ราวก้อนเืติดอยู่ในลำคอ ด้วยความตะลึงเยวี่ยเจาหรานจึงเก็บคำขอบคุณที่ยังไม่ได้เอ่ยออกไปกลับคืนมาหมดสิ้น และสุดท้ายก็เลือนหายเป็เถ้าธุลีไปในแผ่นหลังของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว
เยวี่ยเจาหรานส่งเสียงฮึไปทางประตู แล้วนำเสื้อผ้ามาสวมเหมือนกับสะใภ้น้อยคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพลันคลำใจถามกับตนเอง ‘ท่าทางฮึดฮัดเมื่อครู่นั่นข้าทำอะไรของข้ากัน? ทำตัวเป็สาวรุ่นไปจริงๆ เสียได้!’
เขาลุกขึ้นพร้อมกับสะบัดศีรษะเล็กน้อย แล้วจึงก้มลงสำรวจหน้าอกแบนราบของตน หัวใจที่หมุนติ้วหล่นกลับไปในท้อง เขาเอ่ยกับตัวเองเสียงเบา “ช่างเถอะ ข้าก็คือข้า เป็ดอกไม้ไฟที่มีหลากสีสัน!”
เมื่อพูดจบจึงวิ่งเหยาะๆ ไปสองสามก้าว เขาใช้มือรองพยุงหน้าอกปลอมอันใหญ่สะบึ้มที่ถูกยัดเข้าไป พลางวิ่งไปยังลานบ้าน
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยืนอยู่ใต้ต้นท้อ เดือนสามดอกท้อใหม่แรกผลิ กลับถูกลมหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิพัดพาเอาดอกอ่อนร่วงหล่นลงมายังไหล่ของนาง คนและกระบี่ร่ายรำประสานกัน เยวี่ยเจาหรานจ้องมองอย่างลุ่มหลงนิ่งงันไปชั่วครู่ ระหว่างที่สติล่องลอยไปนั้น คมกระบี่ก็แนบข้างลำคอ ััได้ถึงความเย็นะเื เยวี่ยเจาหรานไม่อาจหลบหลีกได้ทัน ได้แต่นิ่งอึ้งอยู่กับที่ กะพริบตาจ้องมองคนผู้นั้นให้ชัด
“มัวยืนอึ้งอยู่ทำไมเล่า? ที่แท้ก็โง่เขลาทั้งยังไม่ตั้งใจเรียนอีก!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับไม่ได้ใส่ใจกับสายตาลุ่มหลงนั้น ปลายกระบี่กวัดไกวเบาๆ ก่อนจะทาบลงบนเรือนผมดำที่ไม่ได้เกล้ามวยขึ้นของเยวี่ยเจาหราน แล้วเคาะกลางกระหม่อมอย่างแรง ราวกับตาแก่คร่ำครึผู้เข้มงวดในสำนักศึกษาเมื่อวัยเด็กอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาหัวของเขาเจ็บจี๊ดขึ้นมา
“เ้าว่าใครโง่กัน?!” เมื่อเยวี่ยเจาหรานเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตีแล้วหนี มีหรือจะยอม เขาดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งไปข้างหน้า คิดจะคว้าชายผ้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาไว้ แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วผู้เรียนวรยุทธ์มานานนั้นท่วงท่าพลิ้วไหว ทั้งยังอ่านทางได้ล่วงหน้า เมื่อหันกลับมาก็ฉวยตัวเยวี่ยเจาหรานเข้ามาในอ้อมแขน แล้วพาเขาทะยานเข้าไปยังป่าท้ออย่างว่องไว
เยวี่ยเจาหรานนั้นเสียเปรียบอยู่เสมอในเื่นี้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็คร้านจะ ‘กลั่นแกล้ง’ ไม่นานนางก็ปล่อยมือ สาวเท้าก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย “จับกระบี่ของเ้าให้ดี!” เสียงกังวานดังขึ้นเบาๆ ‘ชายหนุ่มรูปงาม’ ผมหยักศกในชุดกางเกงรัดรูปพลิกข้อมือ โยนกระบี่อีกเล่มที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าใต้ต้นไม้ไปทางเยวี่ยเจาหราน เสียงพลั่กดังขึ้น แล้วกระบี่ก็ร่วงลงสู่อ้อมแขน
“ทำไมกระบี่เล่มนี้ของข้าจึงบางนัก อย่างกับของที่สตรีใช้กัน?!” เมื่อชักกระบี่ออกจากฝักจนสุดปลาย เยวี่ยเจาหรานก็อุทานออกมา ยามนี้รอบข้างไม่มีใคร เขาจึงเอ่ยด้วยเสียงเดิมของตน ไม่คงเสียงสาวน้อยน่ารักไว้อีก แต่เมื่อประกอบกับใบหน้าที่แต่งแต้มของเขาแล้ว มันกลับดูแปลกประหลาดนัก
คิ้วดาบของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขมวดเล็กน้อย ชูมือที่ถือกระบี่ของตนขึ้นแล้วเดินตรงไปหาเขาอย่างเหนื่อยหน่าย เอ่ยเสียงเข้ม “ยามนี้เ้าก็เป็สตรีนางหนึ่ง ย่อมต้องใช้กระบี่ของสตรี---รับมือ!”
ลมเย็นะเืจากกระบี่ พัดจอนผมของเยวี่ยเจาหรานกระจายออก เมื่อเห็นปลายกระบี่จู่โจมมา เยวี่ยเจาหรานพลันเบี่ยงไหล่หลบการรุกจู่โจมครั้งแรกของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว
เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงลำพองอย่างชัดเจน “นี่ เ้าคนหยาบกระด้าง เ้าก็ไม่เท่าไร... อ๊ะ—“ ไม่ทันสิ้นเสียงเขาก็อุทานออกมาอีกครั้ง ที่แท้คือเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วโอบตัวเยวี่ยเจาหรานเข้ามาในอ้อมแขน
“แม่นางน้อยพูดมากเสียจริง ไม่รู้จริงหรือว่าข้าออมมือให้เ้า?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจับแขนเยวี่ยเจาหรานเอาไว้หลวมๆ แล้วเปลี่ยนการเคลื่อนไหวของฝีเท้า ทั้งสองร่ายรำตามสายลมไปพร้อมกันกลางป่าท้อ ลมพัดเรือนผมปลิวไสว จอนผมของเยวี่ยเจาหรานที่ไม่ทันเก็บรวบให้ดี จึงพลิ้วไปข้างหลังเบาๆ ราวกับสายน้ำตกที่ระอยู่ตรงลำคอของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว...
กระบี่กวัดแกว่งบุปผาร่วงโรย สายลมพัดเอื่อยลอยมา ทั้งสองรับกันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ นับว่าคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อผ่านไปครึ่งทางก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยวี่ยเจาหราน เขาต้านรั้งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วครั้งแล้วครั้งเล่า
“อย่ารั้นนัก! เ้าแค่ขยับตามข้า หรือกลัวข้าว่าจะทำร้ายเ้าหรือไร?!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพลันโยนกระบี่หนักในมือทิ้งไป เสียงดังพลั่กพาเอาเยวี่ยเจาหรานใจนหนังตากระตุกตาม
ผ่านไปครู่ใหญ่ แม้เยวี่ยเจาหรานจะพิงอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แต่ไม่รู้เหตุใดกลับเหนื่อยจนหอบ พอหันไปมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว บนลำคอนางมีเม็ดเหงื่อผุดพราย กำลังจับชายแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อ พลางบ่นว่าคู่ซ้อมไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย
“ข้า... ข้าก็เป็ผู้ชายคนหนึ่ง จะให้หญิงสาวพาเดินไปได้อย่างไร?!” เยวี่ยเจาหรานก็อยู่อีกด้านหนึ่งพลันรู้สึกว่าตนถูกปรักปรำ คิ้วเรียวบางหงิกงอ หากไม่มองให้ดีๆ ก็ดูราวกับสตรีนางหนึ่งที่กำลังปึ่งงอนอยู่จริงๆ !
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียงกระทืบเท้าแทบทะลุพื้นจนเทพแห่งพสุธาอยากร้องะโ “เ้ายังจะพูดไร้สาระอะไรอีก?! ดูสภาพเช่นนี้ของเ้า ยังนับเป็ชายชาตรีได้อีกหรือ? ถ้าวันมะรืนเ้ายังเป็เช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ก็ดูกันว่าฝ่าาจะฆ่าเ้า หรือฆ่าข้า!”
เยวี่ยเจาหรานได้ยินเช่นนั้นก็เบะปาก น้ำตาร่วงผล็อยดั่งเมล็ดข้าว ทำเอาเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วโกรธจนพูดอะไรไม่ถูก “ช่างเถอะๆ พอแล้ว พูดอีกก็มากความ——!”
ระหว่างทั้งสองในยามนี้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เยวี่ยเจาหรานกลับขุ่นเคืองไม่ยอมหาย หากเรียกใครสักคนมาดู ไม่ว่าใครก็ต้องบอกว่านี่เป็เื่ทะเลาะกันภายในครอบครัว พ่อแง่แม่งอนใส่กันไม่หยุดหย่อน! แต่ถึงพูดเช่นไร ใครเล่าจะเข้าใจรสชาติที่แท้จริง? ตอนนี้ที่เป็ทุกข์นั้นคือ ‘ใจ’ ต่างหาก!
เยวี่ยเจาหรานยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจา เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับกระวนกระวายราวกับมดเดินบนกระทะร้อน ในหัวเต็มไปด้วยความคิดว่าจะคลายความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของบุรุษตรงหน้าผู้นี้อย่างไรดี ขณะที่กำลังนึกความคิดดีๆ ที่น่าจะแก้ไขปัญหานี้ขึ้นมาได้ ก็พลันตื่นระวังด้วยเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่ดังมาจากในป่าท้อ
“อย่าขยับ!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกดเสียงเอ่ยในลำคอ นางหยิบกระบี่ยาวที่ทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วดึงเยวี่ยเจาหรานที่อยู่อีกด้านไปข้างหลังตน แม้จะอยู่ในบ้านของตัวเอง แต่เพราะสถานะที่ไม่ธรรมดาของทั้งคู่ ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วต้องขัดเกลาััของหัวหน้าสายลับหน่วยสังหารอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ความจริงอาจเป็เพียงเพราะนางหวาดระแวงเสียงลมไปเองก็ได้
เมื่อข้อมือถูกบีบอย่างแรงกะทันหัน เยวี่ยเจาหรานก็ตื่นกลัวขึ้นมา เขาขยับก้าวเท้าสั้นๆ ทุกการเคลื่อนไหวดูราวกับหญิงสาวอย่างมาก หากน้องสาวแท้ๆ ของเขาเยวี่ยเยียนหรานอยู่ที่นี่ตอนนี้ ก็คงยกนิ้วให้พี่ชายของนางอย่างเลื่อมใสเป็แน่!
“คุณหนะ... คุณชายน้อย!” เมื่อทะลุผ่านหมู่ต้นท้อหนาทึบ สลัดกลีบชมพูออก ผู้ที่ปรากฏกายออกมากลับเป็หลิงหลงสาวใช้คนนั้น!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เพิ่งผ่อนลมหายใจ เกือบใจหายใจคว่ำกับคำว่า ‘คุณหนู’ ที่หลิงหลงหลุดปากออกมา โชคดีที่เก็บคำท้ายเอาไว้ได้ทันจึงความลับไม่แตก แต่จะว่าไป... คู่รักจอมปลอมสองคนนี้ต่างก็รู้ไต๋กันดีแล้ว ยังต้องกลัวอะไรอีก?
หลิงหลงกลับไม่รู้ความจริงตรงหน้า ทั้งยังส่งสายตาว่า ‘ข้ายอดเยี่ยมมากใช่หรือไม่’ ไปทางเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างภาคภูมิใจ ชั่วขณะที่ชูนิ้วเล็กๆ ขึ้นนั้น เต็มไปด้วยความลำพองใจอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อไม่สามารถเปิดเผยออกไปได้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงได้แต่เก็บคำตำหนิเอาไว้ แล้วส่งสายตาที่สื่อว่า ‘เยี่ยมมาก’ กลับไปอย่างไม่เต็มใจ นางปลอบตัวเองว่านั่นเป็กำลังใจที่สาวใช้ควรได้รับ
“อะแฮ่ม มีอะไรหรือ?” อาจเพราะเพิ่งจะพูดโกหกไป ในคอของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงราวกับมีก้อนอะไรติดอยู่ จึงต้องกระแอมเล็กน้อยถึงจะพูดได้คล่องคอ
ทันใดนั้นหลิงหลงก็เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า และกลับสู่การแสดงอีกครั้ง ทั้งสายตา ริมฝีปาก ไปจนถึงกล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าต่างอยู่ในระดับมาตรฐานสำหรับเลียนแบบอาการ ‘วิตก’ ได้อย่างสมจริง!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้