ใต้เท้าชราอายุราวหกสิบกว่าปีที่สวมชุดขุนนางขั้นหนึ่งระดับสูงเดินออกมา จากนั้นจึงพูดด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม “ทูลฝ่าา ก่อนหน้านี้บุตรอกตัญญูคนรองของกระหม่อม หลิ่วเซิง ได้ส่งสารผ่านพิราบสื่อสารมาให้กระหม่อมเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ในสารนั้นแจ้งว่าตัวเขาอยู่ที่จวนหานอ๋อง ทั้งยังมีพูดถึงเื่ที่ชายาหานอ๋องทรงตกพระทัยจนสูญเสียบุตรในครรภ์ไปอยู่ด้วย เดิมทีกระหม่อมเข้าใจว่าเื่นี้ฝ่าาน่าจะทรงทราบแล้ว จึงมิได้เขียนฎีกาขึ้นถวายพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเสี้ยวเหวินตี้ได้ยิน ในใจก็ให้เกรี้ยวกราดถึงขีดสุด อีกทั้ง เมื่อยามนี้พูดถึงโอรสสายตรงที่ไม่ได้เจอมาหน้าหลายปีผู้นั้น ชั่วขณะนั้นในใจก็ปรากฏร่องรอยความระลึกถึงขึ้นหลายส่วน เขาสั่งด้วยสุรเสียงเ็า “เ้าสี่ เจิ้นให้เ้านำกององครักษ์อู่เวยจำนวนหนึ่งพันนายไปจับกุมพวกโจวเวยกลับมา”
ทำร้ายทายาทของราชวงศ์ สมควรตายเป็หมื่นๆ ครั้ง
โอวหยางเทียนหลานมิได้คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่าพระบิดาจะยอมให้ตนไปจับกุมพวกโจวเวยกลับมาดำเนินคดี เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะเ็าในใจ โจวเวย หากเ้าตกอยู่ในมือข้า เ้าย่อมได้ตายสมใจแน่
ในตอนที่โอวหยางเทียนหลานกำลังจะรับพระบัญชาและกล่าวขอบคุณที่ผู้เป็บิดาช่วยคืนความยุติธรรมให้ จู่ๆ ขันทีก็เข้ามาทูลว่า ยามนี้องค์รัชทายาทมารออยู่ที่หน้าห้องทรงพระอักษรแล้ว ทันทีที่โอวหยางเทียนหลานได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็กลอกไปมา จากนั้นจึงแค่นเสียงเ็า มาได้ถูกเวลาเสียจริง
เสี้ยวเหวินตี้มองขันทีไปทีหนึ่ง ตอบเรียบๆ “ให้เข้ามา”
ขันทีออกไปได้ครู่หนึ่ง รัชทายาทก็เดินเข้ามา ชายหนุ่มคารวะให้ฮ่องเต้ด้วยท่าทีนอบน้อมก่อนเป็อันดับแรก จากนั้นจึงเสมองไปทางโอวหยางเทียนหลานด้วยท่าทีที่ราวกับว่าการปรากฏตัวของเ้าสี่นั้น ทำให้เขาประหลาดใจเป็อย่างมาก รีบพูดว่า “เสด็จพ่อ น้องสี่กลับมาเมื่อไรหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
ก่อนเข้าวังมา เขาได้เจอกับโจวเวยแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ได้บอกตนว่าคนกลับมาด้วย แล้วเหตุใดตอนนี้องค์ชายสี่ถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ แม้เขาจะรู้สึกประหลาดใจและเคลือบแคลงถึงขนาดที่ใจเริ่มอยู่ไม่สุขเล็กน้อย แต่ตัวเขาก็ไม่อาจทำอันใดได้
“ทำไม การที่ข้ากลับมาแล้ว ทำให้รัชทายาททรงตกพระทัยมาก? หรือว่าแท้จริงแล้วท่านจะบอกว่า น้องไม่ควรได้กลับมายืนอยู่ที่นี่ แต่ควรจะตายอยู่ที่ข้างนอกนั่น? ” โอวหยางเทียนหลานพูดอย่างเ็า แรกเริ่มเดิมทีเขากับรัชทายาทก็ไม่ได้ถูกกันสักเท่าไร ด้วยเื่นี้ทุกคนล้วนรู้ดี ดังนั้น เขาจึงไม่มีความจำเป็ที่จะต้องเสแสร้งทำเป็พี่น้องรักใคร่ ให้ความเคารพยกย่องกันจนชวนให้พะอืดพะอม
ในใจของโอวหยางเทียนหลานนั้น ชาตินี้ ชั่วชีวิตนี้ คนที่นับเป็พี่น้องกับตนมีแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือพี่รองโอวหยางจวินเหยียนที่อยู่ห่างไกลเป็พันลี้ ส่วนคนที่เหลือล้วนเป็พวกสารเลวทั้งสิ้น เหตุที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะการมีอยู่ของคนเ่าั้ ทำให้ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า เมื่อไรจะถึงคราวที่ตนถูกกำจัดอย่างลับๆ
เมื่อเสี้ยวเหวินตี้เห็นเหตุการณ์เป็เช่นนี้ก็เหวี่ยงฎีกาในมือจนกระแทกเข้าที่หัวของเ้าสี่ “เ้าลูกสารเลว พูดจาอันใดของเ้า รู้ทั้งรู้ว่าตนทำผิด แต่ก็ยังจะมาพูดมากอยู่ที่นี่อีก เื่ที่เจิ้นให้ไปทำ เหตุใดจึงไม่รีบไปทำ ไสหัวไปเสีย”
“ไม่ทราบว่า เสด็จพ่อให้น้องสี่ไปทำเื่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ? ” ดวงตาของรัชทายาทครึ้มลงเล็กน้อย แต่ยังคงแอบซ่อนไว้ได้อย่างดี เพราะบนใบหน้านั้นยังคงเผยรอยยิ้มอยู่
โอวหยางเทียนหลานเป็ผู้กล่าวตอบอย่างเ็า “ยังจะมีเื่อันใดได้อีก เสด็จพ่อให้ข้าไปจับตัวเ้าพวกคนสารเลวที่ทำให้บุตรในครรภ์ของชายาหานอ๋องสิ้นกลับมา เพื่อที่พระองค์จะได้สำเร็จโทษอย่างไรเล่า”
เมื่อรัชทายาทได้ยินก็แอบใ หรือว่าเ้าสี่จะกราบทูลเสด็จพ่อเื่ที่โจวเวยกระทำไปในหานโจวแล้ว หากเป็เช่นนั้นจริง แล้วตัวเขาจะยังต้องขอความเมตตาให้โจวเวยอีกหรือ? คนคนนั้นยังคุ้มค่าให้ตนปกป้องอยู่อีกหรือไม่?
คำตอบนั้นทำให้สมองของรัชทายาทเอาแต่คิดแผนการไม่มีหยุด
ชั่วขณะนั้นฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองก็ตรัสขึ้นบ้าง “จะมีเื่อันใดได้อีก ก็เื่ที่โจวเวยนั่นทำร้ายชายาหานอ๋องจนทำให้นางรักษาบุตรในครรภ์เอาไว้ไม่ได้”
“นี่...” รัชทายาทพูดเสียงเบา “นี่จะเป็ความเข้าใจผิดอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เพราะรองผู้บัญชาการโจวเองก็ตั้งใจถวายงานเพื่อเสด็จพ่ออย่างเต็มที่มาโดยตลอด หลายปีมานี้ไม่เคยเกิดความผิดพลาดใด ดังนั้น ลูกจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดเมื่อคนไปถึงหานโจวแล้วจะปล่อยให้เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น? ”
โอวหยางเทียนหลานแค่นเสียงเ็า “จะยังมีความเข้าใจผิดอันใดได้อีก เื่นั้นเริ่มต้นขึ้นด้วยเหตุที่ภรรยาและบุตรสาวของลู่เหวินเจิ้นตาย พี่สะใภ้รองที่คิดได้ว่า ลู่เหวินเจิ้นนั้นเป็ถึงนายอำเภอแห่งหานโจว เป็ขุนนางใหญ่ที่เปรียบเสมือนมือซ้ายขวาของพี่รอง ในฐานะพระชายา นางจึงเห็นว่าตนควรจะเดินทางไปแสดงความเสียใจสักเล็กน้อยด้วยตนเอง เพื่อเป็การแสดงออกว่า พี่รองให้ความสำคัญกับใต้เท้าลู่เพียงใด ในวันนั้นนางจึงเลือกสวมใส่เพียงอาภรณ์สีเรียบๆ ไม่ได้หรูหราสมพระเกียรติ ทว่า เมื่อเดินออกไปนอกประตูจวนกลับบังเอิญเจอเข้ากับโจวเวยพอดี โจวเวยผู้นั้นไม่เพียงไม่แสดงความเคารพ ทั้งยังไม่แจ้งต่อผู้เฝ้าประตู แต่กลับเลือกถามเสียห้วนๆ ว่า พี่รองไปที่ใด ตอนนั้นพี่รองเองก็มีธุระให้ออกไปจัดการด้านนอก พี่สะใภ้รองจึงตอบเพียงว่าไม่อยู่ในจวน จากนั้นพี่สะใภ้รองที่กำลังเร่งรีบ จึงได้รีบร้อนจากไป แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่า โจวเวยนั่นจะโอหังถึงขั้นชักกระบี่ไปพาดไว้บนลำคอของพี่สะใภ้รอง”
“ยิ่งกว่านั้น ในตอนหลังพี่สะใภ้รองได้กล่าวว่า ไม่เคยมีผู้ใดปฏิบัติเช่นนี้กับ ‘เปิ่นเฟย’ มาก่อน โจวเวยเองก็ได้ยินกับหูตนแล้วแท้ๆ ว่านางแทนตัวว่าเปิ่นเฟย ดังนั้น คนก็น่าจะพอเดาได้ถึงฐานะที่แท้จริงของนางแล้วใช่หรือไม่ แต่เขากลับยังคงวาดกระบี่ไปทางพี่สะใภ้รองอย่างไม่ลังเลจนนางได้แผลมาแผลหนึ่ง หากตอนนั้นมิใช่เพราะน้องกับชิวิซื่อจื่อกลับมาเร็วจนได้เห็นเื่นี้กับตาตน ทั้งยังยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที คาดว่าตอนนี้พี่สะใภ้รองก็คงจะไม่อยู่แล้วเช่นกัน ถึงกระนั้นโจวเวยก็หาได้สำนึกผิดไม่ คนยังคงโจมตีใส่พี่สะใภ้รองอีกครั้ง โชคดีที่ั้แ่เล็กพี่สะใภ้รองต้องขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรกับบิดา นางจึงเป็วิชาป้องกันตัวแมวสามขาอยู่บ้างถึงได้หลบลี้พ้น กระบี่นั่นไม่ได้ทำให้นางถึงแก่ชีวิต แต่ก็ยังแทงเข้าที่แขนของพี่สะใภ้รองจนเกิดเป็แผลใหญ่ อีกทั้ง นางยังใจนบุตรในท้องไม่อาจรักษาไว้ได้ พวกเราจึงจับโจวเวยไว้ด้วยหวังจะให้พี่รองตัดสินโทษ แต่เพราะพี่รองบอกว่าคนคนนี้เป็ขุนนางของฮ่องเต้ ต้องคุมตัวกลับมาเมืองหลวงให้เสด็จพ่อตัดสินพระทัย จึงมิได้ทำอันใด ทว่า ในคืนเดียวกันนั้นเอง เหล่าทหารที่โจวเวยพาไปด้วยกลับบุกเข้าไปในคุกของจวนอ๋องเพื่อชิงคน มิหนำซ้ำยังสังหารทหารในจวนอ๋องไปไม่น้อย”
โอวหยางเทียนหลานมองรัชทายาทด้วยรู้ว่า อีกฝ่ายคงกำลังอยากหาโอกาสเพื่อแก้ตัวให้โจวเวย เขาหัวเราะเ็าในใจ อยากจะเปลี่ยนดำเป็ขาว แก้ต่างให้โจวเวยหรือ เื่นี้คงต้องดูว่าเปิ่นหวางจื่อ [1] จะให้โอกาสนี้แก่เ้าหรือไม่
เขาพูดต่อ “เสด็จพี่รัชทายาท อย่าได้มองน้องด้วยสายตาเช่นนี้เลย เพราะเื่นี้มิใช่เื่ที่น้องจะโป้ปดขึ้นมาเองได้ ประชาชนมากมายในนครหานโจวล้วนเห็นเื่ราวทั้งหมดั้แ่ต้น ทั้งยังสามารถเป็ประจักษ์พยานในเหตุการณ์นี้ได้ด้วย ใช่แล้ว ตอนที่อาการของพี่สะใภ้รองยังอยู่ในขั้นอันตรายนั้น นางได้รับความช่วยเหลือจากบุตรชายคนเล็กของหลิ่วเก๋อเหล่าที่บังเอิญผ่านไปหานโจวพอดีด้วย”
ดูสิ ดูสิ เื่นี้มีคนรับรู้อยู่มากเพียงนี้ เปิ่นหวางจื่ออยากจะดูว่าเ้ายังจะปกป้องเ้าคนโฉดชั่วโจวเวยนี่อย่างไร
หากเขาเดาไม่ผิดละก็ ตอนนี้โจวเวยคงมาถึงแล้ว ทั้งยังไปจวนรัชทายาทมาแล้วด้วย
เมื่อรัชทายาทโอวหยางเทียนหัวได้ยินเช่นนั้น ในสายตาก็ปรากฏแววสังหารวาบผ่าน เ้าโจวเวยนี่สมควรตาย ภารกิจที่สั่งไปก็ไม่สำเร็จ ดีแต่ก่อเื่เก่งนัก ก่อนนี้เขาสั่งให้คนไปจัดการงาน แต่งานนั้นก็หาได้สำเร็จ อีกทั้ง ตอนนี้ก็ดียิ่งถึงกับลากเขาเข้าไปพัวพันด้วยอีก
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจเขาก็เกรี้ยวกราดถึงขีดสุด
เสี้ยวเหวินตี้มองโอวหยางเทียนหัวไปทีหนึ่ง จากนั้นจึงถามเรียบๆ ว่า “รัชทายาท เ้าว่าเื่นี้ควรจัดการเช่นไร”
โอวหยางเทียนหัวมองสีพระพักตร์ของฮ่องเต้บนบัลลังก์ จึงได้เห็นแววหยั่งเชิงในดวงตาของพระบิดาตน ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า พระองค์ทรงทราบเื่อันใดมาใช่หรือไม่? หรือว่า เสด็จพ่อเองก็กำลังสงสัยว่า โจวเวยจะเป็คนของเขา
เมื่อใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ตัดสินใจทันที “ทูลเสด็จพ่อ การกระทำครั้งนี้ของโจวเวยเป็การปองร้ายต่อทายาทของราชวงศ์ สมควรปะาเก้าชั่วโคตร [2] พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อคิดได้ว่าคนสนิทของตนจะต้องหายไปคนหนึ่ง ในใจเขาก็เกรี้ยวกราดเป็อย่างยิ่ง มิคาดเ้าโอวหยางจวินเหยียนที่อยู่ในหานโจวจะยังพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินในเมืองหลวงได้อีก
“ในเมื่อรัชทายาทพูดแล้วว่าต้องปะาเก้าชั่วโคตร เช่นนั้น เ้าสี่ เหตุใดเ้ายังไม่รีบไปจัดการอีก” เสี้ยวเหวินตี้มองรัชทายาทไปเรียบๆ ทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดเสียงขรึมกับองค์ชายสี่
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นหวางจื่อ(本皇子)แปลว่า ตัวข้าผู้เป็องค์ชาย
[2] ปะาเก้าชั่วโคตร(株连九族)คือโทษปะาร้ายแรง โดยการปะาทั้งตระกูล ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว