17.
“ไหวไหมเนี่ย ขนุน”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“รู้ว่าตัวเองไม่ชอบกลิ่นทุเรียนก็ยังเลือกไปทำงานอีกนะ” พี่ปรงที่กำลังจดจ่ออยู่กับการขับรถก็หันมาพูดกับขนุนที่นอนแผ่อยู่ที่เบาะหลังเหมือนคนหมดแรง ในมือของขนุนมียาดมที่เ้าตัวยกขึ้นมาสลับยัดรูจมูกทั้งสองข้าง
หลังจากที่ผมกับพี่ปรงเดินดูงานกันจนทั่วทั้งงานแล้วก็ตั้งใจว่าจะกลับกันเลย แต่ผมก็ดันไปเจอขนุนที่สภาพเหมือนคนจะเป็ลมอยู่แถว ๆ บริเวณหน้างาน ขนุนมันก็เลยขอติดรถกลับมาด้วย โดยให้เหตุผลว่ามันทนกลิ่นทุเรียนไม่ไหวแล้ว เพราะไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยผมเท่านั้นที่เอาทุเรียนมาขาย แต่ทุกมหาวิทยาต่างก็เอาทุเรียนมาขายกัน เพราะทุเรียนเป็ผลไม้ที่กำลังออกลูก่นี้พอดี และก็เป็ผลไม้ที่ราคาค่อนข้างสูง ได้กำไรเยอะพอสมควร
ขนุนบอกว่าตัวมันพยายามที่จะเลี่ยงแล้ว แต่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เจอแต่ทุเรียน ขนาดในโซนงานวิจัยยังมีคนนำทุเรียนที่ปลอกแล้วมาวางโชว์ให้คนที่มาดูงานได้ชิมอีก สุดท้ายขนุนมันก็ทนไม่ไหวและขอติดรถกลับมาด้วย ซึ่งพี่ปรงที่เห็นสภาพขนุน ณ ตอนนั้นก็คงอดสงสารไม่ได้ เขาก็เลยยอมให้มันกลับด้วย แถมยังขับรถกลับมาด้วยความเร็วกว่าปกติอีก
“หนูอยากได้ชั่วโมงจิตอาสาไงพี่ปรง ใครจะไปคิดว่ามันจะมีทุเรียนอยู่ทุกที่ขนาดนั้น” ขนุนตอบกลับในขณะที่ยกยาดมขึ้นมายัดจมูกเป็ระยะ สภาพที่มันนอนทิ้งตัวอยู่ที่เบาะหลังทำให้ผมรู้สึกสงสารมัน แต่ก็แอบขำอยู่ในใจเล็ก ๆ
“มึงก็ทำใจให้ชินซะสิ พอเรียนปีสูง ๆ ไปก็ต้องเจออีก” คราวนี้เป็ผมที่พูดบ้าง แม้ว่าขนุนมันจะพยายามหลบหลีกจากทุเรียนมากแค่ไหน สุดท้ายมันก็ต้องเจออยู่ดี มันหนีไม่พ้นั้แ่ที่เลือกมาเรียนพืชสวนแล้วล่ะ
“มึงก็พูดได้สิ มึงชอบกินนี่”
“ลองกินดู อาจจะติดใจก็ได้”
“กูเชื่อว่ารสชาติมันอร่อยแน่ ๆ ไม่งั้นคนคงไม่ติดกันทั่วบ้านทั่วเมืองแบบนี้หรอก แต่กูทำใจยอมรับเื่กลิ่นไม่ได้จริง ๆ ว่ะ ขอบาย” ขนุนพูดพร้อมกับยกมือขึ้นโบกไปโบกมา ท่าทางคงจะเกลียดทุเรียนมากจริง ๆ
“แล้วจะเรียนได้เหรอแบบนี้” พี่ปรงพูดต่อ
“อันนั้นก็ให้ตัวหนูในอนาคตรับผิดชอบไปแล้วกัน”
พี่ปรงขำให้กับคำตอบของขนุนที่ดูไร้ความรับผิดชอบสุด ๆ แต่แท้จริงแล้วมันก็คือการปัดรับผิดชอบไปให้ตัวเองเหมือนเดิม แต่ก็เป็ตัวเองในอนาคต มันคือประโยคที่ขนุนชอบยกมาพูดเพื่อให้ตัวเองสบายใจเวลาที่มันไม่อยากทำงาน
เราทั้งสามคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อจากนั้น เป็จังหวะเดียวกันกับที่รถของพี่ปรงเลี้ยงเข้ามาในซอยหอพักของผม ซึ่งผมก็บอกให้เขาจอดที่หน้าหอพักของขนุนได้เลย เดี๋ยวผมเดินเข้าไปอีกนิดเดียวก็ถึงหอพักผมแล้ว แต่เป็เพราะวันนี้เป็วันเสาร์ที่รถติดมาก กว่าพวกเราจะมาถึงที่หอพักก็มืดค่ำไปซะแล้ว
หอของผมไม่ได้อยู่ไกลจากหอของขนุนมากเท่าไหร่ อยู่ถัดไปจากขนุนประมาณ 500 เมตรเอง แค่จะต้องเดินเข้าซอยที่อยู่ข้าง ๆ หอขนุนไปอีกทีถึงจะถึงหอผม ปกติเวลาที่กลับพร้อมขนุน ผมก็จะลงที่หอมันแล้วเดินต่อเข้าไปอีกนิดเดียวนี่แหละ
“ไม่ให้พี่ขับเข้าไปส่งเหรอ มันมืดแล้วนะ” พี่ปรงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผมปลดเข็มขัดนิรภัยและเตรียมที่จะลงไปพร้อมกับขนุน ซึ่งผมก็ส่ายหน้าตอบกลับไป ผมเดินคนเดียวตอนมืด ๆ จนชินแล้วล่ะ
“หอผมมันก็อยู่แค่ตรงนี้เอง ผมว่าจะลงไปส่งขนุน แล้วพี่ก็จะได้รีบกลับด้วย” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ก่อนที่ผมจะหยิบกล่องต้นไม้ที่วางอยู่ตรงที่วางเท้าขึ้นมาถือไว้แล้วเปิดประตูลงจากรถไปพร้อม ๆ กับขนุน
“ถ้าถึงห้องแล้วส่งข้อความมาบอกหน่อยนะ”
“ครับ พี่ด้วยนะ”
พี่ปรงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขารอจนกว่าผมกับขนุนเดินเข้าไปในตึก เขาถึงจะยอมขับรถออกไปแต่โดยดี ผมมองตามไปจนกระทั่งรถของเขาหายออกไปจากบริเวณสายตา หลังจากนั้นขนุนก็รีบขยับเข้ามาประชิดตัวผมพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ทันที เป็รอยยิ้มที่ผมเบื่อหน่ายมาก ๆ เพราะผมรู้เลยว่ามันกำลังจะพูดอะไรต่อ
“เดี๋ยวนี้มึงกับพี่ปรงสนิทกันแปลก ๆ ปะวะ” ขนุนเอ่ยถามในระหว่างที่มันกำลังสแกนนิ้วมือเพื่อเปิดประตูเข้าหอให้ผมได้เข้าไปด้วย ซึ่งผมก็ถอนหายใจออกมาทันทีหลังจากที่ได้ยินประโยคนั้น ถ้าจำไม่ผิด วันนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนทักเื่นี้สองรอบแล้ว ั้แ่ที่บูธของภาคก็เจอลูกพีชมาทัก ตอนนี้ยังต้องมาเจอขนุนทักอีก
ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ปรงมันเป็เื่ที่ดูแปลกประหลาดขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะถ้าให้พูดตามตรง ผมก็รู้สึกว่ามันคือความสัมพันธ์ของรุ่นพี่รุ่นน้องทั่วไป อาจจะแปลกตรงที่ก่อนหน้านี้พี่ปรงเขาเกลียดผม แต่แค่ตอนนี้เขาไม่ได้เกลียดแล้ว
“มันก็ปกติอะ ทำไมตอนที่กูสนิทกับพี่อูนแล้วไม่มีเห็นมีคนมาทักแบบนี้เลย” ผมตอบกลับไปพร้อมกับเดินนำขนุนเข้าไปที่ด้านในก่อน ห้องของขนุนอยู่ที่ชั้นหนึ่ง แต่อยู่ด้านในสุดของโถงทางเดิน
“มึงไม่ได้ไปไหนมาไหนแบบนี้กับพี่อูนไง”
“ก็พี่อูนเขาไม่ชวนนี่”
“แต่พี่ปรงเขาชวนมึง แสดงว่ามันเกินกว่าคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้องหรือเปล่า” ขนุนก็ยังคงเอาแต่พูดโน้มน้าวให้ผมยอมรับให้ได้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับพี่ปรงมันแปลกกว่าปกติ
“ถ้ามึงอยากรู้นัก มึงก็ไปถามเขาเลยไป”
“ลึก ๆ มึงก็คงรู้แหละ แต่แกล้งทำเป็ไม่รู้”
“นี่มึงไม่เวียนหัวแล้วหรือไง เมื่อตอนเย็นยังร้องเวียนหัวจะตายอยู่เลย ลำบากพี่ปรงต้องรีบพามึงกลับมาส่งเนี่ย” ผมแกล้งเปลี่ยนไปคุยเื่อื่นเพื่อให้บทสนทนาตอนนี้ออกจากเื่ของผมสักที
“พอเห็นมึงกับพี่ปรงอยู่ด้วยกันแล้วก็ลืมไปเลยว่าป่วยอยู่”
“รู้งี้ปล่อยให้นั่งดมกลิ่นทุเรียนก็ดีแล้ว”
“นี่เพื่อนไง!” ขนุนหันมาพูดกับผมเสียงดังในขณะที่เราเดินมาถึงหน้าห้องของมันพอดี ขนุนไขกุญแจเปิดประตูแล้วเดินนำเข้าไปในห้องก่อนเป็คนแรก ก่อนที่ผมจะเดินตามเข้าไปพร้อมกับหอบกล่องต้นไม้ไปวางไว้บนโต๊ะในห้องมัน
“ห้องมึงมีอะไรกินไหมเนี่ย กูจะได้ไปซื้อมาให้”
“มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก สบายมาก” ขนุนตอบกลับมาเพียงเท่านั้น ก่อนที่มันจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ส่วนผมก็ทิ้งตัวลงนั่งตรงโต๊ะทำงานของมันที่มีหนังสือและกระดาษวางระเกะระกะไปหมด
“แล้วพรุ่งนี้มึงไปอีกหรือเปล่า”
“ไม่ไปแล้ว ไม่ไหวจริงว่ะ กูไปหางานอื่นทำเอาจิตอาสาก็ได้” ขนุนที่เดินออกมาจากห้องน้ำก็เดินมายืนตรงหน้าผม ก่อนที่สายตาของมันจะหันไปมองกล่องต้นไม้ของผมที่วางอยู่บนโต๊ะและเอ่ยถามขึ้นมา “นี่อะไรวะ มึงซื้อของอะไรมาจากงาน”
“อ้อ ต้นไม้นี่แหละ” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น
“ไหนขอดูหน่อยดิ ไม้ประดับอีกแล้วเหรอ” ขนุนพูดพร้อมกับขยับตัวเข้ามาดึงกล่องต้นไม้ของผมไปถือไว้และเปิดดูอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าในกล่องนั้นคือต้นไม้ชนิดอะไร ขนุนมันก็หลุดยิ้มออกมาทันที
“ต้นปรง!”
“เหรอ กูเพิ่งรู้นะว่ามันคือต้นปรง” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ และพยายามทำสีหน้าตัวเองให้เป็ปกติ แต่ขนุนก็คงไม่เชื่อว่าผมไม่ได้เพิ่งรู้ว่าต้นไม้ต้นนี้มันคือต้นปรง ผมจึงดึงกล่องกลับมาคืน
“นี่มึงตั้งใจซื้อมาเองเลยเหรอ”
“เปล่า พี่ปรงซื้อให้”
“แล้วเขาจะซื้อให้มึงทำไม”
“เขาก็คงเห็นว่ากูชอบไม้ประดับล่ะมั้ง ตอนแรกกูก็กะว่าจะซื้ออยู่แล้วนั่นแหละ” ผมตอบกลับไปในขณะที่ผมจัดการปิดกล่องต้นไม้เอาไว้เหมือนเดิม ก่อนที่ผมจะยกมันกลับไปวางบนโต๊ะรวมกันกับข้าวของของผม
“แล้วเขารู้ได้ไงวะว่ามึงชอบไม้ประดับ”
พี่ปรงรู้เพราะเขาเห็นผมปลูกพวกไม้ประดับไว้ที่ระเบียงเยอะ แต่ผมลืมไปว่าตัวเองไม่ได้บอกขนุนเื่ที่พี่ปรงเคยมาหาที่ห้อง ผมจึงเลื่อนใบหน้าหลบสายตาขนุนและพยายามหาข้ออ้างตอบกลับไปให้ดูไม่มีพิรุธที่สุด
“ก็กูเคยบอกเขา!”
“เขาก็ดูใส่ใจมึงดีนะ”
“ปกติ”
“ปกติตรงไหน นี่มันไม่ปกติ!” ขนุนเถียงกลับมาทันทีที่ผมตอบไป
“มึงถอยไปเลย กูจะกลับหอแล้ว คุยกับมึงมีแต่เื่ปวดหัว” ผมหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับขนุนต่อโดยการเก็บหยิบของของตัวเองขึ้นมาถือไว้เพื่อเตรียมที่จะกลับหอ ผมลุกขึ้นยืนและเดินหลบขนุนที่ยืนขวางอยู่ออกมาที่บริเวณหน้าประตูทันที
“หนีไปเถ้อออ”
“หนีอะไร กูจะรีบกลับ มันมืดแล้วเนี่ย”
“เออ มึงก็กลับดี ๆ ล่ะกัน ถึงห้องแล้วบอกกูบ้างนะ อย่าบอกแต่พี่ปรง”
“กูจะไม่บอกก็เพราะแบบนี้แหละ”
หลังจากที่บอกลากับขนุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกมาจากหอพักของขนุนพร้อมกับข้าวของของผมจำนวนหนึ่ง โดยซอยหอของผมจะอยู่ติดกับหอของขนุนเลย ปกติแล้วตอนกลางวันก็มีร้านค้าเปิดกันเยอะ เรียกได้ว่าไม่เงียบเลย แต่เพราะร้านค้าแถวนี้ปิดค่อนข้างไว พอตกกลางคืนก็เลยจะค่อนข้างเงียบกว่าตอนกลางวัน
ผมเดินไปตามทางโดยที่ในมือมีกล่องต้นไม้ที่พี่ปรงซื้อมาให้ หันไปมองรอบ ๆ ก็พบว่าตอนนี้แทบไม่มีร้านค้าร้านไหนเปิดเลย แสงไฟตรงทางเดินเลยมีแค่ไฟทางเท่านั้น ผมจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อให้ตัวไปถึงหอโดยเร็ว
พลั่ก!
“ขอโทษครับ!” ผมรีบหันไปขอโทษผู้ชายคนหนึ่งที่ผมเดินชนเขาจนทั้งผมและเขาล้มลงไปนั่งที่พื้น กล่องต้นไม้ที่ผมถือมาก็กระเด็นออกมาจากกล่องจนดินมันหกกระจายเต็มถนน เพราะผมเอาแต่ก้มหน้ามองกล่องที่ตัวเองถืออยู่จนไม่ทันเห็นคนที่เดินสวนมา ทำให้ผมชนเขาเข้าเต็มแรงจนทำให้ตัวเขาล้มไปอีกทางหนึ่ง ส่วนผมก็ล้มมาอีกทาง
“ไม่เป็ไรครับ” ผู้ชายคนนั้นตอบกลับมา เขาลุกขึ้นมาแล้วขยับเข้ามาใกล้ผมเพื่อช่วยผมเก็บของที่ตกอยู่ที่พื้น เขายื่นมือมาจับกล่องต้นไม้พร้อมกับที่ผมกำลังจะเก็บมันพอดี ทำให้มือของเขาวางอยู่บนมือของผม ด้วยความใ ผมจึงรีบชักมือของตัวเองกลับและขยับตัวออกห่างจากเขา เมื่อเห็นว่าตอนนี้เขาอยู่ใกล้ผมมากเกินไป
“เดี๋ยวผมเก็บเองครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ” ผมหันไปบอกเขาและหันกลับมาจัดการกับกระถางต้นไม้ที่หกอยู่ที่พื้น ผมพยายามกวาดดินใส่กระถางอย่างลวก ๆ และหยิบต้นไม้ที่กระเด็นออกไปกลับมาใส่กระถางไว้ดังเดิม
“น้อง มีดินเปื้อนที่แขน”
“ทำอะไรครับ?” ผมสะดุ้งตัวโยนเมื่อผู้ชายคนนั้นยื่นมือมาลูบที่แขนผมของไปมา ผมลุกขึ้นยืนและก้าวถอยห่างออกจากเขา แต่ผู้ชายคนเดิมก็ยังคงจ้องมาทางผมและขยับเข้ามาใกล้ผมขึ้นเรื่อย ๆ
ผมกอดกล่องต้นไม้ไว้ในอ้อมอกจนแน่นก่อนจะหันหลังและออกแรงวิ่งให้เร็วที่สุด แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้วิ่งไปไหน ผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาประชิดตัวผมแล้วคว้าไหล่ผมอย่างแรงจนผมเกือบล้ม เขาจับแขนผมไว้แน่นจนผมไม่สามารถสลัดตัวเองให้หลุดจากการจับกุมของเขาได้ สถานการณ์ตอนนี้มันน่ากลัวมาก ผมไม่รู้ว่าเขาเป็ใครและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน จู่ ๆ เขาก็มาจับเนื้อจับตัว ผมอยากร้องไห้ออกมา แต่มันก็คงไม่ช่วยให้หลุดออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ได้
“กลับดึก ๆ คนเดียวมันอันตรายนะ รู้หรือเปล่า” เขาพูดกับผมด้วยพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ เขาพยายามจะลากผมออกไปอีกทาง แต่ผมก็พยายามจะฝืนตัวเองไว้ไม่ให้ไปตามแรงฉุดกระชากของผู้ชายคนนั้น
“ช่วยด้วยครับ!!” ผมส่งเสียงะโไปทางข้างหน้า เผื่อว่ายามที่นั่งประจำอยู่หน้าหอของผมจะได้ยิน แต่ระยะทางระหว่างที่ผมยืนอยู่และหอของผมก็ค่อนข้างไกลกันพอสมควร ผมพยายามจะสลัดแขนตัวเองให้หลุด แต่ยิ่งผมขยับมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งจับผมแน่นขึ้นและดึงผมเข้าหาตัวมากขึ้น กล่องต้นไม้ที่ผมถืออยู่ก็ร่วงลงไปอยู่บนพื้นอีกครั้ง
“โอ๊ย!” ในจังหวะที่ผมกำลังตะเกียกตะกายพยายามจะดึงแขนตัวเองออก จู่ ๆ ผู้ชายคนนั้นก็มล้มลงไปนั่งที่พื้นพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมาอย่างดัง เมื่อผมหันกลับมามองก็พบว่าผู้ชายคนนั้นถูกใครบางคนถีบจากทางด้านหลัง ผมจึงรีบดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมนั้น และพอเห็นว่าเป็ใครที่เข้ามาช่วย ผมก็รีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันที
พี่ปรง
“เป็อะไรไหม” พี่ปรงเอ่ยถามพร้อมกับดึงผมเข้าหาตัว หลังจากนั้นเขาก็ดันผมให้หลบไปยืนข้างหลังเขา ผมเกาะแขนเขาเอาไว้เพราะตอนนี้ทั้งมือและใจมันสั่นไปหมดด้วยความกลัว แต่พอเห็นว่ามีพี่ปรงอยู่ตรงนี้ด้วย ผมก็โล่งใจขึ้นมานิดหน่อย
“มึงมายุ่งอะไรวะ?!” ผู้ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนแล้วชี้หน้าด่าพี่ปรง
“มึงนั่นแหละมายุ่งอะไรกับน้องกู” พี่ปรงตอบกลับไป เขาพยายามจะบังผมจากผู้ชายคนนั้น แต่ผู้ชายคนนั้นก็เอาแต่จ้องมาทางผมจนผมต้องหดหัวตัวเองกลับมา
“มึงชอบแส่นักใช่ไหม” ผู้ชายคนนั้นทำท่าจะเดินเข้ามาต่อยพี่ปรง แต่ก็โดนพี่ปรงที่ขายาวกว่าถีบซ้ำไปอีกรอบจนร่างเขากระเด็นออกไปไกลกว่าเดิม หลังจากนั้นพี่ปรงก็หันมาพูดกับผม
“น้อง วิ่งไปตามยามที่หอขนุนมาช่วยจับมันที เดี๋ยวพี่จะล่อมันไว้เอง”
“พี่ปรง มันอันตรายนะ”
“ไปก่อน”
พี่ปรงออกแรงผลักผมเบา ๆ ให้ผมวิ่งย้อนกลับไปทางหอของขนุน ผมจึงใช้แรงทั้งหมดที่ตัวเองมีวิ่งออกมาให้เร็วที่สุด ผมไม่อยากปล่อยพี่ปรงตรงนั้นไว้คนเดียว เพราะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นมีเพื่อนหรือมีอาวุธอะไรหรือเปล่า
พอผมวิ่งออกมาจนถึงหน้าหอของขนุน ก็พบว่าลุงยามกำลังยืนคุยกับเด็กนักศึกษาสองคนที่คาดว่าน่าจะอยู่หอเดียวกับขนุนเหมือนกัน ผมจึงรีบวิ่งแทรกเข้าไปกลางวงทันที
“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย” ผมพูดไปหอบไป เพราะวิ่งมาเร็วเกินไปจนทำให้ผมหายใจไม่ทัน ผมจึงพยายามตั้งสติและรวบรวมคำพูดของตัวเองใหม่อีกครั้ง “มีคนโรคจิตอยู่ในซอยนั้นครับ”
“โรคจิตเหรอหนุ่ม”
“ใช่ครับ พี่ผมกำลังล่อมันไว้อยู่ ช่วยด้วยครับ” แม้ว่าจะพยายามตั้งสติมากแค่ไหน แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองพูดไม่รู้เื่เท่าไหร่ ลุงยามที่ได้ฟังผมพูดแบบนั้นก็เดินกลับเข้าไปที่ป้อมตัวเองและหยิบไม้ที่เป็เหมือนกระบองออกมาถือไว้
“ไหน นำทางลุงไปหน่อย”
“ทางนี้ครับ”
“ต้องเป็ไอ้แว่นนั่นแน่เลย”
“ใช่ครับ เขาใส่แว่นด้วย”
“่นี้มันมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ตลอด แต่จับตัวไม่ได้สักที” ลุงยามตอบกลับมาในระหว่างที่เรากำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินกลับไปยังซอยทางเข้าหอผม โดยที่นักศึกษาสองคนที่ยืนคุยกับลุงยามอยู่ตอนแรกก็วิ่งตามมาด้วย
พอพูดถึงโรคจิตแล้ว ผมก็พอจะนึกออกว่าก่อนหน้านี้เพื่อนของขนุนเคยมาเตือนผมเื่ที่มีคนโรคจิตมาเพ่นพ่านอยู่แถว ๆ หอผม แต่มันก็หลายวันจนผมลืมไปแล้ว นึกย้อนกลับไปแล้วก็เกิดโมโหตัวเองขึ้นมาที่ไม่ระวังตัวเลย
“พี่ปรง!”
“หยุดนะเว้ย!!”
ใช้เวลาไม่นานผมกับลุงยามและผู้ชายอีกสองคนก็วิ่งมาถึงจุดที่พี่ปรงกับผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ เหมือนว่าพี่ปรงกับผู้ชายคนนั้นกำลังต่อสู้กันอยู่ แต่พอมันเห็นว่าผมวิ่งกลับมาพร้อมกับลุงยาม มันก็หันหลังและวิ่งหนีออกไปอีกทางทันที ลุงยามรีบวิ่งตามมันไปเพื่อหวังจะจับตัวให้ได้ ส่วนผมก็วิ่งเข้าไปประชิดตัวพี่ปรงเพื่อสำรวจร่างกายเขาว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
“พี่ไม่เป็อะไรนะ”
“พี่…” พี่ปรงพูดออกมาเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็เซมาหาผมจนตัวผมเกือบล้มตามไปด้วย พี่ปรงยื่นมือมาจับมือผมเบา ๆ แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่มันแปลกไป ผมจึงจับมือเขาและยกขึ้นมาดู
เื
“เฮ้ย! มีคนโดนแทง”
“มึงโทรหารถพยาบาล”
“เบอร์อะไร?!”
“1669 มึงรีบโทรเร็ว ๆ ดิวะ เืเขาออกเยอะแล้ว” นักศึกษาสองคนที่วิ่งตามมาะโคุยกันและรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรเรียกรถโรงพยาบาลอย่างลนลาน ในขณะที่ผมกลับช็อคจนทำอะไรไม่ถูก
ตัวพี่ปรงที่เซมาทางผมเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ผมพยายามประคองเขาด้วยแรงทั้งหมดที่ผมมี สุดท้ายเขาก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งที่พื้น แต่เขาก็ยังคงมีสติอยู่ ผมตัวชาไปหมด ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรทำยังไงหรือผมช่วยอะไรเขาได้บ้าง ผมจับมือเขาไว้แล้วใช้แขนอีกข้างโอบคอเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้หัวเขาล้มลงไปที่พื้น
“พี่ปรง พี่ห้ามเป็อะไรไปนะ”
“…” เขาไม่ตอบ แต่กลับส่งยิ้มมาให้
ผมเคยเกลียดรอยยิ้มของเขาที่สุด เพราะผมไม่เคยเดาอารมณ์หรือสีหน้าของเขาได้เลย ผมไม่เคยรู้เลยว่าเวลาที่เขายิ้มแบบนั้นมาให้ เขากำลังคิดที่จะทำอะไรหรือคิดที่จะแกล้งอะไรผมหรือเปล่า แต่ในเวลานี้ รอยยิ้มของเขาเป็เพียงสิ่งเดียวที่ช่วยให้ผมสบายใจได้มากที่สุด ไม่ว่าผมจะเจอเื่ร้าย ๆ แค่ไหน เขาก็จะเป็คนแรกที่เข้ามาช่วยผมเสมอ
ต่อจากนี้ไม่ว่าผมจะต้องเจอเื่อะไร พี่ปรงจะเป็คนแรกที่ผมนึกถึง
เพราะฉะนั้น…ผมจะไม่ยอมให้เขาเป็อะไรไปเด็ดขาด