จื่อเซียงได้ฟังที่มู่อวิ๋นจิ่นพูดถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเดินเข้าไปช่วยประคองป้าหลี่
ยังไม่ทันที่มือจื่อเซียงจะััป้าหลี่ นางก็สะบัดมือหนี “ข้าลุกเองได้”
หลังจากป้าหลี่ลุกขึ้นมานั่งงแล้ว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ด้วยใบหน้าบึ้งตึงมองไปยังมู่อวิ๋นจิ่น “ทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้คุณหนูสามมาเรียนกฎระเบียบด้วยเ้าค่ะ”
“ฮูหยินใหญ่ส่งบ่าวมาสอนเป็พิเศษ เพื่อช่วยให้หลังจากคุณหนูสามแต่งเข้าจวนองค์ชายแล้ว จะได้ไม่เป็ที่รังเกียจของคนอื่น ขอคุณหนูสามโปรดเข้าใจความปรารถนาดีของฮูหยินใหญ่ด้วยเ้าค่ะ”
“หากยึดตามที่เ้าพูดมา ฮูหยินใหญ่คิดว่าข้ามีความประพฤติย่ำแย่มากเลยสินะ ถึงต้องเรียนเื่กฎระเบียบต่างๆ โดยมีเ้ามาเป็คนสั่งสอนข้า?” มู่อวิ๋นจิ่นนั่งพิงพนักเก้าอี้ ยกมือแคะเล็บ
ป้าหลี่ได้ยินถึงกับสะอึก รีบยิ้มกลบเกลื่อน “ไม่ใช่เ้าค่ะ เนื่องจากหลายปีมานี้นายท่านและฮูหยินค่อนข้างละเลยดูแลคุณหนูสามไป จึงส่งบ่าวมาช่วยสอนเื่กฎระเบียบ เพื่อไม่ให้คุณหนูย้ายเข้าจวนองค์ชายแล้วต้องเกิดเสียเปรียบเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นฟังคำพูดที่สวยหรูของป้าหลี่ พลันเข้าใจได้แล้วถึงเหตุผลที่ซูปี้ชิงส่งนางมาสอนแล้ว
ฮูหยินใหญ่… ช่างเป็คนเ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก!
เพียงแต่ซูปี้ชิงยอมส่งคนข้างกายใกล้ชิดอย่างป้าหลี่มาที่นี่เพียงคนเดียว คงไม่ใช่มาเพื่อสอนเื่กฎระเบียบเพียงเท่านั้น คงต้องมีความชั่วร้ายบางอย่างแอบแฝงไว้แน่ๆ
“คุณหนูสาม พวกเรามาเริ่มเรียนตอนนี้เลยเ้าค่ะ” ป้าหลี่โน้มน้าว
“ช้าก่อน” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยแทรกขึ้น หันหน้าไปยังจื่อเซียง “จื่อเซียง ั้แ่เช้าข้ามายังไม่ได้ทานอะไรเลย รู้สึกหิวขึ้นแล้ว”
จื่อเซียงฟังแล้วรีบตอบรับทันที “บ่าวละเลยไป บ่าวจะไปเตรียมอาหารเช้าให้ประเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ”
“อืม”
จื่อเซียงวิ่งออกไปตระเตรียม มู่อวิ๋นจิ่นหันกลับมาหัวเราะใส่ป้าหลี่ “รอให้ข้าทานอาหารเช้าเสร็จค่อยว่ากัน”
ป้าหลี่ขบฟันเสแสร้งทำเป็ยิ้มแย้มแทน “ได้เ้าค่ะ คุณหนูสาม”
……
มู่อวิ๋นจิ่นเดินออกจากห้องไปทานอาหารเช้าที่สวนดอกไม้ นางยกชามโจ๊กถั่วแดงขึ้นทานอย่างเชื่องช้า พร้อมกับพูดคุยกับจื่อเซียงไปเรื่อยเปื่อย
โจ๊กถั่วแดงหนึ่งชาม กลับทานครึ่งชั่วยามยังไม่หมดเลย
ป้าหลี่เงยหน้ามองท้องนภาพบว่าใกล้ถึงยามอู่สือ[1]แล้ว จึงรีบหันมาก่นด่ามู่อวิ๋นจิ่นในใจเป็ร้อยครั้งพันครั้ง
“ข้าทานอิ่มแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยขึ้นพร้อมวางชามลงเลื่อนไปด้านข้าง
“คุณหนูสาม พวกเราเริ่มกันเถอะดีไหมเ้าคะ?” ป้าหลี่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นทานหมดแล้วจึงรีบเดินเข้ามาบอก
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับพร้อมยิ้มให้ป้าหลี่ “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันได้ ป้าหลี่ช่วยสาธิตให้ข้าดูอีกสักรอบแล้วกัน ข้าจะได้จดจำได้”
“เ้าค่ะ” ป้าหลี่ตอบจบก็ถอยหลังไปสามสี่ก้าว เริ่มสาธิตให้มู่อวิ๋นจิ่นได้ดู
“บ่าวขอเริ่มจากการคุกเข่าคำนับ ในวังมีเชื้อพระวงศ์มากมาย เอาแค่คุกเข่าคำนับยังแบ่งเป็เก้าแบบ คุณหนูต้องใส่ใจอย่างละเอียดนะเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นตอบรับ “อืม” จากนั้นดูป้าหลี่สาธิตต่อไป
ป้าหลี่ย่อตัวโค้งคำนับเพียงเล็กน้อย โดยที่เอวยังตั้งตรง จากนั้นหันไปบอกกับมู่อวิ๋นจิ่น “การทำความเคารพแบบนี้ ใช้กับองค์หญิงองค์ชายที่ระดับอายุใกล้เคียงกันเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นเกาหัวมองภาพเบื้องหน้า ในที่สุดนางรู้แล้วว่าป้าหลี่ถูกส่งมาเพื่ออะไร!
ที่แท้ป้าหลี่ตั้งใจมาสอนการทำความเคารพแบบผิดๆ ให้นี่เอง
ถึงแม่นางไม่เคยเรียนการทำความเคารพในวังมาก่อน ทว่าไม่โง่เขลาพอที่จะทำความเคารพคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเช่นนี้
หลังจากเห็นป้าหลี่สาธิตเรียบร้อยแล้ว นางก็เริ่มคุกเข่าคำนับเต็มรูปแบบ “การแสดงความเคารพเช่นนี้เป็การแสดงต่อพระสนมทั้งหลาย ซึ่งเป็เสด็จแม่ของบรรดาองค์หญิงองค์ชาย”
“อืม” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าเข้าใจ มองตาขวางไปทางอื่น พร้อมทั้งหาวขึ้นมาอย่างี้เี
“ต่อจากนั้นมีการแสดงความเคารพแบบอื่นต่อไหม……”
“คุณหนู ได้เวลาทานอาหารกลางวันแล้วเ้าค่ะ” ยังไม่ทันรอให้ป้าหลี่ได้สาธิตส่วนที่เหลือต่อ จื่อเซียงกลับพรวดเอ่ยขึ้นมา
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วเล็กน้อยชำเลืองมองใบหน้าที่บูดบึ้งของป้าหลี่ และแอบยิ้มมุมปากอย่างสาแก่ใจ “อืม ทานอาหารกลางวันก่อนแล้วกัน”
“คุณหนูสามเพิ่งทานอาหารเช้าไม่ใช่หรือเ้าคะ?” ป้าหลี่พยายามกลั้นความโกรธ
“ใช่แล้ว อาหารเช้าทานสายไปหน่อย ตอนนี้ได้เวลาทานอาหารกลางวัน หรือว่าไม่ควรทานอย่างนั้น?” มู่อวิ๋นจิ่นย้อนถาม พลางหยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก
จื่อเซียงยืนกลั้นหัวเราะอยู่ด้านข้าง เห็นสีหน้าป้าหลี่หน้าดำหน้าแดง ยิ่งรู้สึกสาแก่ใจขึ้นมา
เมื่อก่อนป้าหลี่ถือตัวว่าเป็คนสนิทฮูหยินใหญ่ มักทำเื่ที่ไม่ดีกับพวกนางไม่น้อย บัดนี้ถึงเวลาที่ต้องโดนเอาคืนบ้างแล้ว
หลังจากคีบอาหารเข้าปากไปได้เพียงคำหนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นเหล่มองป้าหลี่ที่ยืนนิ่งไม่ขยับตัว จึงเอ่ยขึ้นว่า “ป้าหลี่สาธิตการแสดงความเคารพต่อได้ ข้านั่งทานไปด้วยดูอยู่ไปด้วย แบบนี้จะได้ประหยัดเวลา”
ป้าหลี่พลันเข้าใจในฉับพลันเมื่อได้ยินประโยค้า คุณหนูชั่วช้าผู้นี้กำลังปั่นหัวนางอยู่!!!
จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ป้าหลี่หันไปพูดกับมู่อวิ๋นจิ่นว่า “เกรงว่าหลังจากคุณหนูทานอาหารกลางวันเรียบร้อย คงต้องไปงีบกลางวันต่ออีกหน่อย เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็คงเป็เวลาอาหารเย็นต่อพอดี ดูท่าวันนี้บ่าวคงมาผิดเวลา เช่นนั้นบ่าวขอตัวลาก่อนเ้าค่ะ”
“ป้าหลี่ ช่างเข้าใจข้าเหลือเกิน!” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเย้ย “ในเมื่อเป็รู้อย่างนี้ก็กลับเถอะ ข้าไม่ไปส่งนะ!”
ป้าหลี่โกรธจนเกือบเก็บอารมณ์ไม่อยู่สะบัดหน้าเดินออกไป ด้านมู่อวิ๋นจิ่นจึงค่อยวางตะเกียบลง ยิ้มจางๆ “สงสัยอีกสองเดือนข้างหน้า เรือนมวลบุปผาแห่งนี้คงไม่มีทางสงบได้อีกแล้ว”
ด้านจื่อเซียงได้แต่ถอนหายใจ “บ่าวได้ยินมาว่าคุณหนูสี่ได้หมายปององค์ชายหกเอาไว้ บัดนี้องค์ชายหกจะแต่งคุณหนูเป็พระชายา นั่นทำให้คุณหนูสี่ต้องไม่พอใจเป็แน่แท้เ้าค่ะ”
“ไม่พอใจก็ไม่พอใจ นางยิ่งไม่พอใจ ข้ายิ่งพอใจมากขึ้นไปเรื่อยๆ” มู่อวิ๋นจิ่นตอบด้วยความยิ้มแย้ม
……
เวลาสามวันผันผ่านเดินไปอย่างรวดเร็ว
มู่อวิ๋นจิ่นเอาแต่อยู่ในมวลบุปผาไม่ออกไปไหน เดิมทีคิดว่าป้าหลี่อาจมาสอนกฎระเบียบ แต่ว่าหลังจากเหตุการณ์ทานอาหารกลางวันในวันนั้น นางก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
ในระหว่างที่นั่งว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดทำ มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินจื่อเซียงเอ่ยถึงงานวัดที่จัดขึ้นในเมือง จึงเตรียมตัวพาจื่อเซียงออกไปนอกจวนด้วยกัน
เมื่อเดินผ่านห้องโถงรับรองด้านหน้า มู่อวิ๋นจิ่นเห็นหัวหน้าคนดูแลจวนหอบกล่องของขวัญเข้ามาในจวนไม่น้อย ด้วยอาการกระหืดกระหอบหายใจแทบไม่ทัน
“ลุงหวาง ของขวัญเหล่านี้มาจากไหนกัน?” จื่อเซียงมองดูกล่องเหล่าที่วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะด้วยความใครรู้
ลุงหวางยกมือปาดเหงื่อ หันมาทำโค้งทำความเคารพมู่อวิ๋นจิ่น “ั้แ่ที่องค์ชายหกกับคุณหนูสามประกาศงานพระราชทานอภิเษกจากฝ่าา ผู้คนจำนวนมากต่างพากันมาต่อแถวส่งของขวัญยินดี กระทั่งหัวบันไดไม่แห้ง ของขวัญทั้งหมดนี้ส่งมาแสดงความยินดีกับคุณหนู ตอนนี้เป็วันที่สามแล้วยังมีของส่งมาเรื่อยๆ ขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ แล้วของขวัญที่ส่งมาก่อนหน้าไปไหนหมดล่ะ?” มู่อวิ๋นจิ่นเกิดสงสัย
“เื่นี้ข้าน้อยไม่ค่อยแน่ใจขอรับ ฮูหยินใหญ่คงเก็บไปแล้วขอรับ” ลุงหวางตอบกลับ
พอได้ยินเช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นกอดอก กวาดสายตาไปที่กล่องของขวัญ ดูเหมือนของที่ส่งมาส่วนใหญ่เป็ของบำรุงและยาที่ราคาสูงลิบลิ่ว
“ในเมื่อส่งมาแสดงความยินดีกับข้า เช่นนั้นให้นำไปไว้ที่เรือนมวลบุปผาแล้วกัน ส่วนที่ท่านแม่เอาของขวัญไปก่อนหน้านี้ให้เอาไปให้ข้าด้วย”
มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะคิกคัก จากนั้นพาจื่อเซียงเดินออกประตูจวนไปข้างนอก
คนดูแลจวนอย่างลุงหวางยืนแน่นิ่ง ด้วยความรู้สึกลำบากใจ
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นและจื่อเซียงเดินออกจากจวนไปแแล้ว จื่อเซียงหันมาถามอย่างห่วงใย “คุณหนูให้เอาของขวัญที่อยู่กับฮูหยินใหญ่กลับมา ฮูหยินใหญ่คงไม่พอใจเป็อย่างมากนะเ้าคะ?”
“นางมีสิทธิ์อะไรมาไม่พอใจ! ของขวัญเ่าั้ต่างเอามาให้ข้า ข้าเอาสิ่งของที่เป็ของข้ากลับมาย่อมทำได้! มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มอย่างมีความสุขยิ่งยวน”
“อันที่จริง ข้าไม่ได้สนใจของหายากหรือล้ำค่าอะไรมากนักหรอก แต่ข้าเห็นฮูหยินใหญ่ขัดหูขัดตา จึงอยากทำให้นางโกรธจนลมออกหูเท่านั้นเอง”
“คุณหนู……” จื่อเซียงยื่นมือขึ้นปิดปากมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความใ พร้อมหันหน้าหันหลังกลัวคนอื่นได้ยินเข้า
หากเื่นี้มีคนอื่นได้ยินเข้า มีหวังได้ต้องโดนลงโทษหนักแน่นอนเลย
“เอ๊ะ! เ้าบอกว่ามีงานวัด อยู่ที่ไหนหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นกอดอก เดินเตร็ดเตร่ไปตามทาง ชะเง้อคอมองไปยังสุดทางถนน กลับไม่เห็นว่าที่ไหนมีงานวัดนี่หน่า
“คุณหนู งานวัดถูกจัดขึ้นนอกเมือง ที่นี่เป็ตลาดในเมืองเ้าค่ะ” จื่อเซียงตอบไปอมยิ้มไป
มู่อวิ๋นจิ่นเบะปากใส่แล้วเดินออกไปนอกเมือง
……
(ณ งานวัดนอกเมือง)
หลังจากที่จื่อเซียงพามามาถึงงานวัดแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นชะเง้อมองเข้าไปด้านในประตูวัด ที่มีผู้คนเดินเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย เพื่อมาร่วมงานวัด
“คุณหนู ได้ยินมาว่าด้านในวัดแห่งนี้มีต้นไม้โบราณพันปีอยู่ต้นหนึ่ง ผู้คนต่างพากันมาอธิษฐาน ความปรารถนาจะเป็จริงเ้าค่ะ” จื่อเซียงอธิบายไปด้วยใบหน้าชื่นชม
มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบไปทางจื่อเซียง “เื่หลอกเด็กเช่นนี้ เ้ายังเชื่ออีก?”
“คุณหนู ในเมื่อมาถึงที่แล้ว พวกเราลองเข้าไปดูหน่อยเถอะ อย่างไรเสียวิหารยังมีคนอยู่ในนั้นเยอะแยะ พวกเราเบียดเสียดเข้าไปคงไม่ไหวเ้าค่ะ” จื่อเซียงโน้มน้าว
มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจและพยักหน้าเห็นด้วย พาจื่อเซียงเดินเข้าไปเสาะหาต้นไม้โบราณพันปีด้วยกัน
เดินเข้าไปยังไม่ทันไร มู่อวิ๋นจิ่นมายืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้ต้นหนึ่ง เห็นรถม้าหลายต่อหลายคันจอดอยู่ หนึ่งในนั้นมีรถม้าสีม่วงที่มู่อวิ๋นจิ่นจำได้แม่นยำ
ดูท่าแล้ว มู่หลิงจูก็มาที่วัดแห่งนี้ด้วย
ตลอดเส้นทางมู่อวิ๋นจิ่นและจื่อเซียงได้สอบถามหลวงจีนน้อยตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงสถานที่ที่ต้นไม้โบราณตั้งอยู่
เพียงแต่ว่าต้นไม้โบราณพันปีตั้งอยู่ตั้งอยู่ในลานกว้างของวิหารแห่งหนึ่ง หาก้าเข้าไปด้านในจำเป็ต้องมีแผ่นป้ายที่ได้รับจากเ้าอาวาสเสียก่อน
จื่อเซียงรู้เช่นนั้นก็อดเสียดายขึ้นมาไม่ได้
เดิมทีมู่อวิ๋นจิ่นไม่มีความรู้สึกสนใจอยากมาดูต้นไม้โบราณพันปี ทว่ามาหยุดยืนอยู่ด้านนอก จิตใจของนางกลับรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา ราวกับว่ามีบางอย่างร้อยรัดให้นางหวนโหยหา
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นทาบอก สอดสายตาเข้าไปด้านใน “จื่อเซียง พวกเราไปหาเ้าอาวาสกัน”
ทั้งสองคนเดินย้อนกลับไป ถามคนที่ผ่านไปผ่านมาไม่น้อยก็มาถึงเรือนที่เ้าอาวาสพำนัก
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นก้าวบันไดขึ้นไปตามหาเรือนเ้าอาวาส ได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินบันไดลงมา
พอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นองค์ชายสามฉู่ชิงกับองค์ชายแปดฉู่ซิ่น ตามด้วยบุรุษในอาภรณ์หรูหราเดินนำหน้ามาสามคน ด้านหลังมีมู่หลิงจู เยี่ยนหลิงฉางและเวินหรูฮั่น อีกทั้งบุตรสาวขุนนางอีกหลายคนที่มู่อวิ๋นจิ่นไม่เคยพบหน้ามาก่อน
พวกเขาทั้งหลายต่างมองมาที่มู่อวิ๋นจิ่นเป็สายตาเดียวกัน
มู่อวิ๋นจิ่นนึกในใจขึ้นว่าซวยจริงเชียว! ด้านจื่อเซียงที่อยู่ด้านข้างดึงแขนเสื้อของเขา กระซิบกระซาบขึ้นว่า “คุณหนู พวกเรารีบเดินกลับไปทางเดิมเร็วเถอะเ้าค่ะ”
“ทำไมต้องกลับด้วย? จะไปกลัวอะไรคนพวกนั้น!” มู่อวิ๋นจิ่นกัดฟันตอบ ยังคงยืนหยัดเดินบันไดขึ้นไป
จนกระทั่งคนพวกนั้นมาเผชิญหน้ากับมู่อวิ๋นจิ่น ได้ยินเสียงฉู่ชิงเอ่ยสัพยอกขึ้นมา “นี่คือคุณหนูสามมู่นี่หน่า เหตุใดเดินทางมาผู้เดียวด้วยเล่า?”
[1] ยามอู่สือ คือ ่เวลาั้แ่ 11.00-13.00 น.