“อะไรกันเพคะเตี้ยนเซี่ยทรงคิดว่าหม่อมฉันจะต้องมาหรือเพคะ?” หรงหว่านซีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม
“หากเ้าไม่มา...”เฉินอ๋องกล่าวพลางยื่นมือไปทัดผมข้างหูให้นาง “เหตุใดถึงมักไม่ระวังเช่นนี้?หญิงรับใช้ปรนนิบัติเ้าอย่างไรกัน? หือ?”
ขณะเฉินอ๋องกล่าวได้หันหน้าไปมองชูเซี่ย
ชูเซี่ยไม่เกรงกลัวเฉินอ๋องสักนิดกลับเอ่ยออกมาว่า “เป็เพราะเส้นผมของคุณหนูนุ่มเกินไปเพคะมิอาจโทษว่าเป็ความผิดของหนูปี้”
เฉินอ๋องหัวเราะและหันกลับไปเอ่ยต่อจากประโยคเมื่อครู่“หากเ้ามาไม่ บิดาของเ้าจะวางใจได้อย่างไรกัน?”
หรงหว่านซีมองเฉินอ๋อง...
ทว่าท้ายที่สุดยังคงไม่เอ่ยสิ่งใด
เฉินอ๋องรู้ว่านางจะมาเขายังรู้ว่านางไม่มีทางมายังจวนเฉินอ๋องเพื่อให้หมัวหมั่วตรวจสอบและไม่ได้มาเพราะ้ายืนยันอะไรกับเขา
การทำข้อแลกเปลี่ยนกับคนฉลาดเช่นนี้ช่างประหยัดแรงกายแรงใจเสียจริง
“กินข้าวเช้ามาแล้วหรือไม่?”เฉินอ๋องเอ่ยถาม
“กินมาแล้วเพคะ”หรงหว่านซีตอบ
“แต่เปิ่นหวางยังไม่กินอยู่กินข้าวกับเปิ่นหวางเสียก่อน เ้าว่าอย่างไร?”
“เพคะ”
คนทั้งสองเดินไปยังตำหนักจาวเสียนอวิ๋นฉางพาบรรดาเด็กรับใช้ไปจัดสำรับยามเช้า จากนั้นเฉินอ๋องสั่งให้พวกนางออกมา
อวิ๋นฉางไม่เข้าใจนางยังคงไม่ออกไปเพื่อคอยปรนนิบัติเฉินอ๋องอย่างเป็ธรรมชาติ
หรงหว่านซีเห็นเช่นนี้จึงรู้ว่าเวลาเฉินอ๋องทานอาหารมักมีอวิ๋นฉางคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเพราะฉะนั้นครั้งนี้ที่เฉินอ๋องสั่งให้ออกไปอวิ๋นฉางจึงคิดไม่ถึงว่าหนึ่งในนั้นรวมถึงนางด้วย
ทว่าความหมายของเฉินอ๋องในวันนี้น่าจะหมายความว่าให้พวกนางทั้งหมดออกไป
ผลคือได้ยินเฉินอ๋องเอ่ยว่า“อวิ๋นฉาง เ้าก็ออกไปเถิด”
“เพคะ” อวิ๋นฉางขานรับและวางตะเกียบเงินที่พึ่งหยิบขึ้นมาเพื่อเตรียมคีบอาหารให้เฉินอ๋อง
ภายในห้องเหลือเพียงชูเซี่ยที่เป็ข้ารับใช้เฉินอ๋องหันไปมองชูเซี่ย “อะไรกัน กลัวว่าข้าจะกินคุณหนูของเ้าอย่างนั้นหรือ?”
หรงหว่านซียกยิ้มแล้วเอ่ย“ชูเซี่ย เ้าก็ออกไปเถิด”
ชูเซี่ยมองคุณหนูอย่าเป็กังวลหนหนึ่งแสดงออกว่ากลัวคุณหนูจะถูกผู้อื่นล่วงเกิน
หรงหว่านซีพยักหน้าให้นางชูเซี่ยถึงได้ยอมออกไป
“หญิงรับใช้ของเ้านางนี้อายุเท่าใด?”เฉินอ๋องเอ่ยถาม
“สิบหกเพคะ”
“ถึงวัยสมควรหาเด็กรับใช้ชายมาเป็คู่ครองแล้ววันหน้าเปิ่นหวางจะหาคนที่ดีให้นางแล้วไล่นางออกไป” เฉินอ๋องเอ่ยวาจาหยอกล้อ
หรงหว่านซีหันมองประตูที่ปิดสนิทเมื่อพบว่าชูเซี่ยไม่ได้อยู่นอกประตูถึงวางใจเพราะไม่อย่างนั้นหลังกลับไปถึงจวนเด็กคนนี้คงมาร้องห่มร้องไห้กับนาง
“นี่คือหญิงรับใช้ของหม่อมฉัน”หรงหว่านซีเอ่ยเตือน
“ก็เพื่อป้องกันไม่ให้นางมาขวางเื่ระหว่างสามีภรรยาของข้ากับเ้า”เฉินอ๋องเอ่ยพึมพำเหมือนเด็กเล็ก
เมื่อเห็นหรงหว่านซีใบหน้าไร้อารมณ์คล้ายไม่พอใจเฉินอ๋องจึงโบกมือและเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เอาล่ะ ไม่ล้อเ้าเล่นแล้วเ้าก็ช่างหยอกล้อไม่ได้เสียจริง”
ทันใดนั้นมองหรงหว่านซีด้วยสีหน้าจริงจัง“เื่เมื่อวาน เปิ่นหวางรู้ว่าเ้าได้รับความไม่เป็ธรรมแต่ร่างกายของเ้าน่าจะยังบริสุทธิ์ ฉะนั้นเ้าไม่จำเป็ต้องกังวลใจวันพรุ่งนี้เ้าก็แค่แต่งเข้ามาอย่างราบรื่นเป็พอ”
“เพราะไม่ว่าอย่างเปิ่นหวางกับเสด็จพี่ก็เติบโตมาในเขตดูแลองค์ชายด้วยกันเปิ่นหวางพอจะมั่นใจเื่นี้ เขาเป็คนเ้าชู้มักมากในกามจริงแต่ไม่มีทางทำเื่บั่นทอนศักดิ์ศรีตนเองเช่นนี้” เฉินอ๋องเอ่ยอธิบายหลังเห็นความประหลาดใจในแววตาของหรงหว่านซี
เมื่อได้ยินคำอธิบายจากเฉินอ๋องหรงหว่านซีจึงยิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้เป็ผู้หูตากว้างไกล
“ลำบากเตี้ยนเซี่ยต้องเป็กังวลพระทัยแล้วเพคะ...”หรงหว่านซีเอ่ย หลังใคร่ครวญครู่หนึ่งจึงเอ่ย “เฉินหนวี่ตรวจสอบด้วยตนเองแล้วเพคะยังคงบริสุทธิ์โดยมิต้องสงสัย”
“หือ?เ้า...”
“เฉินหนวี่ให้ชูเซี่ยไปซื้อตำราเกี่ยวกับเื่นี้และอ่านหน้าแรกไม่กี่หน้าเพคะ”หรงหว่านซีไม่หลบเลี่ยง
เมื่อได้ยินเฉินอ๋องกล่าวเช่นนี้คาดไม่ถึงว่าเฉินอ๋องก็ไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมแต่อย่างใด เอ่ยทั้งรอยยิ้มว่า“ไม่เข้าใจก็เรียนรู้ สมกับเป็นิสัยของเ้าจริงๆ”
หรงหว่านซีนิ่งงันและหันมองเฉินอ๋อง...
คาดไม่ถึงว่าเขาจะเข้าใจนางอยู่บ้าง...
ทว่าความคิดนี้กลับปรากฏขึ้นมาแค่เพียงชั่วครู่
ทันใดนั้นนึกอยากจะหยอกล้อจึงเอ่ยถามทั้งรอยยิ้ม“เมื่อครู่เตี้ยนเซี่ยตรัสว่าเื่ที่ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยเ้าชู้เป็ความจริงถ้าเช่นนั้นมิทราบว่า... เื่ที่เตี้ยนเซี่ยเ้าชู้ เป็ความจริงหรือเท็จเพคะ?”
เฉินอ๋องยกยิ้มมองหรงหว่านซีแววตาฉายแววหยอกล้อ “แล้วเ้าคิดว่าจริงหรือไม่?”
หรงหว่านซีหัวเราะและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
จะจริงหรือเท็จก็ไม่เกี่ยวกับนางนางจะถามเื่พวกนี้ไปทำไมกัน? ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ตนเกิดนึกอะไรขึ้นมา?
หลังร่วมทานอาหารเช้ากับเฉินอ๋องเสร็จจึงพาชูเซี่ยกลับจวนสิ่งแรกที่ทำคือไปยังห้องของบิดาเพื่อบอกว่าวันพรุ่งนี้ทุกอย่างยังคงเป็ไปตามเดิม
หรงชิงมองบุตรสาวด้วยความปวดใจ“ลูก เ้าต้องกล้ำกลืนความไม่เป็ธรรมเสียแล้ว”
“ไม่เป็อะไรเ้าค่ะ”หรงหว่านซีเอ่ย “หากไม่ออกเรือนกับเฉินอ๋อง จากฐานะของลูกไม่ช้าก็เร็วคงหนีไม่พ้นการคัดเลือกนางใน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดเื่เช่นนี้ลูกไม่รู้สึกว่าเื่นี้มีอะไรต้องกล้ำกลืนเ้าค่ะ ท่านพ่ออย่าได้เป็กังวลเพราะลูกเลยไม่เช่นนั้นหัวใจดวงนี้ของลูกคงรู้สึกไม่ดีนัก”
หรงชิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง“ได้ยินว่าในจวนเฉินอ๋องมีอนุชายามากมายทั้งที่มีตำแหน่งไม่มีตำแหน่งจำนวนหลายสิบนาง...”
หรงหว่านซีเอ่ยปลอบใจบิดา“มีตระกูลสูงศักดิ์ใดไม่เป็เช่นนี้บ้างเ้าคะ? นอกจากนั้นการพามาอยู่ในจวนย่อมดีกว่าอยู่นอกจวนสักหน่อยเ้าค่ะยิ่งคนในจวนมากเท่าใดก็ยิ่งไม่มีผู้ใดสนใจแก่งแย่งชิงดีเพราะทุกคนต่างใช้ชีวิตของตนเองนะเ้าคะ”
“หวังว่าจะเป็เช่นนั้นเถิด...”หรงชิงถอนหายใจ
หลังสนทนาเรื่อยเปื่อยครู่หนึ่งหรงหว่านซีจึงลาบิดากลับห้องของตน
วันพรุ่งนี้คือวันที่คุณหนูจะออกเรือนทุกคนในจวนแม่ทัพจึงพากันยุ่งวุ่นวาย เ้ามาข้าไปไม่มีหยุดหย่อนทว่าบรรยากาศภายในเรือนหรงหว่านซีกลับเงียบสงัดยิ่งนัก
หรงหว่านซีหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านและปล่อยให้ผ่านไปอย่างเงียบเชียบเช่นนี้ตลอดครึ่งวัน
ชูเซี่ยกับจือชิวช่วยกันโน้มน้าวในนางลองชุดแต่งงานอยู่พักใหญ่เมื่อเห็นนางไม่อยากลองจึงไม่พากันโน้มน้าวต่อ
วันพรุ่งนี้คือวันที่นางจะต้องออกเรือนทว่าภายในใจของหรงหว่านซีในยามนี้กลับไม่ยินดียินร้าย
ผู้คนในจวนแม่ทัพวุ่นวายกันถึงเพียงนี้แน่นอนว่าในจวนเฉินอ๋องก็ไม่ต่างกันเพียงแต่วันนี้เฉินอ๋องไม่ได้อยู่ในจวนตลอดทั้งวัน
หลังจากหรงหว่านซีกลับไปเฉินอ๋องจึงเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮากับหมู่เฟย หลังร่วมเสวยอาหารกลางวันกับหมู่เฟยเสร็จจึงออกจากวังหลวงและมุ่งหน้าไปดื่มสุราที่เรือนซูหนวี่ฟาง
เขาเที่ยวเล่นเช่นนี้อยู่ครึ่งค่อนวันครั้นกลับมาถึงจวนก็ใกล้เวลาอาหารค่ำ ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็สีดำสนิท
เมื่อเห็นภายในจวนตกแต่งเสร็จเรียบร้อยทุกหนทุกแห่งล้วนแขวนไว้ด้วยโคมไฟสีแดง ไม่ว่าจะบนต้นไม้ ชายคาและประตูหน้าต่างล้วนประดับด้วยผ้าแพรสีแดงเฉินอ๋องเกิดถูกภาพเหล่านี้ทำให้เกิดความรู้สึกหนึ่งคาดไม่ถึงว่าเขาจะนึกถึงหน้าหรงหว่านซี
เมื่อมองภาพนี้สิ่งแรกที่โลดแล่นเข้ามาในโสตประสาทของเขาคือใบหน้าของหรงหว่านซี แต่ทันใดนั้นตามด้วยภาพหญิงงามที่อยู่ในจวนองค์รัชทายาทผู้นั้น
“หญิงงามมีเพียงหนึ่งมีหรือจะทดแทนกันได้...” เฉินอ๋องเมามายเล็กน้อยเอ่ยพึมพำและผลักประตูเข้าไปในห้อง
อวิ๋นฉางเข้ามารับหน้าเมื่อเห็นเฉินอ๋องเมามายจึงรีบสั่งให้ข้ารับใช้ไปทำซุปสร่างสุรามา
นางคิดจะประคองเฉินอ๋องไปนอนบนเตียงด้านในทว่าเฉินอ๋องกลับผลักนางออกและไปนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องตำรา
ภายในตำหนักจาวเสียนของเฉินอ๋องแบ่งออกเป็สามห้องเล็กโดยมีประตูพระจันทร์แกะสลักลวดลายดอกไม้คั่นกลางจำนวนสองบานตรงกลางคือโถงกว้างที่เฉินอ๋องใช้รับรองแขกและเสวยอาหารห้องทางฝั่งทิศตะวันออกคือห้องบรรทม ส่วนห้องฝั่งทิศตะวันคือห้องตำราขนาดเล็ก
เฉินอ๋องนั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวยาวภายในห้องตำราขนาดเล็กเขาจดจ้องกระดาษเซวียนจื่อ[1] สีขาวราวหิมะแผ่นหนึ่งบนโต๊ะและค่อยๆเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ผ่านไปครู่ใหญ่ยังคงไม่คิดจะหยิบพู่กันขึ้นมาวาดภาพหรือขีดเขียนอักษรทว่าสายตาของเขากลับยังจดจ้องอยู่บนกระดาษเซวียนจื่อแผ่นนั้น
“เตี้ยนเซี่ยเพคะ?”อวิ๋นฉางเป็กังวลเล็กน้อย จึงเอ่ยเรียกเสียงเบา
เฉินอ๋องขมวดคิ้วเป็ปมเห็นได้ชัดว่าคำพูดของอวิ๋นฉางทำให้เขาเสียสมาธิ
เดิมทีเขาอยากจะวาดภาพอิ่นเยว่แต่หลังจากนึกอยู่พักใหญ่กลับนึกไม่ออกว่าองคาพยพบนใบหน้าของนางเป็เช่นไร
เพราะหลังสำเร็จการศึกษาจากไท่เฉว[2]เมื่อครึ่งปีก่อน เขาก็ไม่เคยพบนางอีก
เขาคิดจะสารภาพความในใจกับนางหลังจบการศึกษาจากไท่เฉวและรับนางเข้าจวนแต่เขาไม่เคยคิดว่าก่อนจะจบการศึกษาหนึ่งเดือนนางได้กลายเป็ผู้หญิงของเสด็จพี่และไม่มาร่ำเรียนอีกต่อไป
เดิมทีเขาคิดว่าเสด็จพี่อาจขืนใจนางแต่หลังจากไปจวนองค์รัชทายาทและพบนางสองหนดูจากท่าทางจงรักภักดีที่นางมีต่อองค์รัชทายาท เกรงว่าคงจะไม่เป็เช่นนั้น
เขาไม่รู้กระทั่งว่านางกับองค์รัชทายาทชอบพอกันั้แ่เมื่อใด
หลังได้ใกล้ชิดกับหรงหว่านซีแม้หรงหว่านซีจะไม่เต็มใจทว่าภายนอกก็ยังให้ความร่วมมือกับเื่เล็กน้อยบางเป็อย่างดี ทำให้เขานึกได้ว่าอิ่นเยว่อาจจะไม่ได้ยินยอม แต่เื่มาถึงขึ้นนี้แล้ว เขาไม่อาจล้มเลิกกลางคัน
เมื่อไม่อาจนึกไปมากกว่านี้เฉินอ๋องจึงไม่พยายามคิดถึงเื่นี้อีก อาจเป็เพราะเขาเมาแล้วจริงๆเมื่อคิดว่าพรุ่งนี้จะต้องสู่ขอคุณหนูหรงเข้าจวนกลับเกิดความคิดน่าขบขันมุมปากพลันหยักยิ้มและนั่งหลังตรง เอ่ยออกคำสั่งกับอวิ๋นฉางว่า “ฝนหมึก”
แต่เขากลับไม่ทิ้งร่องรอยของตัวอักษรไว้บนกระดาษเซวียนแผ่นนี้หันไปหยิบกระดาษธรรมดาสำหรับเขียนจดหมายและขีดเขียนลงไปเพียงไม่กี่ตัวอักษร
“พรุ่งนี้ข้าจะไปรับคุณหนูเข้าจวนหวังว่าคุณหนูจะเข้านอนเร็วสักหน่อย ขอให้ชิง[3] นอนหลับฝันดี”เฉินอ๋องเขียนประโยคเหล่านี้แล้วส่งให้อวิ๋นฉาง “เอาไปส่งให้คุณหนู”
อวิ๋นฉางไม่อ่านร่องรอยปลายพู่กันและพับจดหมายดึงซองปิดผนึกจดหมายออกมาจากชั้นด้านหลังเฉินอ๋องเมื่อสอดจดหมายเข้าไปเรียบร้อยจึงถอนสายบัวทำความเคารพเฉินอ๋อง“หนูปี้จะไปส่งจดหมายประเดี๋ยวนี้เพคะ”
เงาของร่างใต้แสงเทียนของเฉินอ๋องแลดูอ่อนล้าขาค่อยๆ ปิดเปลือกตาและเริ่มรู้สึกง่วงงุน...
หากชีวิตเป็ดังความฝันแล้วเมื่อใดถึงจะตื่น?
มีเพียงการทำการใหญ่เท่านั้นถึงจะไม่อาจเมามาย
หรงหว่านซีกำลังจะพักผ่อนทันใดนั้นได้ยินเสียงเด็กรับใช้เข้ามาเรียน “คุณหนู มีคนมาจวนเฉินอ๋องขอรับ”
หรงหว่านซีให้ชูเซี่ยออกไปดูไม่นานนักชูเซี่ยถือจดหมายฉบับหนึ่งเข้ามาและบอกว่า“เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยส่งมาให้คุณหนูเ้าค่ะ”
หรงหว่านซีรับมาและเปิดออกมีเพียงใจความสั้นๆ ไม่กี่อักษรว่า—
พรุ่งนี้ข้าจะไปรับคุณหนูเข้าจวนหวังว่าคุณหนูจะเข้านอนเร็วสักหน่อย ขอให้ชิงนอนหลับฝันดี
นางยกยิ้มพลางส่งจดหมายให้ชูเซี่ย“เอาไปเผาไฟเถิด”
คาดว่าเฉินอ๋องคงทำตัวเ้าชู้ประตูดินจนเคยชินเมื่อจู่ๆ เปลี่ยนคู่จึงอดไม่ได้
หรงหว่านซีไม่ใส่ใจนางยิ้มเพราะรู้สึกขบขันเพียงเท่านั้น
ตลอดคืนเงียบสงัดไร้เสียงพูดคุยเช้าวันถัดมาขณะฟ้ายังไม่สว่างเมื่อมองออกไปข้างนอกกลับพบชูเซี่ยและจือชิวพาหญิงรับใช้จำนวนหนึ่งยืนรออยู่นอกประตูอย่างนอบน้อม
น้อยนักจะได้เห็นเด็กรับใช้ทั้งสองปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเอาจริงเอาจังเช่นนี้
เมื่อเห็นคุณหนูเปิดประตูชูเซี่ยจึงเอ่ย “คุณหนู จะหวีผมล้างหน้าเลยหรือไม่เ้าคะ?”
“เข้ามาเถิด”หรงหว่านซีเอ่ย
วันนี้ไม่เหมือนทุกวันที่ผ่านมาหญิงรับใช้ที่ตามชูเซี่ยกับจือชิวเข้ามามีทั้งหมดหกนาง พวกนางถืออ่าง ผ้าซับหน้าและยื่นน้ำมา...แต่ละคนต่างจดจ้องและสนใจแค่หน้าที่ของตน
[1]กระดาษเซวียนจื่อคือกระดาษชนิดที่ได้รับการยอมรับจากชาวจีนว่าดีและเหมาะสมมากที่สุดสำหรับการวาดภาพและเขียนตัวอักษร เป็หนึ่งใน “สิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือ”
[2]ไท่เฉวคือชื่อเรียกสถาบันการศึกษาของจักรพรรดิหรือโรงเรียนชั้นสูง
[3]ชิงคือคำใช้เรียกระหว่างสามีภรรยาเพื่อแสดงความรักใคร่สนิทสนม