สำนักศึกษาที่หวังไห่พาครอบครัวหลี่ไปก็คือ สำนักศึกษาที่หวังจื้อเกาเรียนอยู่
อาจารย์จางของสำนักศึกษา เป็ซิ่วไฉที่มีรูปร่างสูงใหญ่อ้วนท้วม นิสัยร่าเริงเปิดเผย กระทำสิ่งใดก็คล่องแคล่ว ปีนี้อายุสามสิบสองแล้ว เขาสอบเป็ซิ่วไฉได้เมื่อเจ็ดปีก่อน มาสอนหนังสืออยู่ที่ตำบลจินจีได้ห้าปีแล้ว
จางซิ่วไฉรู้จักหวังไห่เป็อย่างดี เมื่อได้ยินว่าจะมีเด็กชายสี่คนจากหนึ่งครอบครัวของหมู่บ้านหลี่้าเข้ามาเรียนที่สำนักศึกษา ก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง พอทราบว่าเป็ตระกูลหลี่ที่ขายแป้งย่าง จึงเข้าใจว่าตระกูลหลี่ขายแป้งย่างจนได้เงินเพียงพอแล้ว
“นี่คือน้องหลี่ซาน” หวังไห่แนะนำหลี่ซานให้จางซิ่วไฉได้รู้จัก
จางซิ่วไฉจ้องมองหลี่ซานอย่างพินิจพิเคราะห์ พบว่าเขาเป็บุรุษที่มีท่าทางซื่อๆ และไม่ได้ดูเฉลียวฉลาดเฉกเช่นเด็กชายตระกูลหลี่เลย จึงกล่าวไปตามตรงว่า “ในหมู่เด็กๆ สี่คนของท่าน คนที่อายุน้อยที่สุดก็คือ สิบเอ็ดปี หากเรียนสิบปีก็จะเข้าร่วมสอบได้ตอนอายุยี่สิบเอ็ด”
เมื่อครู่หลี่ซานได้ยินเสียงท่องตำราของเหล่านักศึกษาในสำนักแล้ว พานให้รู้สึกฮึกเหิมยิ่งนัก ในเมื่อตอนนี้ครอบครัวมีเงินร่ำรวยแล้ว เหตุใดจะไม่ส่งลูกทั้งสี่มาเรียนเล่า “ครอบครัวของพวกเราจะให้พวกเขาเรียนทั้งสี่คนเลยขอรับ”
หวังไห่กล่าวเสริมว่า “ท่านอาจารย์ มารดาแท้ๆ ของเด็กทั้งสี่คือจ้าวซื่อ เป็บุตรีของซิ่วไฉ นางรู้อักษรรู้จักการคำนวณ เด็กทั้งสี่ก็ฉลาดมาก เรียนอักษรกับจ้าวซื่อั้แ่ยังเล็ก รู้ความกว่าเด็กๆ ในหมู่บ้านมากขอรับ”
หลี่เจี้ยนอันและเหล่าน้องชายไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ทำได้เพียงใช้สายตาคาดหวังมองไปทางจางซิ่วไฉ
“ข้าจะลองทดสอบพวกเขาดูสักหน่อย” จางซิ่วไฉคิดคำถามขึ้นมาทดสอบสี่พี่น้องตระกูลหลี่
หลี่ซานเดินออกจากห้องหนังสือมากับหวังไห่ ยืนรออยู่ที่ลานด้านนอก รู้สึกว่าเวลาเดินช้าราวกับผ่านไปนับปี
หวังไห่พาหลี่ซานมายังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากห้องหนังสือไปไม่ไกลนัก แล้วกระซิบกระซาบบอกกับเขาด้วยท่าทีมีความลับว่า “เ้าได้สังเกตมือซ้ายของจางซิ่วไฉหรือไม่”
“ไม่ ทำไมหรือ”
“นิ้วก้อยซ้ายของเขาสั้นไปครึ่งหนึ่ง”
“เหตุใดจึงเป็เช่นนั้น?”
“ได้ยินว่าเมื่อเจ็ดปีก่อน เขาไปเล่นบนูเา เกิดสะดุดล้มจนตกเขา นิ้วก้อยซ้ายไปเกี่ยวกับต้นไม้…”
“นิ้วขาดก็นับเป็ความพิการ ไม่สามารถเข้าสอบเคอจวี่ของราชสำนักได้อีก” ก่อนหน้านี้จ้าวซื่อเคยบอกเื่ราวเกี่ยวกับการสอบให้หลี่ซานฟังมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ เงื่อนไขการสมัครสอบ
“ใช่ จางซิ่วไฉมีความรู้สูง หากไม่ใช่เพราะนิ้วก้อยขาดจะต้องเข้าร่วมการสอบเคอจวี่และสอบเป็จวี่เหรินได้แน่”
หลี่ซานกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เขาโชคไม่ดีจริงๆ”
หวังไห่กระซิบเสียงแ่เบายิ่งขึ้น “ในตำบลมีซิ่วไฉสองคน คนหนึ่งก็คือ หลิวซิ่วไฉ จางซิ่วไฉเข้าสอบเคอจวี่ไม่ได้อีก จึงตั้งใจกับการสอนมาก ส่วนหลิวซิ่วไฉยัง้าเข้าร่วมการสอบเพื่อเป็จวี่เหริน…”
หลี่ซานพยักหน้าอย่างเข้าใจ “พวกเราให้เด็กๆ มาเรียนที่สำนักศึกษาของจางซิ่วไฉก็นับว่าถูกต้องแล้ว”
ผ่านไปครู่หนึ่ง การสอบเข้าสำนักศึกษาก็เสร็จสิ้น จางซิ่วไฉค่อนข้างพึงพอใจกับเด็กๆ ทั้งสี่ อีกไม่นานก็จะปลายเดือนแปดแล้ว สอนไปอีกสามเดือนก็จะถึงเดือนสิบสอง ซึ่งเป็่หยุดเรียน เขาจึงรับเงินค่าเรียนจากคนบ้านหลี่มาสองร้อยแปดสิบทองแดงและค่าหนังสืออีกสามตำลึง
หลี่ซานนำเงินติดตัวมาด้วยจึงจ่ายเดี๋ยวนั้นเลย จากนั้นจึงมอบของขวัญให้อีกฝ่ายหนึ่งด้วย
จางซิ่วไฉเห็นแป้งย่างใส่ไข่ก็หยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกินต่อหน้าทุกคน “บ้านเ้าไม่ขายแป้งย่างใส่ไข่มานานแล้ว ข้าอยากกินมาตลอด”
หลี่ฝูคังกล่าวขึ้นอย่างใจกล้าว่า “ท่านอาจารย์ขอรับ ก่อนหน้านี้พวกเราขายแป้งย่าง แต่ไม่เคยเห็นท่านมาซื้อเลย”
“คนที่ไปซื้อคือบ่าวบ้านข้า” เมื่อจางซิ่วไฉกินแป้งย่างเข้าไปก็มีสีหน้าพึงพอใจ เมื่อทราบว่าในไหที่นำมาด้วยยังมีผักดองแปลกใหม่รสอร่อยอีกก็หรี่ตามองอย่างยินดี กล่าวกับเด็กๆ บ้านหลี่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ในเมื่อวันนี้พวกเ้ามาแล้วก็อยู่เรียนหนังสือก่อนเถิด ตอนกลางวันเลิกเรียนแล้วค่อยกลับบ้าน”
สี่พี่น้องทั้งตื่นเต้นและยินดี เดินตามหลังจางซิ่วไฉเข้าไปยังโถงศึกษาที่มีเสียงท่องตำราดังขึ้นเมื่อครู่นี้
โถงศึกษาแบ่งออกเป็สี่ระดับ ตามระดับความรู้ของนักเรียน
ระดับแรกคือ ห้องเรียนระดับล่างสุด มีเด็กแปดคน อายุั้แ่หกขวบถึงเก้าขวบ เรียนเกี่ยวกับตัวอักษร
ห้องเรียนระดับสอง มีเด็กทั้งหมดเจ็ดคน อายุระหว่างแปดถึงสิบสองปี เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะอ่านออกเสียงกันไป
ห้องเรียนระดับสาม มีเด็กทั้งหมดห้าคน อายุระหว่างเก้าถึงสิบสี่ปี หวังจื้อเกาที่สวมใส่เสื้อผ้าชุดสีเทาดำก็เรียนอยู่ในชั้นเรียนนี้ด้วย ตอนนี้เขากำลังเพ่งสมาธิอ่านหนังสือ จึงไม่รู้เลยว่ามีคนเดินผ่านหน้าต่างไปแล้ว
ห้องเรียนระดับสี่คือ ระดับสูงที่สุด มีนักเรียนเพียงสองคน คนหนึ่งอายุสิบห้าปี อีกคนอายุยี่สิบกว่าปี
จางซิ่วไฉพาหลี่เจี้ยนอันและน้องๆ ไปเรียนที่ห้องเรียนระดับสอง
สำนักศึกษาจ้างภารโรงและคนทำอาหารด้วย เมื่อเห็นว่าไม่ทันไรก็มีนักศึกษามาพร้อมกันถึงสี่คน ก็รู้สึกดีใจแทนจางซิ่วไฉ รีบย้ายโต๊ะเก้าอี้เข้ามาให้พวกเด็กๆ นั่ง
จางซิ่วไฉนำอุปกรณ์การเขียน สมุด และแบบคัดอักษร มามอบให้ลูกศิษย์ทั้งสี่ด้วยตนเอง
โต๊ะเก้าอี้เป็ของเก่า แต่อุปกรณ์ที่ใช้ศึกษาเล่าเรียนเป็ของใหม่ทั้งยังไม่ต้องไปเริ่มเรียนในชั้นเรียนระดับล่างสุด แต่ะโข้ามมาเรียนชั้นเรียนระดับสองเลย นี่ทำให้หลี่เจี้ยนอันและน้องๆ รู้สึกยินดียิ่งนัก
หลี่ซานก็เหมือนกับผู้ปกครองหลายคน ทั้งๆ ที่ทราบว่า เด็กๆ เรียนอยู่ในสำนักศึกษา ย่อมไม่มีภัยอันตรายใดๆ แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่วางใจ อยากกำชับอะไรพวกเขาเล็กน้อย สุดท้ายจึงถูกหวังไห่ชวนให้กลับไป
หวังไห่ต้องไปดูคนในตระกูลก่อเตียงเตาที่บ้านหลังหนึ่งในตำบลจึงไม่ได้กลับหมู่บ้านไปพร้อมกับหลี่ซาน
ตอนมาหลี่ซานนั่งเกวียนลามา ระหว่างทางมีหลี่เจี้ยนอันคอยช่วยสอนบังคับเกวียน ตอนกลับเขาจึงบังคับเกวียนด้วยตนเองไปอย่างช้าๆ แต่ก็รู้สึกสนุกดี ระหว่างทางยังรับคนมาด้วยอีกสามคน ได้เงินมาสามทองแดง เขาแอบคิดในใจว่า การหาเงินง่ายเช่นนี้เชียวหรือ
เมื่อเข้าสู่หมู่บ้าน ชาวบ้านที่เห็นหลี่ซานก็พากันเข้ามาทักทายโดยเฉพาะคนตระกูลหวัง ถึงกับมีหญิงสูงวัยสองคนเห็นเขาเป็เหมือนคนในครอบครัว เข้ามาชวนไปดื่มน้ำหวานในบ้านด้วยท่าทางเป็มิตร
ลูกชายของสตรีทั้งสองคือ คนตระกูลหวังที่ไปสร้างเตียงเตา เมื่อวานได้ส่วนแบ่งมาคนละหกร้อยกว่าทองแดง ย่อมรู้สึกดีกับครอบครัวหลี่เป็ธรรมดา
ขณะที่หลี่ซานใกล้จะถึงบ้านแล้ว ก็พบว่ามีสตรีสองนางแบกสัมภาระขนาดใหญ่เดินออกมาจากห้องโถงของบ้านตน แต่ละคนใบหน้าเปื้อนยิ้ม ในใจจึงรู้สึกฉงนนัก กระทั่งจอดเกวียนลง
“น้องจ้าว สามีเ้ากลับมาแล้ว”
“อาหลี่วางใจเถิด งานปักที่น้องจ้าววานพวกข้า ข้าจะต้องทำให้ดีแน่นอน”
สตรีทั้งสองก็คือ สะใภ้ของคนในตระกูลหวัง สัมภาระที่แบกอยู่บนหลังคือ ของจำพวกผ้าฝ้าย ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง เมื่อทักทายหลี่ซานแล้วก็กลับบ้านของตนไป
ในห้องโถงมีเสียงของจ้าวซื่อ เฟิงซื่อ และหม่าซื่อ ดังแว่วออกมา โดยเฉพาะเสียงหัวเราะของหม่าซื่อที่ดังที่สุด แทบจะทำให้หลังคาบ้านะเืเลยทีเดียว
หลี่หรูอี้เดินออกมาต้อนรับ เมื่อไม่เห็นพี่ชายทั้งสี่คนจึงถามไปว่า “ท่านพ่อ พี่ชายข้าเล่า?”
หลี่ซานเล่าให้ฟังอย่างรวบรัด จากนั้นจึงกระซิบเบาๆ ว่า “เหตุใดในบ้านจึงมีผู้คนมากเช่นนี้?”
จ้าวซื่อยืนแบกท้องที่ใหญ่โตจนน่าใอยู่บริเวณหน้าประตูห้องโถง กล่าวเสียงกังวานว่า “พี่ซาน ท่านไม่ต้องถามนางหรอก เื่นี้ข้าเป็คนจัดการเอง ข้าเชิญพี่เฟิงกับพี่หม่ามาช่วยทำผ้าห่มและเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาว”
ที่แท้หลี่หรูอี้ก็ฉวยโอกาสตอนที่หลี่ซานไม่อยู่บ้าน บอกให้จ้าวซื่อหาคนมาทำผ้าห่มและเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวั้แ่เช้าตรู่แล้ว
ปัจจัยสี่ ได้แก่ เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และการเดินทาง จะเห็นว่าเสื้อผ้าถูกจัดอยู่ในอันดับแรกสุด อีกหนึ่งเดือนอากาศจะเริ่มเย็นลงแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นหากปล่อยให้คนในครอบครัวหนาวอาจจะไม่สบายได้
จ้าวซื่อย่อมฟังคำพูดของหลี่หรูอี้อยู่แล้ว นางใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็จัดการเสร็จเรียบร้อย
“พี่หลี่ บ้านท่านร่ำรวย ส่วนพวกเราก็มีงานทำ” แม้รูปโฉมของเฟิงซื่อจะดูไม่ค่อยงดงามนัก แต่เมื่อยิ้มออกมากลับให้ความรู้สึกจริงใจอย่างมาก
“ขอบคุณพี่หลี่มากเ้าค่ะ” หม่าซื่อขอบคุณจ้าวซื่อไปแล้ว คราวนี้จึงขอบคุณหลี่ซานอีกครั้ง
เงินที่ครอบครัวหลี่เสนอให้นับว่าสูงมาก ค่าทำรองเท้าหนึ่งคู่สามทองแดง เสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวหนึ่งตัวห้าทองแดง ผ้าห่มหนึ่งผืนแปดทองแดง
สตรีตระกูลหวังทั้งสองที่พบเมื่อครู่นี้ รับทำรองเท้าคนละคู่ เสื้อผ้าคนละสองชุด ผ้าห่มคนละสองผืน แต่ละคนได้เงินไปสามสิบทองแดง
งานก็ทำอยู่ที่บ้านอีกทั้งยังได้เงินมากเพียงนี้ จะไปหางานดีๆ เช่นนี้ได้จากที่ใดอีก
ไม่เพียงแต่สตรีสองนางนี้เท่านั้น กระทั่งเฟิงซื่อและหม่าซื่อก็ยังรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของตระกูลหลี่
หลี่ซานหัวเราะออกมา กล่าวทักทายคนทั้งสองเล็กน้อย แล้วจึงนำเกวียนไปเก็บที่ลานด้านหลัง เมื่อกลับมายังห้องโถงอีกครั้งเฟิงซื่อและหม่าซื่อก็นำผ้าฝ้ายกลับไปแล้ว
จ้าวซื่อถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ลูกๆ สี่คนของข้าเข้าเรียนที่สำนักศึกษากันหมดแล้วหรือ”
ในยามที่หลี่ซานกล่าวถึงเด็กชายทั้งสี่น้ำเสียงทั้งก้องกังวานและภาคภูมิใจ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มสว่างไสว “เข้าเรียนแล้ว จางซิ่วไฉเป็คนคุยง่าย ให้ลูกของพวกเราเรียนที่ห้องเรียนระดับสองได้เลย” จากนั้นจึงกระซิบเล่าเื่จางซิ่วไฉ นิ้วขาดให้ภรรยาฟัง
จ้าวซื่อดีใจยิ่งนัก “บรรพบุรุษอวยพรแล้ว บันดาลให้ลูกๆ ของพวกเราได้เข้าไปเรียนที่ห้องเรียนระดับสอง บันดาลให้ลูกๆ ได้คารวะอาจารย์ดีๆ”
หลี่ซานยิ้ม “บ้านเราต้องทำเสื้อผ้า ผ้าห่ม รองเท้า ทั้งหมดกี่ชุดหรือ”
จ้าวซื่อทราบดีว่า หลี่ซานจะต้องถามเช่นนี้ จึงบอกไปด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “หรูอี้ต้องมีชุดใหม่สามชุด รองเท้าสองคู่ ส่วนพวกเราแต่ละคนต้องมีชุดใหม่สองชุด รองเท้าสองคู่ ผ้าห่มคนละหนึ่งผืน นอกจากนี้ก็ต้องมีเสื้อผ้ากับผ้าอ้อมสำหรับลูกชายทั้งสองที่ใกล้จะเกิดของพวกเราด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลี่ซานก็รู้สึกราวกับมีเืไหลซิบๆ เมื่อวานเพื่อจะประหยัดเงิน เขาจึงพาหลี่สือเดินทางมาเจ็ดสิบลี้โดยไม่กล้าจ่ายเงินซื้อหมั่นโถวกินแม้แต่ทองแดงเดียว ดังนั้นจึงไม่เข้าใจการใช้จ่ายอย่างหรูหราของจ้าวซื่ออย่างสิ้นเชิง
หลี่หรูอี้เห็นหลี่ซานมีใบหน้าอึมครึมจึงรีบกล่าวว่า “ท่านพ่อ บ่ายวันนี้ข้าจะทำแป้งย่างให้ท่านนำไปขายที่ตลาดในตำบล พอขายหมดก็จะมีเงินกลับมาได้แล้วเ้าค่ะ”
ตอนแรกนางจะให้พี่ชายสองคนพาหลี่ซานไปทำความคุ้นเคยที่ตลาดเล็กสักรอบ คิดไม่ถึงว่าจางซิ่วไฉจะรั้งให้พวกพี่ชายอยู่เรียนที่สำนักศึกษาเลย จึงทำได้เพียงให้หลี่ซานไปขายของเพียงลำพัง
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้