เห็นได้ชัดว่าจวินจิ่วเฉินก็ใกับผลงานชิ้นเอกของตนเองเช่นกัน เขามองไปที่กูเฟยเยี่ยนด้วยความตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง
“อ้า…”
ทันใดนั้นกูเฟยเยี่ยนก็กรีดร้องออกมา พลางรีบใช้มือบดบังร่างกาย หญิงสาวใจนสติแตก วินาทีนี้ไม่สนใจฐานะใดๆ ทั้งสิ้น นางแทบจะใช้เสียงที่ดังที่สุดมาออกคำสั่งต่อเขา “เ้าหันหลังไป! ห้ามมองนะ! ”
จวินจิ่วเฉินได้สติกลับมาทันทีจึงรีบหันหลังและหลับตาลง ใบหูของเขามีสีแดงขึ้นมาเล็กน้อยโดยที่ตัวเขาเองไม่ได้สังเกตเลย กูเฟยเยี่ยนก็ไม่ได้สังเกตเช่นกัน
กูเฟยเยี่ยนไม่เคยลนลานถึงเพียงนี้มาก่อน เมื่อชำเลืองมองเสื้อผ้าที่ขาดกระจุยกระจาย แถมยังมีรอยเืครอบคลุมไปทั่วเสื้อที่อยู่บนพื้น สมองของนางก็ยังคงว่างเปล่าเช่นเดิม
จวินจิ่วเฉินสงบสติเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ลังเลที่จะถอดเสื้อคลุมออกมายื่นไปด้านหลัง “ใส่ซะ”
คราวนี้กูเฟยเยี่ยนจึงได้สติกลับมา หญิงสาวรีบรับเสื้อคลุมมาห่อร่างกายตนเองไว้แน่น นางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แม้ว่าสติสัมปชัญญะจะฟื้นคืนกลับมาแล้วทว่าก็ยังคงรู้สึกใ
พระองค์คือจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยเชียวนะ!
พระองค์ทำ…ทำเื่แบบนี้ได้อย่างไรกัน?
มันไม่สมควรนี่นา!
พระองค์จำเป็ต้องรีบถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? รีบกว่าตัวนางเองเสียอีก! นี่คือการฉวยโอกาสกับผู้หญิงหรือไม่?
เมื่อสักครู่นี้พระองค์…พระองค์เห็นอะไรไปบ้าง?
กูเฟยเยี่ยนไม่กล้าคิดต่อไป นางมองไปที่แผ่นหลังของจวินจิ่วเฉิน ใบหน้าก็ค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมา
จวินจิ่วเฉินทราบว่านางสวมใส่เสื้อคลุมเรียบร้อยแล้ว ทว่าเขาเพียงแค่ลืมตาขึ้นมาโดยไม่หันกลับไป
คิ้วเรียวของเขาขมวดเป็ปมแน่น และมีแต่ความกระสับกระส่ายในใจเล็กน้อย การลืมตัวของเขาเมื่อสักครู่นี้ทำให้รู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะเกิดความคาดไม่ถึงมากกว่ากูเฟยเยี่ยนเสียอีก
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ น้ำเสียงของเขาที่มักจะเ็าก็ได้ฟื้นตัวกลับมา “รอซะ เปิ่นหวางให้เซี่ยเสี่ยวหม่านมารับเ้า วันนี้เ้าได้ทำคุณความดีในการช่วยเหลือ เมื่อกลับไปแล้วจะได้รับรางวัลใหญ่”
ชายหนุ่มหยุดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสริมว่า “อีกอย่างหนึ่งคือเปิ่นหวางสามารถหลบพิษนั่นได้ ในครั้งหน้าเ้าเพียงแค่เตือนเปิ่นหวางก็เพียงพอแล้ว อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเหมือนกับเฉิงอี้เฟย! คดีนี้ยังไม่จบหากเ้ามีอันเป็ไป ใครจะมาคอยช่วยเหลือศาสตราจารย์แพทย์กัน? ”
หลังจากที่เขากล่าวจบก็ไม่หยุดรอสักวินาทีเดียว เขาก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก
ใบหน้าของกูเฟยเยี่ยนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นางเกิดความเขินอายจนจะตายอยู่แล้ว เดิมทีคิดว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยก็คงจะทรงเขินอายเช่นกัน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าปฏิกิริยาตอบสนองของจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยจะสงบนิ่งถึงเพียงนี้ เขาไม่มีความเขินอายแม้แต่นิดราวกับว่านี่เป็เื่ธรรมดาเสียอย่างนั้น
นางครุ่นคิดถึงคำพูดของจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ความหมายของพระองค์ก็คือนางมีความสำคัญกับคดีนี้มาก ดังนั้นพระองค์จึงมิอาจให้นางมีอันเป็ไป? กูเฟยเยี่ยนไม่ทราบว่าตนเองไปโดนมนต์สะกดอะไร นางถูกเอารัดเอาเปรียบชัดๆ ทว่าเมื่อคิดไปคิดมานอกจากจะไม่โทษจวินจิ่วเฉินแล้ว ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าเมื่อสักครู่นี้ตนเองได้ใช้ความคิดอันต่ำต้อยไปคาดเดาผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งเสียแล้ว
กูเฟยเยี่ยนคิดว่าการที่จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยเต็มใจช่วยเหลือนางนับว่าเป็วาสนาของนางแล้ว หากเปลี่ยนเป็คนอื่นพระองค์คงไม่ช่วยเช่นนี้! นางจะมาสงสัยว่าพระองค์ฉวยโอกาสกับผู้หญิงได้อย่างไรกัน? หากจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย้า…พระองค์ยังจำเป็ต้องฉวยโอกาสกับผู้หญิงอีกหรือ? พระองค์มีหญิงสาวมากมายคอยต่อแถวรออยู่นี่นา!
จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยไม่ใช่นายก้อนน้ำแข็งเหม็นที่ไร้ยางอาย!
เมื่อนึกถึงคำสั่งดุดันของตนเองที่สั่งให้จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยหันตัวไป กูเฟยเยี่ยนก็เกิดความเขินอายขึ้นมาอีกครั้ง นางไม่ทราบว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยจะทรงมองนางอย่างไรกับการที่นางคิดเข้าข้างตนเองเมื่อสักครู่นี้
กูเฟยเยี่ยนคิดเพ้อเจ้อ พลางรวบเสื้อคลุมผ้าไหมขนาดใหญ่ของจวินจิ่วเฉินมาโดยไม่รู้ตัว เดิมทีจิตใจมีความหงุดหงิดและอารมณ์ร้อน ทว่าเมื่อได้กลิ่นหอมจรุงใจจางๆ จากยาสมุนไพร อารมณ์ของนางก็จับพลัดจับผลูสงบลง นางอดไม่ได้ที่จะหยิบแขนเสื้อขึ้นมาดอมดมอย่างระมัดระวังราวกับเป็ขโมย นางอยากจะนำจมูกฝังลงไปบนแขนเสื้อเพื่อดมกลิ่นเป็อย่างมาก ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่กล้า
จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยไม่อาจถูกดูิ่ได้! วันนี้นางกระทำเื่น่าอายไว้มากแล้ว นางจักต้อง…สังวรในการพูดและการกระทำของตนเอง!
ด้วยเหตุนี้กูเฟยเยี่ยนจึงเป็เด็กดีคอยอยู่ในห้องด้านหลัง ทางด้านของจวินจิ่วเฉินนั้นก็ไม่ได้ไปที่ศาลพิจารณาคดีโดยทันที เขาเลี้ยวไปด้านข้างเพื่อรอให้เซี่ยเสี่ยวหม่านนำเสื้อผ้ามา เขาไม่้าที่จะสวมใส่เพียงชุดด้านในแล้วออกไปที่ศาลพิจารณาคดี
ทางด้านของศาลพิจารณาคดีในขณะนี้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมมาสักระยะหนึ่งแล้ว ทุกคนล้วนกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์กัน
ถึงแม้ทุกคนจะทราบว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยให้ความสำคัญกับกูเฟยเยี่ยน และจะเลื่อนขั้นอุปถัมภ์ค้ำชูกูเฟยเยี่ยน ทว่าเมื่อสักครู่นี้ที่ได้เห็นจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยทรงร้อนใจจนต้องลากกูเฟยเยี่ยนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตนเอง ทุกคนก็เกิดความประหลาดใจอย่างมาก
ตอนแรกเื่ที่พวกเขาพูดคุยกันคือเื่ที่จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยทรงร้อนใจ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาล้วนคิดไม่ถึงว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยจะเข้าไปในห้องกับกูเฟยเยี่ยน
แต่เมื่อสักครู่นี้ที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของกูเฟยเยี่ยนดังขึ้นมาจากห้องด้านหลัง ทุกคนจึงเริ่มเกิดความแตกตื่น
เหตุใดกูเฟยเยี่ยนจึงกรีดร้อง?
กูเฟยเยี่ยนให้ใครหันกลับไปและห้ามหันมามอง? ห้ามมองอะไรกัน?
นอกจากกูเฟยเยี่ยนแล้วยังมีใครอยู่ที่ห้องด้านหลังอีก?
ใช่หญิงรับใช้หรือไม่?
หากว่าเป็หญิงรับใช้กูเฟยเยี่ยนก็ไม่ถึงกับต้องกรีดร้องขนาดนั้นสิ?
หรือว่า…
ภายในใจของทุกคนล้วนเกิดการคาดเดาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าไม่มีใครกล้าพูดออกมา และยิ่งไม่กล้าจินตนาการด้วยว่านอกจากความสัมพันธ์ระหว่างนายและบ่าวแล้ว กูเฟยเยี่ยนกับจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยจะมีความสัมพันธ์อื่นที่ไม่อาจให้ผู้คนรับรู้ได้อีกหรือไม่
ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม ใบหน้าของเฉิงอี้เฟยเต็มไปด้วยความกังวล เขาเดินไปเดินมาวนเวียนหลายรอบจนแทบจะทนไม่ไหวพุ่งไปที่ห้องด้านหลัง เขาไม่ได้คิดมากเหมือนกับทุกคน ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและเกรงกลัวว่าเืพิษเ่าั้จะทำอันตรายต่อให้กูเฟยเยี่ยน เมื่อกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งเกิดความสำนึกผิดว่าตนเองรีบชักดาบเร็วเกินไป!
ผู้ที่อยากจะไปดูที่ห้องด้านหลังยังมีองค์หญิงหวายหนิงอีกคน นางแทบอยากจะให้กูเฟยเยี่ยนถูกพิษจนตายไป กูเฟยเยี่ยนทำร้ายตระกูลฉี อีกทั้งการที่นางตกลงมาอยู่ ณ จุดนี้ ก็ล้วนเป็เพราะกูเฟยเยี่ยน แต่กูเฟยเยี่ยนกลับกลายมาเป็ที่สนใจ นางจะไม่เกลียดได้อย่างไร?
เมื่อเทียบกับองค์หญิงหวายหนิงแล้วพ่อลูกตระกูลฉียังคงมีมันสมองอยู่บ้าง แม้ว่าสองพ่อลูกจะอยากรู้อยากเห็นเช่นกันว่าห้องด้านหลังเกิดเื่อะไรขึ้น ทว่าในยามนี้พวกเขาสนใจแค่ว่ากูเฟยเยี่ยนปลอดภัยหรือไม่
ต้องรู้ไว้ว่าคดีนี้ยังไม่จบลง!
อาจารย์แพทย์เจี่ยนตายไปแล้ว อู๋กงกงก็ตายไปแล้ว การที่จะสืบหาคนร้ายตัวจริงนั้นไม่ง่ายเลย เบาะแสในตอนนี้เหลือเพียงแค่ที่มาที่ไปของลิ่วตันซางลู่ทั้งสามต้น แม้ว่ามันจะยากต่อการสืบหา ทว่าก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว
หากว่ากูเฟยเยี่ยนที่มีความคุ้นเคยในลิ่วตันซางลู่อย่างดิบดีมีอันเป็ไป คดีนี้ก็จะยิ่งยากขึ้นและการวินิจฉัยคดีก็จะยืดยาวออกไป
ไม่ว่าจะเป็องค์หญิงหวายหนิงหรือพวกเขาตระกูลฉี ล้วนแตกต่างจากสถานการณ์ของกูเฟยเยี่ยนกับเซี่ยเสี่ยวหม่าน กูเฟยเยี่ยนกับเซี่ยเสี่ยวหม่านถูกปรักปรำ พวกเขาเป็ผู้บริสุทธิ์ เมื่อได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่มีความผิดจึงสามารถปล่อยตัวออกมาได้ แต่ทางด้านขององค์หญิงหวายหนิงกับตระกูลฉีล้วนมีความผิด แม้ว่าจะไม่รับรู้เื่ราวแต่ก็นับได้ว่าเป็ผู้สมรู้ร่วมคิด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หากจับตัวคนร้ายตัวจริงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยหรือฝ่าา ทั้งสองพระองค์ล้วนจะไม่กำหนดบทลงโทษโดยเร็ว การที่ไม่กำหนดบทลงโทษหนึ่งวันพวกเขาก็ต้องวิตกกังวลไปหนึ่งวันและถูกศาลต้าหลี่เฝ้าสังเกตอีกหนึ่งวัน!
ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ในที่สุดเซี่ยเสี่ยวหม่านก็มาถึง เขามีความเฉลียวฉลาดมากทีเดียว เขาไม่ได้เดินเข้าประตูหลักแต่อ้อมไปอีกทาง
เมื่อได้พบกับนายเหนือหัวของตนเองที่มีความสง่างามและโดดเดี่ยวเ็าราวกับว่าเป็เ้าแห่งสรวง์ สวมใส่เพียงแค่อาภรณ์ด้านในและนั่งอยู่ตรงทางเดิน เซี่ยเสี่ยวหม่านก็ตกตะลึงจนตาค้าง
เขาได้รับรายงานเพียงแค่ว่าให้นำเสื้อผ้าของกูเฟยเยี่ยนมาหนึ่งชุด เสื้อคลุมของเตี้ยนเซี่ยมาหนึ่งชุด โดยที่ไม่รับรู้เื่ราวอื่นๆ
“เตี้ยนเซี่ย เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ? ”
“แพทย์หญิงกูอยู่ภายในห้อง” จวินจิ่วเฉินไม่ได้อธิบายอะไร เขาหยิบเสื้อคลุมมาสวมใส่จากนั้นจึงเดินออกไป
เซี่ยเสี่ยวหม่านที่มีเหงื่อไหลเต็มศีรษะรีบร้อนเคาะประตู “กูเฟยเยี่ยน เปิดประตู! ”
กูเฟยเยี่ยนเปิดประตู ทว่าเพียงแค่แง้มไว้เล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกไปรับเสื้อผ้า
เมื่อเซี่ยเสี่ยวหม่านเห็นปลายแขนเสื้อที่โผล่พ้นออกมาก็จำได้ในทันทีว่านั่นคือเสื้อผ้าของจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย เขาตกตะลึงและดูเหมือนจะเข้าใจเื่ราวว่าเกิดเหตุใดขึ้น เด็กน้อยนำเสื้อผ้าให้กูเฟยเยี่ยนก่อนจะรีบตามจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยไป
การที่จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยเปลี่ยนชุดคลุมแล้วเดินออกไป มันจะทำให้ผู้คนคิดอย่างไรกัน!