ฝีเท้าสองคนนั้นว่องไวปราดเปรียว ทั้งยังใช้วิชาตัวเบาออกไปที่ศาลานอกเมืองแล้ว
มู่อวิ๋นจิ่นไล่ตามมาหยุดตรงต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกมาไม่ไกล หากไม่ได้การช่วยเหลือจากฉีฉี่ อาศัยเพียงแค่พลังของนางอาจไล่ตามชายสองคนนั้นไม่ทัน
มู่อวิ๋นจิ่นเปลี่ยนอิริยาบถนั่งสบาย ๆ อยู่บนกิ่งไม้ที่เขียวขจี ส่วนสายตาจับจ้องไปที่สองคนนั้นอย่างหัวไม่วางหางไม่เว้น
นางนึกในใจถึงเื่ที่ฉู่ลี่รับปากว่าจะไม่ไปข้างนอก นั่นหมายความว่าแผนการของชายสองคนนั้นย่อมไม่มีทางสำเร็จได้
เพียงแต่สิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่นยังคงกระหายใคร่รู้คือหนอนบ่อนไส้ข้างกายฉู่ลี่เป็ใครกันแน่
แต่ต่อให้หนอนบ่อนไส้มาปรากฏตัวต่อหน้า นางคงจำไม่ได้ว่าใครเป็ใคร
เนื่องจากฉู่ลี่ไม่ได้บอกให้นางรับรู้เื่ของเขามากนัก แม้แต่สิ่งของที่เขาตามหา นางยังมิทราบว่าเป็ของสิ่งใด
เวลาล่วงเลยไปไม่นานนัก ศาลาเบื้องหน้ามีคนปรากฏตัวขึ้นอีกเจ็ดแปดคน ที่ดูแล้วสนิทสนมคุ้นเคยกับสองคนนั้น
เจ็ดแปดคนนั้นกระซิบกระซาบกันว่าฉู่ลี่ยังไม่มาปรากฏตัว
พวกเขาจึงล้อมวงปรึกษากันครู่หนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จนสุดท้ายผู้ที่คาดว่าเป็หัวหน้าก็ตัดสินใจขึ้น “ด้วยเหตุการณ์เกิดขึ้น จึงมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นพวกเราสลายตัวกันก่อน”
สิ้นเสียง เหล่าคนพวกนั้นต่างพากันแยกย้ายกันกลับไป ทว่าจู่ ๆ กลับมีลมลูกใหญ่พัดโหมขึ้น ตามมาด้วยลูกธนูขาวที่พุ่งเข้าไปในศาลา คนในนั้นที่ไม่ทันได้ตั้งตัวกลับถูกธนูพุ่งปักเข้าจนล้มพับสิ้นลมในทันที
มู่อวิ๋นจิ่นมองดูด้วยความใ หันมองรอบข้างเห็นเป็ติงเสี่ยนที่พาองครักษ์ชุดม่วงเดินออกมาจากที่ซ่อนตัว
ติงเสี่ยนเดินเข้าไปในศาลา คลำตัวของคนที่ตายจนพบกับจดหมายลับฉบับหนึ่งที่ร่างของผู้เป็หัวหน้า
พอค้นเจอจดหมายลับ ติงเสี่ยนได้นำองครักษ์ลับชุดม่วงกลับในทันที
หลังจากติงเซี่ยนกลับไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นที่แอบซุ่มอยู่บนกิ่งไม้กลับหัวเราะเยาะตนเอง พลางส่ายหน้าไปมา “เหอะ ข้านี่ช่างคิดเข้าข้างตัวเองจริงเชียว ฉู่ลี่คิดแผนรับมือไว้แล้ว ความเป็ห่วงเป็ใยของข้าช่างเปล่าประโยชน์เหลือเกิน”
…
ระหว่างที่เดินกลับอยู่นั้น มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกหงุดหงิดระคนความขัดเคืองไปตลอดเส้นทาง
ขณะที่เดินผ่านร้านขนมเปี๊ยะปิ้ง มู่อวิ๋นจิ่นควักเงินซื้อมาสองชิ้น ทานไปเดินไปโดยไม่คิดจะกลับไปที่เรือน
พอคิดว่าตัวเองเป็เหมือนคนโง่ก็พลอยต่อว่าตัวเองไม่หยุดที่ชอบคิดเผื่อคนอื่นโดยที่เขาไม่้า
มู่อวิ๋นจิ่นคิดไปก็กัดขนมเปี๊ยะปิ้งอย่างแรงคลายความขัดเคือง จู่ ๆ กลับมีชายในชุดม่วงเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของนาง
มู่อวิ๋นจิ่นเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนเอ่ยปากว่า “องค์ชายหกออกมาทำอะไรที่นี่?”
ฉู่ลี่เหล่ตามองกลับด้วยสายตาแน่นิ่ง “ผู้ทำนายโชคชะตาบอกว่าเ้าหน้าตาหมองคล้ำ กำลังจะมีเคราะห์มิใช่หรือ?”
“แล้วยังไงเล่า จะมีเคราะห์ จะโชคร้ายก็เป็เื่ของข้า” มู่อวิ๋นจิ่นถลึงตาจ้องฉู่ลี่ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญใจแล้วเดินนำเขาไป
ฉู่ลี่จ้องมู่อวิ๋นจิ่นด้วยไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ทว่าทำได้เพียงเดินตามหลังนางไป
ติงเสี่ยนเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าได้แต่ภาวนาว่าอย่าเกิดเื่ใหญ่โตขึ้นเลย
ตลอดเส้นทางเดินกลับ มู่อวิ๋นจิ่นสนใจเพียงตัวนางเองเท่านั้น โดยละเลยที่จะต่อว่าหรือด่าทอฉู่ลี่
“พระชายายังโกรธอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” ติงเสี่ยนถามเพื่อทำลายบรรยากาศที่กดดัน
แต่ว่ามู่อวิ๋นจิ่นกลับมิได้สนใจในสิ่งที่ติงเสี่ยนเอ่ยถามแม้แต่น้อย
ติงเสี่ยนยกมือขึ้นลูบหัว พลางหัวเราะแก้เขิน “เอาอย่างนี้แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายจัดการธุระเรียบร้อยแล้ว พวกเราสามารถเดินทางกลับจวนที่เมืองหลวงได้แล้ว พระชายามีสิ่งใดที่อยากซื้อหรือไม่ จะได้ถือโอกาสแวะซื้อระหว่างทางกลับก่อนตะวันตกดินพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินว่าต้องเดินทางกลัวจวน มู่อวิ๋นจิ่นกลับชะงักแน่นิ่ง ก่อนหันกลับไปมองติงเสี่ยนและฉู่ลี่ “องค์ชายจัดการธุระเสร็จหมดแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่” ฉู่ลี่พยักหน้า
“อย่างนั้นก็ดี ในที่สุดจะได้กลับจวนเสียที กลับตอนนี้เลย” มู่อวิ๋นจิ่นแสยะยิ้มก่อนสะบัดหน้าเดินกลับไปที่พัก
…
ในระหว่างที่นั่งรถม้ากลับ
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งอยู่ฝั่งที่ติดหน้าต่าง นางเปิดม่านแล้วเอาแต่มองออกไปข้างนอก
ฉู่ลี่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นมีท่าทางผิดปกติ ทว่ากลับหัวเราะเสียงเบาโดยที่ไม่ได้เอ่ยคำใด
รถม้าเดินทางโดยใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม จนกลับมาถึงจวนองค์ชายหกในเมือง
ทันทีที่รถม้าหยุดลง มู่อวิ๋นจิ่นรีบะโลงจากรถม้าพุ่งตัวเข้าไปในจวน โดยไม่สนใจฉู่ลี่ที่อยู่ด้านหลัง
ฉู่ลี่กรอกสายตาไปมา “เ้าไปกำชับให้แม่นมเสิ่นปลอบนาง”
ติงเสี่ยนชะงักไปชั่วครู่ ใจอยากบอกให้องค์ชายไปปลอบด้วยตัวเอง แต่กลับไม่รู้จะบอกอย่างไรดี
มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปหลังจวน เห็นแม่นมเสิ่นนั่งเย็บปักถักร้อย โดยมีจื่อเซียงนั่งเรียนอยู่ด้านข้าง
“จื่อเซียง” มู่อวิ๋นจิ่นะโเรียก
พอจื่อเซียงได้ยินเสียงเรียกของมู่อวิ๋นจิ่นก็รีบหันขวับไปมองทันที
ก่อนแม่นมเสิ่นจะพูดขึ้นว่า “โอ้โห ข้างกายของพระชายามีแต่องครักษ์ คงไม่ดีเท่ามีบ่าวคอยรับใช้อยู่ด้านข้าง”
“ใช่แล้ว บ่าวไม่เคยเห็นคุณหนูอยู่ในสภาพนี้ ผมเผ้าไม่เรียบร้อย อาภรณ์ไม่เรียบกริบ ทว่าคุณหนูของพวกบ่าวแต่งตัวอย่างไรก็ดูดีเสมอเ้าค่ะ” จื่อเซี่ยงยิ้มจาง ๆ
เมื่อเห็นแม่นมเสิ่นกับจื่อเซียง จิตใจของมู่อวิ๋นจิ่นจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย “ข้าคิดถึงพวกเ้าเหลือเกิน…”
“พระชายา ประเดี๋ยวใครมาเห็นสภาพของท่านเช่นนี้คงหัวเราะเอานะเ้าคะ” แม่นมเสิ่นช่วยปัดอาภรณ์ที่เลอะสกปรก
ระหว่างที่นายบ่าวกำลังพร่ำคิดถึงกันอยู่ ฉู่ลี่และติงเสี่ยนก็เดินตามหลังเข้ามา
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเห็นฉู่ลี่กับติงเสี่ยนเดินเข้ามา นางก็สะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปที่เรือนลี่เฉวียน
ฉู่ลี่ได้แต่ส่ายหน้าให้กับการกระทำของนาง
“หือ น่าแปลกจริงเชียว เมื่อครู่พระชายายังคุยกับบ่าวอย่างสนุกสนาน พอพวกท่านเข้ามาพระชายาก็วิ่งไปเลย หรือว่าติงเสี่ยนทำให้พระชายาโกรธ?” แม่นมเสิ่นที่มองไปยังติงเสี่ยนเอ่ยขึ้น
ติงเสี่ยนรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าเลย ๆ กระผมมิกล้าทำให้พระชายาโกรธเคือง”
“นั่นก็ถูก…” แม่นมเสิ่นเหลือบมองไปที่ฉู่ลี่ แต่มิกล้าจ้องหน้าด้วยฐานะองค์ชายสูงส่งกว่า ทำได้แค่เอ่ยขึ้นมาว่า “สตรีก็เช่นนี้แหละเพคะ อารมณ์แปรเปลี่ยนดั่งสายลม แค่เอาใจหน่อยก็หายแล้ว”
เอาใจ?
ฉู่ลี่ขมวดคิ้วสีหน้าแน่นิ่ง คนอย่างฉู่ลี่เคยไปเอาใจสตรีั้แ่เมื่อไหร่กัน
แม่นมเสิ่นเห็นว่าฉู่ลี่ยังไม่เข้าใจสิ่งที่นาง้าสื่อ จึงทำได้เพียงรอดูละครฉากสนุกเท่านั้น
…
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นเดินกลับเข้าเรือน ก็ได้สั่งให้จื่อเซียงเตรียมน้ำร้อนให้นางอาบ
มู่อวิ๋นจิ่นลงไปแช่น้ำร้อน บีบนวดคอไปมา ส่วนจื่อเซียงที่กำลังโยนกลีบดอกไม้เข้าไปในอ่าง พูดขึ้นพลางยิ้มออกมาว่า “บ่าวนึกว่าคุณหนูจะไปครึ่งเดือน ที่แท้ไปเพียงสามวันก็กลับมาแล้วนะเ้าคะ”
“ทำไมหรือ เ้าไม่อยากให้กลับมาอย่างนั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมุมปาก
จื่อเซียงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “มิได้เ้าค่ะ บ่าวติดตามรับใช้คุณหนูั้แ่เล็กแต่น้อย นี่เป็ครั้งแรกที่คุณหนูไปข้างนอกโดยไม่พาบ่าวไปด้วย จึงเป็ห่วงเ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นมู่อวิ๋นจิ่นค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก “เดิมทีข้าคิดว่าออกไปกับฉู่ลี่จะมีเื่สนุก แต่สุดท้ายกลับน่าเบื่อสิ้นดี”
ยิ่งนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นในเมืองธารรัตติกร มู่อวิ๋นจิ่นก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์
“โชคยังดีที่ไปเพียงแค่สามวัน ในเมื่อคุณหนูกลับมาแล้วก็พักผ่อนให้เพียงพอเถอะเ้าค่ะ บ่าวได้นำเครื่องหอมวางไว้ในห้องนอนช่วยเื่การหลับเ้าค่ะ ”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า “เ้านี่ช่างละเอียดรอบคอบ ในกระเป๋าของข้ามีเครื่องประดับกับแป้งผลัดหน้าที่ซื้อในเมืองธารรัตติกร เ้าเลือกเอาที่ชอบไปแล้วกัน”
“ขอบพระคุณคุณหนูเ้าค่ะ” จื่อเซียงเดินออกไปด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความดีอกดีใจ
มู่อวิ๋นจิ่นที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว สวมอาภรณ์นอนเล่นอยู่บนเตียงอันอ่อนนุ่ม เมื่อได้กลิ่นจากเครื่องหอมที่จื่อเซียงนำมาวางไว้ลอยโชยมา ทำให้นางรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนขึ้น
…
มู่อวิ๋นจิ่นหลับลึกจนเช้าของวัน
“จื่อเซียง” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยเรียกหลังจากหลับอย่างเต็มอิ่ม
จื่อเซียงรีบเปิดประตูเดินเข้ามา “คุณหนูตื่นได้เวลาพอดี เมื่อครู่มีคนมารายงานว่าฉินไท่เฟย เชิญคุณหนูกับองค์ชายหกไปทานอาหารกลางวันด้วยกันเ้าค่ะ หากวันนี้คุณหนูไม่มีธุระอื่น รอให้ทานอาหารเช้าเรียบร้อย ก็สามารถเข้าวังไปพบฉินไท่เฟยก่อนได้เ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นเดินลงจากเตียงไปนั่งเก้าอี้ เพื่อให้จื่อเซียงเกล้าผมผลัดแป้งให้
ไม่นานนัก จื่อเซียงได้เกล้าผมพร้อมกับเลือกปิ่นที่ฉินไท่เฟยประทานให้เสียบเข้าไปในมวยผม พลางเอ่ยปากว่าฉินไท่เฟยต้องดีใจอย่างแน่นอน
มู่อวิ๋นจิ่นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เดี๋ยวนี้เ้าโตขึ้นแล้ว ความคิดความอ่านก็โตขึ้น”
“ตอนนี้คุณหนูแต่งเข้าจวนองค์ชายหก บ่าวเป็คนติดตามมาที่นี่เพียงคนเดียว ฉะนั้นทุกคำพูดทุกการกระทำย่อมแสดงถึงหน้าตาของคุณหนู บ่าวกลัวทำอะไรผิดพลาดและส่งผลให้คุณหนูขายหน้าเ้าค่ะ” จื่อเซียงอธิบาย
“เ้าทำได้ดีมากแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นหันไปยิ้มให้
จื่อเซียงดีใจที่ได้ยินคุณหนูชื่นชม
จากนั้นนายบ่าวก็พากันเดินมาที่ห้องโถง ก่อนได้ยินแม่นมเสิ่นกำชับบ่าวรับใช้ให้ทำความสะอาด
“องค์ชายเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าาั้แ่เช้าตรู่ พระชายาจะรับอาหารเช้าหรือไม่เ้าคะ?”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าก่อนเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ ตักโจ๊กถั่วแดงเข้าปาก จากนั้นถามอย่างสงสัยขึ้นมาว่า “ขนมเปี๊ยะปิ้งมาได้อย่างไร?”
มู่อวิ๋นจิ่นมองดูพบว่าเหมือนกับขนมเปี๊ยะปิ้งที่เมืองธารรัตติกรจึงได้ถามขึ้น
“ขนมเปี๊ยะปิ้งนี้ องค์ชายได้สั่งให้แม่ครัวทำไว้ก่อนเข้าวัง โดยบอกว่าพระชายาชอบทานเ้าค่ะ” แม่นมเสิ่นพลางอมยิ้ม
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินแม่นมเสิ่นเล่าเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจขึ้นมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้