โรคของหม่าซื่อติดตัวมาั้แ่่อยู่เดือน[1]หลังจากที่คลอดจางเช่อบุตรชายคนเล็ก
ครั้งนั้นยายของจางอวิ๋นเสียขณะนั่งเกี้ยวระหว่างทางมาเยี่ยมหม่าซื่อที่บ้านสกุลจาง หม่าซื่อตำหนิตนเองอย่างยิ่งและยังกลับไปทำงานศพที่บ้านมารดาใน่ที่ต้องอยู่เดือน ทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งร้องห่มร้องไห้ เสียใจสิ้นหวัง จึงทำให้เกิดโรคหลังคลอดติดตัวมา นางมักปวดหัวเป็ประจำ ดวงตาก็ใช้การไม่ได้ดีเหมือนเคย
จางซิ่วไฉเชิญหมอเป็สิบกว่าคนมาตรวจรักษา ก็ยังไม่สามารถรักษาโรคของนางได้
แต่ว่าสตรีที่ป่วยเป็โรคหลังคลอดในตำบลจินจี ก็มีอยู่มากมายไม่ใช่แค่หม่าซื่อผู้เดียว คนที่อาการหนักที่สุดนั้นทั้งปวดเอว เจ็บขา และเ็ปตามข้อกระดูกทั่วทั้งตัว อายุแค่ยี่สิบกว่าปีก็ต้องหลังค่อม ดูแล้วเหมือนคนอายุสี่สิบกว่าปีเช่นนั้น
“ฝูคัง บอกข้าว่า หมอเทวดาน้อย น้องสาวของเขาไม่มีหนังสือรับรองวิชาแพทย์จึงไม่ได้ออกรักษา ล้วนเป็คนเจ็บมาขอรักษาที่เรือนทั้งสิ้น เมื่อน้องสาวของเขาเห็นว่า คนเจ็บมีความเต็มใจอย่างยิ่งจึงจะตรวจรักษาให้” จางซิ่วไฉตั้งใจพูดเื่นี้จนจบ เห็นว่าหม่าซื่อมีท่าทีคล้อยตามขึ้นมาบ้าง จึงบอกว่า “วันพรุ่งนี้พวกเราไปที่บ้านสกุลหลี่ ให้หมอเทวดาน้อยลองตรวจอาการเจ็บป่วยของเ้าสักหน่อย”
หม่าซื่อส่งสายตาเป็ทีว่าเข้าใจให้จางซิ่วไฉ เพราะนี่มิใช่เป็การให้นางไปดูบ้านสกุลหลี่ว่าเป็เช่นใดบ้างหรอกหรือ ยังอ้างว่าจะให้หมอเทวดาน้อยตรวจอาการเจ็บป่วยของนางเสียด้วย หึ... เป็สามีภรรยากันมานาน ผู้ใดจะไม่รู้เล่า
“ท่านแม่เ้าคะ ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย ข้าอยากไปพบหมอเทวดาน้อยเ้าค่ะ”
“อวิ๋นเอ๋อร์โตกว่าหมอเทวดาน้อยไม่กี่ปี ไปด้วยก็จะได้ไปคุยเล่นกับหมอเทวดาน้อยได้”
จางฉี จางเช่อ รู้ว่าบิดามารดาและพี่สาวจะไปที่บ้านสกุลหลี่จึงรีบขอไปด้วย
จางซิ่วไฉจงใจกระเซ้าบุตรชายคนเล็ก “พี่ชายเ้ารู้จักศิษย์ของพ่อ พี่ชายเ้าต้องไป แต่เ้าจะไปทำสิ่งใด”
จางเช่ออายุสี่ขวบพูดอย่างเด็กเล็กๆ ว่า “ข้าอยากดูว่าเต้าหู้ทำอย่างไรขอรับ”
หม่าซื่ออุ้มบุตรชายคนเล็กไว้บนตัก เอ่ยยิ้มๆ กับสามีว่า “พี่ชายข้าเล่าเื่โรงเต้าหู้บ้านสกุลหลี่ให้ข้าฟังหลายครั้ง และเช่อเอ๋อร์ก็อยู่ด้วย ตอนนั้นเช่อเอ๋อร์เงียบเฉย ข้าก็นึกว่าเขาไม่ได้สนใจ ที่แท้เขากลับจำไว้ในใจตลอด”
วันรุ่งขึ้น จางซิ่วไฉทั้งครอบครัวนั่งรถม้าไปที่หมู่บ้านหลี่อย่างเอิกเกริก
่ก่อนปีใหม่บ้านตระกูลหลี่มีงานยุ่งกันมาก เกวียนลาหลายเล่มที่อยู่หน้าเรือนล้วนเอาไว้ขนเต้าหู้ เ้าของเกวียนลาเหล่านี้คือ พ่อค้าที่อยู่ในรัศมีหลายร้อยลี้รอบๆ นี้
หม่าซื่อนึกไม่ถึงว่า ไม่ใช่แค่หม่าซงผู้เดียวที่ซื้อเต้าหูจากบ้านสกุลหลี่ เมื่อได้มาเห็นกับตาก็ถึงกับต้องตกตะลึงอยู่ในใจ
“การค้าบ้านเ้าเจริญรุ่งเรืองจริงๆ หากรู้แต่แรกว่าพวกเ้ามีงานยุ่งเช่นนี้ อีกสักสองวันบ้านเราจึงค่อยมาก็ดี” จางซิ่วไฉเป็คนตรงไปตรงมาแต่ไหนแต่ไร จึงพูดจาตรงๆ เช่นนี้
หลี่ซานพ่อลูกเชิญคนสกุลจางเข้าไปในโถงใหญ่อย่างกระตือรือร้น
จ้าวซื่อและหลี่หรูอี้ล้วนวางงานในมือและมาคารวะคนสกุลจาง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จางซิ่วไฉได้พบหลี่หรูอี้จึงหันไปยิ้มน้อยๆ ให้นาง จากนั้นก็เปิดประเด็นกับศิษย์ทั้งสี่ในทันที “ร่างกายอาจารย์หญิงของเ้ามีอาการเจ็บป่วย หลายปีมานี้นางไปหาหมอมาสิบกว่าคนก็รักษาไม่หาย จึงอยากขอให้ท่านหมอเทวดาน้อยน้องสาวของพวกเ้าตรวจรักษาให้สักหน่อย”
หม่าซื่อปรายตามองสามีคราวหนึ่ง คนผู้นี้ก็ช่างมีนิสัยเถรตรงนัก ถึงกับมาพูดต่อหน้าคนตั้งมากมายว่านางเจ็บป่วย
หลี่หรูอี้กล่าวว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง[2]เ้าค่ะ” จึงเชิญหม่าซื่อไปที่ห้องนอนที่อยู่ด้านข้าง
จางอวิ๋นเดินตามเข้าไปอย่างเงียบๆ
หลี่หรูอี้จับชีพจรให้หม่าซื่อไปพลางสอบถามด้วยสีหน้าสดใสไปพลางว่า “ท่านบอกมาก่อนว่า ไม่สบายที่ใดบ้างเ้าคะ”
“โรคของข้านี้เป็มาหลายปีแล้ว มักเ็ปไปทั่วตัว ปวดที่หัวมากที่สุด” หม่าซื่อสังเกตเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า ผิวพรรณของนางขาวนวล ใบหน้ารูปไข่ห่าน คิ้วใบหลิว ดวงตาประหนึ่งดวงดารา ปากเล็กเช่นผลอิงเถา และในความงดงามนั้นกลับมีพลังฉายออกมา รู้สึกได้ถึงความเปิดเผยและจริงใจ ดูแล้วไม่เหมือนเด็กในตระกูลเล็กๆ แม้สักนิด เรียกได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าจางอวิ๋นเลย
หลี่หรูอี้ถามไปอีกสิบกว่าคำถาม จากนั้นก็พลิกดูเปลือกตาของหม่าซื่อ และยังให้หม่าซื่อแลบลิ้นให้นางดูว่ามีฝ้าที่ลิ้นหรือไม่อีกด้วย
จางอวิ๋นเห็นว่า หลี่หรูอี้ดูชำนิชำนาญนักก็แอบชมนางอยู่ในใจ ท่าทางที่ท่านหมอเทวดาน้อยตรวจอาการให้ท่านแม่ข้านั้นคล่องแคล่วนัก สมคำร่ำลือจริงๆ
“ท่านไม่ได้อยู่เดือนอย่างดี ใช่หรือไม่เ้าคะ”
“ใช่แล้ว ครั้งที่ข้าคลอดบุตรชายคนเล็ก มีงานศพที่บ้านแม่ข้า ต้องอยู่ในอาการโศกเศร้า ร้องไห้อยู่หลายวัน” ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว แต่เมื่อหม่าซื่อเอ่ยถึงเื่ที่มารดาเสียชีวิต น้ำเสียงของนางก็ยังคงมีความเ็ปไม่คลาย
“ไม่ได้อยู่เดือนให้ดีๆ นั้นเป็ส่วนหนึ่ง อีกประการก็คือ ยามปกติท่านสวมเสื้อผ้าบางเกินไปเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้เอื้อมมือไปลูบที่มือของหม่าซื่อ เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “ปลายนิ้วและฝ่ามือล้วนเย็นนัก ในอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ ท่านต้องสวมเสื้อนวมเ้าค่ะ”
“ข้าก็ใส่เสื้อหลายชั้นนี่” หม่าซื่อยิ้มน้อยๆ ปกติแล้วหม่าซื่อเป็คนรักสวยรักงามอย่างยิ่ง ในฤดูหนาวจึงไม่เคยสวมเสื้อนวมตัวพองๆ เลย มาที่บ้านหลี่ในวันนี้ก็เช่นกัน
คนสกุลจางนอกจากหม่าซื่อแล้วล้วนสวมเสื้อนวม โดยเฉพาะจางซิ่วไฉที่ไม่ได้สนใจเื่ความสง่างามแต่อย่างใด ข้างในสวมเสื้อนวม ข้างนอกยังคลุมผ้าคลุมสีเทา มองไกลๆ เหมือนหมีสีเทาตัวหนึ่ง
จางอวิ๋นอดที่จะพูดไม่ได้ว่า “ท่านแม่ ดูสิเ้าคะท่านสวมเสื้อผ้าบางเกินไปจนท่านหมอเทวดาน้อยว่ากล่าวเอาแล้ว”
หม่าซื่อมองไปที่บุตรสาวคราวหนึ่ง จึงหันมองหลี่หรูอี้แล้วถามขึ้นว่า “ถ้าข้าใส่เสื้อนวม วันหน้าก็จะไม่ปวดหัวแล้วหรือ”
“อย่างน้อยก็จะลดอาการลงเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้เห็นว่าหม่าซื่อมีสีหน้าไม่เชื่อ จึงถามต่อว่า “ท่านมักนอนทั้งที่ผมยังไม่แห้งหรือไม่เ้าคะ”
จางอวิ๋นแย่งตอบว่า “ใช่ แม่ข้าเป็เช่นนั้น”
หม่าซื่อตอบเบาๆ ว่า “เื่นี้ก็จริง เส้นผมของข้าทั้งหนาทั้งยาว พอสระแล้วกว่าจะรอให้แห้งก็นานนัก ข้าจึงรอไม่ไหว”
“ข้าจะสั่งยาให้ท่าน เมื่อท่านกินแล้วก็จะรักษาแค่อาการเจ็บป่วยแต่ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ หาก้าขจัดอาการเจ็บป่วยที่ต้นเหตุ ท่านต้องปรับเปลี่ยนความเคยชินบางเื่ในชีวิตประจำวันเสีย ต้องให้ผมแห้งก่อนค่อยนอน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ทั้งสามฤดูท่านต้องสวมเสื้อผ้าให้หนาๆ ดื่มน้ำเย็นน้อยๆ เ้าค่ะ” หลี่หรูอี้กำชับไปอีกยกใหญ่ และยังกลัวว่าหม่าซื่อแม่ลูกจะจำไม่ได้ จึงเอาสมบัติทั้งสี่ของห้องหนังสือ[3]ออกมาเขียนข้อพึงระวังบนโต๊ะหนังสือที่อยู่ในห้องนอนนั่นเอง
จางอวิ๋นยืนอยู่ข้างหลังหลี่หรูอี้ จึงเห็นตัวอักษรที่นางเขียนบนกระดาษทีละขีดๆ ขีดอักษรช่างงดงามเรียบร้อยดีกว่าตัวอักษรที่หมอในร้านยาที่ตำบลจินจีเขียนมากนัก อ่านได้ชัดเจนอย่างยิ่ง
หม่าซื่ออ่านเื่พึงระวังจนจบแล้วก็เอ่ยชมว่า “ตัวอักษรของเ้าเขียนได้ไม่เลวเลย”
หลี่หรูอี้พูดถ่อมตนว่า “ท่านแม่กับพี่ชายล้วนสอนข้าเขียนหนังสือเ้าค่ะ”
ในโลกก่อน ครั้งที่นางเป็แพทย์ทหาร หลังจากไปประจำที่ชายแดน ก็ได้รู้จักกับเ้าหน้าที่ที่เกษียณแล้วคนหนึ่ง เ้าหน้าที่ชราคนนี้เป็ลูกหลานของตระกูลด้านวิชาการของจีน จึงเขียนพู่กันจีนได้งดงาม เมื่อเห็นว่านางชื่นชอบการเขียนพู่กันจีน จึงเห็นนางเป็ศิษย์และสอนให้ เขาสอนอย่างเข้มงวดอย่างยิ่ง ตัวอักษรที่ให้นางฝึกคัดพู่กันจีนล้วนเป็อักษรจีนตัวเต็ม[4]ทั้งสิ้น
ในโลกนี้ เมื่อนางจับพู่กันเขียนอักษรจีนตัวเต็ม จึงเขียนได้คล่องแคล่วยิ่งนัก ฝึกเพียงหนึ่งเดือนก็เขียนได้ดีอย่างที่เคยทำมาก่อนแล้ว
หม่าซื่อถามว่า “ข้าได้ยินมาว่า ท่านตาของเ้าเป็ซิ่วไฉ?”
หลี่หรูอี้พยักหน้าช้าๆ “เ้าค่ะ”
บิดาของหม่าซื่อเป็พ่อค้ามีฐานะไม่สูงเท่ากับซิ่วไฉ หม่าซื่อได้แต่งงานกับจางซิ่วไฉ สกุลหม่าจึงรู้สึกว่าเป็เื่ที่มีเกียรติ น่าเสียดายที่ภายหลังจางซิ่วไฉนิ้วมือขาด จึงไม่สามารถเข้าสอบเคอจวี่ได้อีกและไม่อาจได้เป็จวี่เหริน
หลี่หรูอี้ออกไปจัดยาให้หม่าซื่อ และให้หม่าซื่อแม่ลูกกลับมาที่โถงกลาง
จางซิ่วไฉสอบถามด้วยความเป็ห่วงว่า “เป็อย่างไรบ้าง”
ใบหน้าของหม่าซื่อมีรอยยิ้มน้อยๆ “นางตรวจรักษาให้ข้าแล้ว”
จางอวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทีตื่นเต้นว่า “ท่านหมอเทวดาน้อยออกโรงเอง ยอดไปเลย ท่านหมอเทวดาน้อยจัดยาให้ท่านแม่และยังเขียนข้อพึงระวังให้ด้วยเ้าค่ะ ท่านพ่อเ้าคะ วันหน้าท่านต้องคอยจับตาดูท่านแม่ของข้าให้ดีๆ ต้องให้ท่านแม่ทำตามข้อพึงระวังไว้นะเ้าคะ”
หลี่หรูอี้กลับมาที่โถงใหญ่อีกครั้ง ก็พบว่าสายตาที่จางซิ่วไฉพ่อลูกที่มองนางนั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] อยู่เดือน คือ การพักฟื้นหลังคลอด มีวิธีปฏิบัติตัวหลายอย่างเพื่อให้ร่างกายของแม่ที่เชื่อว่าจะสูญเสียความร้อนอย่างมากหลังคลอดบุตรได้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม มิฉะนั้นก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอและมีโรคต่างๆ ตามมา
[2] เคารพมิสู้เชื่อฟัง เป็คำพูดทำนองถ่อมตนว่า แม้จะไม่กล้ารับแต่ก็ไม่กล้าขัดคำ
[3] สมบัติทั้งสี่ของห้องหนังสือ คือ พู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึก
[4] อักษรจีนตัวเต็ม หรือ Traditional Chinese Characters เป็ตัวอักษรดั้งเดิมที่มีขีดจำนวนมาก เพราะยังคงความเป็อักษรภาพไว้อย่างมาก และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบันในหลายพื้นที่ที่ใช้ภาษาจีน เช่น ไต้หวัน ฮ่องกง แต่ในจีนแผ่นดินใหญ่เปลี่ยนไปใช้อักษรจีนตัวย่อที่มีขีดน้อยกว่าแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้