ป๋อเก๋อเงยหน้ามองอัศวินตรงหน้า รูปร่างมิสูง หมวกปิดบังใบหน้าของเขาเอาไว้อย่างมิดชิด เกราะที่สูญเสียประกายนั่น กล่าวกันตามตรงแล้วมิใช่มิพอดีตัว แต่ดูคล้ายจะผุพังจนมิอาจพอดีตัวเสียมากกว่า--- ซับในด้านในเกราะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไหล่ข้างหนึ่งกับต้นขาอีกข้างหนึ่งโผล่ออกมาด้านนอก ยังสามารถมองเห็นต้นหญ้าโผล่ออกจากรูโหว่ของแผ่นเกราะตรงหน้าท้องได้
เมื่อหวนนึกถึงการต่อสู้อย่างองอาจและเชี่ยวชาญของผู้ที่อยู่ตรงหน้า ป๋อเก๋อพลันรู้ตัวว่าตนละเมิดข้อห้ามสำคัญอย่างการตัดสินคนจากภายนอกโดยมิรู้ตัว เขาค้อมเอวเพื่อแสดงความขอโทษอีกครั้ง
โม่จ้านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน หากมิใช่ว่าโจรกลุ่มนั้นมิทันระวังตัวจนเกินไป มีหรือตนจะได้เป็ผู้จัดการก่อนหนึ่งคนแล้วชิงอาวุธมาไว้ในมือ จำต้องรู้เอาไว้ว่า ต่อให้วิชาการต่อสู้จะเก่งกาจมากเพียงใดกระนั้นก็ยังกลัวมีดหั่นผัก หากตนต่อสู้หนึ่งต่อเจ็ดด้วยมือเปล่า เกรงว่าจะเป็การนำหัวไปส่งให้ผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ
“ดูจากรูปแบบของเสื้อเกราะ ท่านคงจะเป็อัศวินของราชวงศ์แห่งอาณาจักรข่ายเจ๋อ? เหตุใดจึงมายังที่นี่ขอรับ?”
ป๋อเก๋อหยิบจดหมายที่ตกลงบนพื้นยัดกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตนเอง อัศวินลังเลครู่หนึ่ง ตามด้วยถอนหายใจอย่างค่อนข้างท้อใจ
“......ข้ามาเพื่อคุ้มกันลอร์ดไปในเมืองทว่าถูกโจมตีโดยสิงโตในป่า เพื่อปกป้องท่านลอร์ด พวกเราแบ่งอัศวินครึ่งหนึ่งคุ้มกันเขาล่วงหน้าไปก่อน ส่วนพวกเราอีกมิกี่คนรั้งอยู่เพื่อรับมือ”
อัศวินก้มหน้าลง น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็เศร้าโศกขึ้นมา
“ผู้ใดจะไปรู้ว่ายังมีสิงโตอีกหลายตัววิ่งออกมาจากในป่า พวกเราพยายามสุดกำลังเพื่อไล่พวกมันไป พี่น้องของข้าได้รับาเ็สาหัสและสละชีวิต ยามนี้เหลือเพียงข้าผู้เดียว ข้าเดินไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจึงได้เข้ามาดูสถานการณ์”
“ท่านเทพแห่งแสงประทับเหนือเกล้า นี่นับว่าช่างโชคร้ายเหลือเกิน”
พ่อบ้านมองอัศวินที่อยู่ในอารมณ์หดหู่ก่อนก้มศีรษะลงเพื่อยืนสงบไว้อาลัยด้วยกัน มิทันสังเกตเห็นรายละเอียดที่น่าอับอายประการหนึ่ง---นั่นคือสิงโตกัดชุดชั้นในของอีกฝ่าย ทว่ากลับมิมีรอยแผลบนขา ป๋อเก๋อปลอบโยนอัศวินด้วยน้ำเสียงแ่เบาไม่กี่ประโยค และด้วยวิธีการวาดกากบาทสีแดงบนถนนรอบป่าในใจของตน ขณะเดียวกันนั้น ในใจได้ขีดกากบาทสีแดงลงบนถนนหนทางตามป่าเขา
“เ้าเล่า? มิมีศิลปะการต่อสู้ เหตุใดจึงยังใช้ทางสายนี้?”
โม่จ้านพลิกตัวโจรกลับไปกลับมา ผลคือนอกจากเงินไม่กี่เหรียญที่น่าสงสาร เขาก็หาสิ่งใดมิพบสักอย่าง
ก็ถูก เป็โจรดักปล้นในสถานที่สับปะรังเคเช่นนี้ คาดว่าซุ่มอยู่เป็ปีก็คงจะปล้นสิ่งดีๆ มิได้
“อ่อ พวกเราพลัดหลงกับขบวนพ่อค้าของนายท่าน คิดจะใช้ทางลัดเพื่อไปรวมตัวกันขอรับ”
เ้าหลอกผีหรืออย่างไร? โม่จ้านพูดแขวะอยู่ในใจ อย่าคิดว่าข้ามิเห็นหรือว่าบนจดหมายฉบับนั้นของเ้าเขียนไว้ว่า ‘จดหมายลงนามตอบรับของผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ภาคตะวันออก’ อย่างน้อยๆ เมื่อก่อนข้าก็เคยเป็ตำรวจ ย่อมมิอาจทำเื่ลักพาตัวลูกข้าราชการเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งได้
เมื่อเห็นว่าผ่านไปพักหนึ่งอัศวินก็ยังมิตอบกลับ ป๋อเก๋อค่อนข้างกระอักกระอ่วน เริ่มหาหนทางแสดงออกถึงความปรารถนาดีอย่างสุดความสามารถ
“ท่าน้าค่าตอบแทนเท่าใด? ข้าสามารถจ่ายให้ท่านได้สามเท่าของค่าจ้างผู้คุ้มกันขอรับ”
นี่ถึงจะเหมือนสิ่งที่คนควรจะพูดหน่อย โม่จ้านหยิบดาบที่นับว่าพอจะแหลมคมอยู่บ้างขึ้นมาจากพื้นแล้วพาดไว้บนหลัง กวักมือบอกใบ้ให้ป๋อเก๋อรีบออกเดินทางไปด้วยกัน
“ข้ายัง้าอาวุธคล่องมืออีกชิ้น เ้าก็เห็นแล้วว่าข้าใช้ดาบมิเป็”
ป๋อเก๋อพยักหน้าทันใด “รอกระทั่งไปรวมตัวกับขบวน ข้าเชื่อว่านายน้อยจะต้องรับปากแน่นอนขอรับ”
“ข้ามิคุ้นเคยกับละแวกนี้ เ้านำทางเถิด” โม่จ้านอ้าปากหาวก่อนจะเดินตามอยู่ด้านหลังพ่อบ้านเฒ่าอย่างเอ้อระเหย
ป๋อเก๋อพยักหน้า เขาเดินไปพลางคิดไป อัศวินที่มาจากเมืองพระาาช่างมีบุคลิกต่างออกไปเสียจริง ยามพูดจาล้วนแต่แฝงไว้ด้วยการออกคำสั่ง
เพราะมีการต่อสู้แทรกเข้ามา เวลากระชั้นชิด คนทั้งสองเร่งฝีเท้ามุ่งไปด้านหน้า ทว่าป๋อเก๋อกับโม่จ้านล้วนแต่มิทันรู้ตัวว่ามีคนผู้หนึ่งลอบติดตามอยู่ด้านหลังจากที่ไกลๆ
ตลอดทางมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น ก่อนพระอาทิตย์ลับขุนเขาอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดคนทั้งสองก็เดินพ้นชายป่า
นับแต่มาเยือนยังโลกต่างมิติ โม่จ้านเพิ่งจะเคยมาเหยียบเมืองที่มีคนอาศัยอยู่ด้วยตนเอง ภายในใจรู้สึกตื่นเต้นเกินบรรยาย ทว่าใบหน้ากลับแสร้งสำรวมกิริยา ป๋อเก๋อสอบถามเถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่คุ้นเคยกัน ได้รู้ว่ารถม้านายน้อยของตนเพิ่งจะออกไปได้มินาน ในที่สุดก้อนหินในใจก็ถูกโยนออกไปเสียที
หลังจองห้องพักและจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ป๋อเก๋อที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหันไปบอกกล่าวแก่โม่จ้านก่อนจะล้มหัวถึงหมอนแล้วนอนหลับเป็ตาย โม่จ้านเดินเข้าห้องของตน นั่งลงบนเตียงอย่างผ่อนคลาย คิดใคร่ครวญว่าหลังจากนี้ตนจะทำสิ่งใดต่อ
ไม่ว่าจะในโลกไหน หากมิมีเงินก็ใช้ชีวิตต่อไปมิได้ บนตัวของเขามีเพียงเงินไม่กี่เหรียญที่รีดไถมาจากโจร ยังมิรู้ว่าราคาข้าวของของที่นี่เป็อย่างไร พอจะซื้อข้าวของได้มากน้อยเพียงใด หากคิดจะสร้างตัวด้วยมือเปล่า เขาต้องทำสิ่งใดจึงจะหาเงินได้...
นิ้วชี้เคาะหมวกเสียงดัง ‘แกร๊งๆ ’ ทันใดนั้นโม่จ้านที่กำลังอยู่ในโหมดใคร่ครวญปัญหาชีวิตถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
จะคิดไปไกลเพียงนั้นทำไมกัน? ยามนี้ตัวเขาเป็ถึงผู้ปฏิบัติการล้ำยุค---ชุดเกราะเปลือยสุดอินเทรนด์ในเวอร์ชั่นต่างโลก ข้างในมิได้ใส่อันใดสักอย่าง ตลอดทางมานี้ ต้นขากับแขนของเขาล้วนแต่ถูกสึกกร่อนด้วยโลหะ
“สวัสดี มีผู้ใดอยู่หรือไม่? พอจะช่วยอันใดข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
โม่จ้านเปิดประตูเป็ช่องแคบเล็กๆ แล้วร้องะโออกไปทางด้านนอก ห้องของตัวเขาอยู่ส่วนกลางทางเดิน ตรงสุดทางเดินมีโต๊ะเพียงมิกี่โต๊ะ บริเวณนั้นคือที่สำหรับให้คนใช้รอรับคำสั่งจากผู้เข้าพัก คงจะพอได้ยินเสียง ป๋อเก๋อหลับไปแล้ว มิไปรบกวนเขาจะดีกว่า
“...มีอันใด?”
รออยู่ครึ่งค่อนวันจึงมีเสียงทุ้มต่ำตอบกลับตน โม่จ้านขมวดคิ้ว เหตุใดน้ำเสียงของคนใช้ผู้นี้จึงมิมีความกระตือรือร้นอย่างที่ควรจะมีเลยสักนิด กลับเย็นะเื คล้าย้าบอกปัดคนให้ออกห่างนับพันลี้อย่างไรอย่างนั้น
ช่างเถอะ ใครมิเคยมี่ที่อารมณ์มิดีกันบ้าง จำต้องเข้าอกเข้าใจพนักงานบริการ
“เ้าพอจะรู้ว่าละแวกนี้มีร้านขายอาภรณ์หรือไม่? ข้ามิค่อยคุ้นเคยกับที่นี่”
โม่จ้านพยายามให้น้ำเสียงของตนเป็มิตรน่าเข้าหาสักหน่อย ทว่าดูเหมือนจะเป็การเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ
“ขออภัย ข้าเองก็มิรู้เช่นกัน”
“...”
“...”
ภายใต้ความเงียบสงัด คล้ายกับอีกฝ่ายจะรู้สึกกระอักกระอ่วนเช่นกัน
“แต่ข้าช่วยถามให้เ้าได้ โปรดรอสักครู่”
เ้าถิ่นยังมิรู้ว่าต้องซื้อของที่ใดงั้นรึ? หรือว่าคนผู้นี้ก็มารับจ้างเช่นเดียวกัน..
โม่จ้านเริ่มคิดแต่งเติมเองอยู่ในหัวอย่างอัตโนมัติ จากนั้นหยุดลงด้วยน้ำเสียงเ็าอันคุ้นเคย
“เดินตรงไปตามถนนใหญ่ เดินเท้าประมาณห้านาที ทางซ้ายมือจะมีตลาดขนาดเล็ก”
“ขอบคุณ”
โม่จ้านกระซิบก่อนจะปิดประตูลงเบาๆ จากนั้นเขาก็ถอดหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะออก เริ่มใช้มาตรการป้องกันการสึกกร่อนชั่วคราวอย่างขยันขันแข็ง---โดยการเอาผ้าขี้ริ้วที่ขอมาจากเ้าของร้านพันรอบกาย หลังเตรียมการพร้อม โม่จ้านผลักประตูออกไป พบว่าเก้าอี้ตรงสุดทางเดินว่างเปล่า
“...มิอยู่สักคน ไปที่ใดกันหมด?”
โม่จ้านเดินลงไปชั้นล่าง พบว่าเ้าของร้านและเหล่าคนรับใช้กำลังรวมตัวกัน คล้ายกับกำลังหารือ ‘เดือนจับจ่าย’ อันใดสักอย่าง ฟังจากชื่อก็รู้แล้วว่าคงจะเป็กิจกรรมจำพวกตลาดนัดขายสินค้าในหมู่บ้านที่จะมีขึ้นสักครั้งในหลายเดือน
“เถ้าแก่ เวลานี้ตลาดเล็กยังเปิดอยู่หรือไม่?”
“ท่าน้าซื้ออาภรณ์ใช่หรือไม่? หากเดินไปคงมิทันเสียแล้ว เพียงแต่พวกเรามีบริการซื้ออาภรณ์แทน ท่านบอกรูปแบบและขนาดกับพวกเรา พวกเราจะขี่ม้าไปซื้อให้ท่าน หรือท่านสามารถเช่ารถม้าของพวกเราเพื่อไปซื้อด้วยตนเองก็ได้ขอรับ”
เถ้าแก่เงยหน้าพลางคลี่ยิ้มตาหยีมองอัศวินเกาะผุพังมิครบชิ้นตรงหน้า เมื่อยามบ่ายเขาก็เดาได้แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นจึงเตรียมการเอาไว้เรียบร้อย
“อืม เช่นนั้นข้าจะเช่ารถม้าไป” โม่จ้านพยักหน้า ประหยัดเงินค่าแรงได้สักนิดก็ยังดี
เถ้าแก่คลี่ยิ้มขานรับ ขณะเตรียมจะเรียกคนด้านนอก กลับถูกน้ำเสียงเย็นเยียบขัดจังหวะเสียก่อน
“ข้าก็อยากซื้ออาภรณ์เช่นกัน พวกเ้ายังมีรถม้าอีกหรือไม่?”
“...อ่า ต้องขออภัยท่านอัศวิน รถม้าอีกหนึ่งคันออกไปจ่ายซื้อของยังมิกลับมา เหลือรถม้าแค่เพียงคันเดียวขอรับ”
เถ้าแก่เงยหน้าขึ้น ใบหน้าฉายแววขออภัยขณะมองไปยังอัศวินร่างสูงที่แต่งกายเต็มยศ เกราะสีเงินของอีกฝ่ายเงาวับ ราวกับมิเคยมีรอยขีดข่วน เห็นได้ชัดว่าเพิ่งทำขึ้นใหม่
อัศวินนิ่งเงียบมิกี่อึดใจก่อนจะหันหลังเดินขึ้นไปชั้นบน
“ท่านผู้นั้น หากมิถือสาจะร่วมนั่งรถม้าคันเดียวกันหรือไม่? ออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่งก็พอ”
น้ำเสียงของโม่จ้านดังมาจากด้านหลัง อัศวินชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมา เขามองพิจารณา ‘เพื่อนร่วมทาง’ ตรงหน้าผ่านรอยแตกของหมวก ตนมิได้มีนิสัยรักสะอาดจนเกินไป เพียงแต่อยากยึดถือหลัก ‘ประหยัดมัธยัสถ์ ลดได้ลด’ ให้ถึงที่สุด จึงได้เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเอาไว้
“...ได้ เช่นนั้นเอาตามนี้”
อัศวินพยักหน้า จากนั้นโยนเหรียญทองออกไปหนึ่งเหรียญ เถ้าแก่สั่งให้เหล่าเด็กรับใช้ไปจูงรถม้ามาหน้าประตู จากนั้นหาเหรียญเงินเก้าเหรียญมาคืนอัศวิน โม่จ้านแสร้งทำทีเป็ส่งเหรียญเงินหนึ่งเหรียญออกไปเช่นกัน จากนั้นตามเถ้าแก่ออกจากโรงเตี๊ยม
ได้สูตรคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแล้ว หนึ่งเหรียญทองมีค่าเท่ากับสิบเหรียญเงิน