู่ภายใน ฮีโมโกลบินมีธาตุเหล็กอยู่ในรูปของเฟอรัสซัลเฟต ซึ่งละลายน้ำได้ หากเราซักด้วยน้ำเปล่าเลยทันที เมื่อปล่อยทิ้งไว้นานไป เฟอรัสในฮีโมโกลบินจะถูกออกซิไดซ์เป็เฟอร์ริกไอออน ซึ่งจะจับตัวกับโปรตีนในเื ทำให้ซักออกยาก แต่หากนำหัวไชเท้าสีส้มมาบดแล้วเติมเกลือลงไป ก็จะสามารถใช้แคโรทีนและออกซิเดสสลายฮีโมโกลบินได้...”
หลี่จิ่งหนานปวดหัว “มาอีกแล้ว มาอีกแล้ว! เริ่มพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว พูดอะไรก็ไม่รู้ เ้าไปได้ยินมาจากที่ไหนกัน?”
หวาชิงเสวี่ยก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ตนอุตส่าห์อธิบายให้เขาฟัง กลับถูกมองว่าเป็คำพูดเหลวไหล
ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าบอกว่าซักได้ก็คือซักได้”
หลี่จิ่งหนานเห็นหวาชิงเสวี่ยทำหน้าบึ้ง ก็กลับรู้สึกสนใจขึ้นมา “นี่ เ้าเป็สตรีแท้ๆ รู้เื่แปลกพิสดารพวกนี้ได้อย่างไร? หรือว่ามีคนสอนเ้ามา?”
หวาชิงเสวี่ยปรายตามองเขา ตอบกลับโดยไม่ต้องคิด “เื่เล็กน้อยแค่นี้ก็ตื่นเต้น อาจารย์ของข้าเป็ถึงนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก นามว่าไอ...”
คำพูดขาดหายไปในอากาศ แล้วหยุดลงกลางคันทันที
หลี่จิ่งหนานกำลังก้มลงสวมรองเท้าพลางถามว่า “ใครกัน? อาจารย์ของเ้า”
ผ่านไปนานพอสมควรที่ไม่ได้ยินคำตอบจากหวาชิงเสวี่ย จึงเงยหน้าขึ้นมอง ก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าสีหน้าของหวาชิงเสวี่ยดูแปลกไป
“นี่! หวาชิงเสวี่ย?”
หวาชิงเสวี่ยมีท่าทางเหม่อลอย นางได้สติกลับคืนมา มองไปที่หลี่จิ่งหนาน แล้วหัวเราะแห้งๆ
“เมื่อครู่...ข้าเหมือนนึกอะไรออก แต่จู่ๆ ก็ขาดหายไปอีก...”
หลี่จิ่งหนานกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ พูดพึมพำ “ข้าว่าเ้าพักผ่อนเถอะ! ซักผ้าทุกวันจนเสียสติไปหมดแล้ว!”
พูดจบ หลี่จิ่งหนานก็เปิดประตูออกไปหยิบหัวไชเท้า
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกพูดไม่ออก เด็กคนนี้ เห็นได้ชัดว่าอยากจะบอกให้นางพักผ่อน แค่เอ่ยพูดดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องพูดจาแดกดันกันด้วยนะ
จากนั้นก็ได้ยินเสียงหลี่จิ่งหนานะโเรียกนางจากในลาน “นี่! จะเอาหัวไชเท้าขาวหรือหัวไชเท้าส้มมากกว่ากัน?”
หวาชิงเสวี่ยะโตอบ “หัวไชเท้าส้มแล้วกัน! หัวไชเท้าขาวยังเหลือเอาไว้หน่อย ข้ายังใช้ฟอกผ้าได้!”
“สตรีนางนี้ ช่างมีวิธีแปลกๆ มากมายนัก น่ารำคาญจริง...”
หวาชิงเสวี่ยเห็นหลี่จิ่งหนานในลานทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่มาสั่งสอนตน ก็รู้สึกขำปนเอ็นดู
ลมเย็นะเืจากภายนอกพัดเข้ามาในห้อง ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกะทันหันจากเศษเสี้ยวความทรงจำที่คุ้นเคยก็ค่อยๆ สงบลงท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ
ในใจนางคิดอย่างเงียบๆ ว่า ตัวเองเป็ใครกันแน่...
เหตุใดยิ่งนึกถึงความทรงจำมากขึ้นเท่าไหร่ ใจกลับยิ่งร้อนรุ่มมากขึ้นเท่านั้น?
แล้วความรู้สึกโดดเดี่ยวไร้ที่ยึดเหนี่ยวเช่นนี้ คืออะไรกันแน่? ...
แม้จะสูญเสียความทรงจำ แต่ในใจหวาชิงเสวี่ยกลับรู้สึกจำได้รางๆ ว่า นางกับผู้คนในที่แห่งนี้นั้นไม่เหมือนกัน
...
ค่ำคืนในฤดูหนาว ภายในห้องเล็กๆ มืดสลัว มีเพียงแสงไฟริบหรี่จากเตาที่ส่องสว่างเป็ระยะ พร้อมกับไออุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่
หวาชิงเสวี่ยกับหลี่จิ่งหนานเบียดเสียดกันอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
ผ้าห่มไม่หนามากนัก แต่หวาชิงเสวี่ยนำเสื้อผ้าที่ตากแห้งแล้วมาทับไว้้า เมื่อรวมกับอุณหภูมิร่างกายของทั้งสองคน จึงทำให้อบอุ่นอย่างหาได้ยาก
นี่เป็่เวลาหนึ่งในตลอดทั้งวันที่หวาชิงเสวี่ยรู้สึกสบายมากที่สุด แห้งสนิท อบอุ่น ผ่อนคลาย...
ใน่แรกที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน หลี่จิ่งหนานไม่ยอมให้นางขึ้นเตียงเตาเด็ดขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเบียดเสียดกันอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเลย
ตามความคิดของหลี่จิ่งหนาน หวาชิงเสวี่ยควรนอนบนพื้น และดีที่สุดคือต้องคอยดูแลรับใช้เขาตลอดทั้งคืน
แต่หวาชิงเสวี่ยมีมุมมองความคิดที่แตกต่างจากคนในที่แห่งนี้ นางไม่มีความคิดเื่ชนชั้นสูงต่ำ วันแรกก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง นางจับหลี่จิ่งหนานขึ้นมาเบียดกันบนเตียงเตาโดยไม่ลังเลทันที
หลี่จิ่งหนานเอ่ยว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมนอนกับนางเด็ดขาด แต่ยิ่งดึกมากอากาศหนาวเย็นเกินทน ในขณะที่เขากำลังหลับก็นอนละเมอแล้วคลานเข้าไปในผ้าห่มของหวาชิงเสวี่ยโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองจึงนอนด้วยกันจนถึงเช้า หลังจากนั้นก็เป็เช่นนี้เรื่อยมา
หวาชิงเสวี่ยไม่ได้ปล่อยให้ถ่านมีไฟลุกไหม้แรงเกินไป และยังไม่กล้าปล่อยให้ไฟจากถ่านมอดดับ นางจึงปิดเตาไฟเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ให้ไฟอ่อนๆ จากถ่านลุกไหม้ต่อจนถึงรุ่งเช้า
เรือนหลังนี้ทรุดโทรมและมีลมรั่วเข้ามาทุกด้าน หวาชิงเสวี่ยไม่ต้องกังวลเื่ก๊าซมีพิษ นางแค่ไม่อยากให้ถ่านไฟดับ เพราะว่าการก่อไฟเป็เื่ยากลำบากสำหรับนางอย่างแท้จริง…
—————————————————————————————————
[1]เกล็ดน้ำแข็งหิมะโปรยริษยาความงามพิสุทธิ์ ยามมีแสงอบอุ่นเห็นเพียงบุปผา(浓霜轻雪妒清华,暖日烘时只见花)เป็บทกลอนพรรณนาถึงความงามพิสุทธิ์ของดอกเหมยในฤดูหนาว คำว่างามพิสุทธิ์และบุปผาในที่นี้เปรียบเปรยถึงดอกเหมย ซึ่งเป็ดอกไม้ที่เติบโตท้าลมหนาว ให้ความรู้สึกงามพิสุทธิ์และสูงส่ง
[2]หัวไชเท้าสีส้ม(胡萝卜)หมายถึงแครอท