กองกำลังทั้งสองร้อยคนนิ่งเงียบมองดูเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนได้ยินคำพูดแปลกประหลาดที่เขาพูดออกมาต่างรู้สึกงุนงง พวกเขาต่างเป็นักรบผู้ไม่กลัวตายที่ตระกูลเย่ฝึกฝนขึ้นมาอย่างลับๆ กองกำลังเทพแห่งความตาย พวกเขาเป็เด็กกำพร้าเช่นเดียวกันกับพวกเย่สือซานที่ถูกตระกูลเย่เก็บมาเลี้ยงและฝึกฝน เพียงแต่พร์ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากลัวอย่างพวกเย่สือซาน ดังนั้นจึงถูกจัดให้กลายเป็กลุ่มกองกำลังเล็กๆ จำนวนสองร้อยคน
หลังจากที่ถูกเก็บเข้ามาเลี้ยงล้วนรู้สึกเป็หนี้บุญคุณตระกูลเย่ สิบปีต่อจากนั้นพวกเขาถูกอบรมสั่งสอน ฝึกฝนฝีมือ ดังนั้นในใจพวกเขาจึงถือว่าคำสั่งของตระกูลเย่คืออาญาสิทธิ์สูงสุดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคารพ และก่อนที่จะมาที่นี่หัวหน้าครูฝึกเย่ชิงหนิวพูดออกมาเองกับปากว่าต่อไปเย่ชิงหานคือเ้านายของพวกเขาในอนาคต คือคนที่พวกเขาต้องปกป้องด้วยชีวิต เย่ชิงหานสั่งให้ไปตายพวกเขาก็ต้องไปตาย
ดังนั้นพวกเขาต่างพากันงุนงงว่า ทำไมคำสั่งแรกของเ้านายคนใหม่ห้ามมิให้พวกเขาคุกเข่าโดยเด็ดขาด? ไม่จำเป็ต้องเคารพเ้านายอย่างนั้นหรือ? ถ้าหาก้าความเคารพก็ต้องคุกเข่ามิใช่หรือ? แต่เมื่อพวกเขาส่งสายตาที่งุนงงสงสัยมองไปทางหัวหน้าหน่วยเย่สือซาน พวกเขาเห็นความเ็าในสายตาของเย่สือซานจึงเริ่มเข้าใจบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ในทันที จากนั้นจึงรีบลุกขึ้นแล้วพูดออกมาอย่างเคารพและระมัดระวัง “ขอรับนายน้อย!”
สายตาที่เ็าของเย่สือซานทำให้พวกเขานึกถึงเื่ๆ หนึ่งขึ้นมาได้ หัวหน้าครูฝึกเคยพูดว่า ไม่ว่าคำสั่งของเ้านายจะไร้สาระเพียงใด น่าหัวเราะเพียงใด แต่คำสั่งก็คือคำสั่งจำเป็จะต้องปฏิบัติตาม แต่เมื่อสักครู่พวกเขากลับเกิดความลังเลสงสัยขึ้น ดังนั้นสายตาของผู้ที่เป็หัวหน้าหน่วยอย่างเย่สือซานจึงเต็มไปด้วยความเ็า
“เอาละ ไม่มีอะไรแล้ว พวกเ้าจัดการธุระของพวกเ้าไป ที่กินก็กินต่อ ที่ดื่มก็ดื่มต่อ ที่คุยโม้ก็คุยโม้กันต่อ คิดว่าข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน!” ััได้ถึงบรรยากาศที่เริ่มจะเคร่งเครียดขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาเหตุมาจากตนเองที่ทำให้เป็เช่นนี้ เย่ชิงหานรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา จากนั้นทำท่าทางโบกมือไปมาแล้วจึงนั่งลงข้างกองไฟ
รับเอาขากระต่ายย่างที่กำลังเหลืองสุกน่าทานจากเย่สือซานที่ส่งมาให้ เย่ชิงหานกวักมือเรียกเย่สือซานกับเย่สือชีทั้งสองให้นั่ง ทั้งสองลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะนั่งลงไป
“ข้ารู้สึกว่าพวกเขาเคารพข้ามาก หรือควรจะพูดว่าหวาดกลัวข้าดี” เย่ชิงหานพยักหน้าพอใจในรสชาติของเนื้อย่างพลางหันหน้าไปทางเย่สือซานพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
“เพราะว่าพวกเขาเป็กองกำลังเทพแห่งความตาย หัวหน้าครูฝึก...เอ่อ ซึ่งก็คือผู้าุโเย่ชิงหนิวมอบกองกำลังขนาดเล็กหน่วยนี้ให้ท่าน ก็คือทั้งสองร้อยคนนี้ ชีวิตของพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็ของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่งานประลองาระหว่างเขตปกครองของผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิจะจบลง ชีวิตของพวกข้าทั้งสองก็ล้วนเป็ของท่าน ท่านสั่งให้พวกข้าไปตายพวกข้าก็ไม่กล้าพูดอะไร แล้วอย่างนี้ท่านจะไม่ให้พวกเขาเคารพท่านได้อย่างไร? ไม่กลัวท่านได้อย่างไร?” เย่สือซานยังไม่ทันที่จะตอบ เย่สือชีรีบชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อนเหมือนกับว่าคำถามที่เย่ชิงหานถามทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย
เดิมทีพวกเขาคิดว่าเย่ชิงหานเป็นายน้อยคนหนึ่งที่ตระกูลให้ความสำคัญ ดังนั้นจึงส่งพวกเขาสองร้อยกว่าคนติดตามมาเพื่ออารักขาตลอดการฝึกฝนหาประสบการณ์ และคิดว่าก่อนที่จะออกเดินทางตระกูลน่าจะแจ้งการมีอยู่และบทบาทของพวกเขาต่อเย่ชิงหานแล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถามขึ้นเช่นนี้ เย่สือชีจึงเข้าใจผิดไปโดยปริยายว่าเย่ชิงหานกำลังแสดงอำนาจของนายน้อยอยู่ รู้ทั้งรู้แต่ยังแกล้งถาม ดังนั้นคำที่เย่สือชีตอบออกมาจึงเต็มไปด้วยน้ำเสียงที่เย้ยเยาะถากถาง
“อ้อ? มีเื่เช่นนี้ด้วยรึ?” เย่ชิงหานคิ้วขมวดขึ้นในทันที ใบหน้าแสดงออกให้เห็นถึงความตื่นตระหนกภายในใจ คนพวกนี้แต่ก่อนตนเองไม่เคยพบเจอมาก่อน เขาแค่พูดกับเย่เทียนหลงว่าคนของฝั่งครอบครัวลูกคนโตเขาไม่้าแม้แต่คนเดียว...แต่กลายเป็ว่าเย่เทียนหลงส่งหน่วยเทพแห่งความตายที่เป็กองกำลังลับของตระกูลมอบให้ตนเอง และยังมีเย่สือซานกับเย่สือชีอีก ทั้งหมดล้วนอายุไม่เกินสามสิบปีแต่กลับมีพลังฝีมือบรรลุถึงระดับขั้นที่สองและขั้นที่สามของขอบเขตจ้าวนักรบ พลังฝีมือระดับนี้ส่งไปเป็จ้าวเมืองเมืองหนึ่งได้อย่างสบาย เห็นได้ชัดว่าเป็ขุมกำลังลับระดับยอดฝีมือที่ทางตระกูลให้ความสำคัญในการบ่มเพาะ แต่ตอนนี้กลับส่งมาเป็ผู้คอยคุ้มกันให้กับตนเอง?
“เอ่อ...นายน้อยหานไม่รู้เกี่ยวกับกองกำลังเทพแห่งความตายจริงๆ หรือ? เมื่อก่อนก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกข้าเลยอย่างนั้นหรือ?” เย่สือซานเห็นสีหน้าของเย่ชิงหานไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำขึ้นมา จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เหอะๆ ตัวข้าเมื่อก่อน นายน้อยคนไหนของตระกูลก็สามารถฉี่รดบนหัวของข้าได้ ตำแหน่งฐานะภายในตระกูลคิดว่าสองร้อยคนที่อยู่ที่นี่ยังสูงกว่าข้าด้วยซ้ำ! แล้วเ้าคิดว่าตระกูลจะให้ข้ารู้ถึงการมีอยู่ของพวกเ้าได้อย่างไร?” เย่ชิงหานพูดออกมาอย่างสมเพชตนเอง นึกถึงชีวิตที่ผ่านมาใบหน้ายิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“เอ่อ...สือชีกับข้าล้วนไม่ทราบ ต้องขออภัยด้วยที่เข้าใจนายน้อยหานผิดไป” เย่สือซานกับเย่สือชีมองตากันอย่างรวดเร็ว มองเห็นแววของความประหลาดใจและความรู้สึกผิดที่ปรากฏออกมาในดวงตาของอีกฝ่าย เป็พวกเขาที่เข้าใจผิดไปเอง
ดูท่านายน้อยคนนี้เมื่อก่อนมีชีวิตอยู่ในตระกูลคงไม่สวยหรูเท่าไร และอาจเป็ได้ว่าไม่นานที่ผ่านมานี้คงได้ประสบพบพานกับปาฏิหาริย์อะไรสักอย่างถึงได้ถูกตระกูลให้ความสำคัญขึ้น นึกถึงเมื่อสักครู่บนรถม้าพลังฝีมือของเย่ชิงหานเลื่อนขึ้นอีกเป็ระดับขั้นที่สามขอบเขตยอดยุทธ์ ทั้งสองรู้สึกว่าอาจจะเป็เช่นนั้นก็เป็ได้
มองเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขมขื่นของเด็กหนุ่ม เย่สือซานกับเย่สือชีค่อยๆ เริ่มรู้สึกมีความใกล้ชิดกับนายน้อยคนนี้ขึ้นมาบ้าง เด็กหนุ่มคนนี้เป็คนจำพวกเดียวกับพวกเขาที่อาศัยความมุมานะพยายามของตนเองถึงได้รับความสำคัญจากตระกูล ทำให้รู้สึกว่ามีจุดร่วมที่เหมือนกัน หวนนึกไปถึงเด็กหนุ่มที่รูปร่างซูบผอมที่ไม่ก้าวลงมาจากรถม้าเลยเป็เวลาเดือนกว่าๆ แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าเขาหยิ่งยโสแต่อย่างใด แต่เป็เพราะเขากำลังใช้เวลาในการฝึกฝนอย่างเพียรพยายามอยู่นั่นเอง ทั้งสองต่างรู้ตัวว่าตนเองได้เข้าใจเขาผิดไปโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกไม่พอใจที่มีอยู่แต่เดิมก็ค่อยๆ จางหายไป
เย่สือซานนิ่งเงียบไปชั่วครู่จากนั้นจึงเริ่มพูดอธิบายให้เย่ชิงหานฟัง “นายน้อยหาน ข้าจะแนะนำคร่าวๆ ให้ท่านเข้าใจก็แล้วกัน ทั้งสองร้อยคนรวมถึงพวกข้าล้วนเป็เด็กกำพร้าที่ตระกูลเก็บมาเลี้ยง ถูกตระกูลฝึกฝนอย่างเป็ความลับั้แ่เล็ก สถานการณ์ปกติพวกข้าจะอยู่เื้ั ไม่เคยที่จะเหมือนครั้งนี้ที่รวมตัวกันอย่างเปิดเผยเช่นนี้ พวกข้ามีทั้งหมดหนึ่งพันคน ที่ตายก็ตายไป ที่พิการก็พิการไป สุดท้ายเหลืออยู่แค่เจ็ดร้อยคน เนื่องด้วยงานประลองาระหว่างเขตปกครองของผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิในครั้งนี้ทางตระกูลส่งพวกเราออกมาทั้งหมดหกร้อยห้าคน ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะมีชีวิตเหลือรอดกลับไปกี่คน”
“ทำไมมีถึงหกร้อยกว่าคน? ไม่ใช่เพียงแค่สองร้อยคนรึ?” เย่ชิงหานยิ่งฟังยิ่งสงสัย เคี้ยวเนื้อกระต่ายไปถามไป
“อืม...นอกจากหน่วยเล็กๆ ของพวกเราแล้วยังมีอีกสองหน่วย คาดว่าทางตระกูลคงมีภารกิจลับอย่างอื่นอีก ไม่อย่างนั้นคงไม่เปิดเผยการมีอยู่ของพวกข้าออกมาทั้งหมดแน่” เย่สือซานตอบมาอย่างเรียบง่าย ตรงกลางระหว่างคิ้วปรากฏความงุนงงสงสัยและความห่วงกังวลขึ้น
“อืม...ดูท่าพวกตาแก่ยังมีหมากลับวางไว้อีกสองตัว ถือว่ามีน้ำใจที่จะทำจริง” แน่นอนว่าเย่ชิงหานรู้ว่ากองกำลังอีกสองหน่วยนั้นไปทำภารกิจอะไร ภายในใจรู้สึกละอายมองไปยังทั้งสองคนและสองร้อยคนที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “สำหรับผู้ที่เข้าร่วมงานประลองาระหว่างเขตปกครองของผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิในครั้งนี้ ข้าไม่สามารถรับรองได้ว่าทั้งสองร้อยคนนี้จะไม่มีใครตาย แต่ข้ารับปากพวกเ้าได้ว่า หากในสถานการณ์ที่ไม่จำเป็ต้องเสี่ยงชีวิต ข้าจะไม่ให้พวกเขาต้องออกไปตายโดยไม่จำเป็อย่างแน่นอน”
“ข้าขอขอบคุณนายน้อยหานแทนพวกเขาไว้ ณ ที่นี้ด้วย” เย่สือซานกับเย่สือชีได้ฟังคำพูดรับประกันที่ไม่นับเป็การรับประกัน ในที่สุดก็อารมณ์ดีขึ้นจึงลุกขึ้นพร้อมกันกล่าวขอบคุณออกมาจากใจจริง
ความจริงภายในใจของทั้งสองขุ่นเคืองมาโดยตลอด เนื่องจากว่าคำสั่งของตระกูลในครั้งนี้ดูโง่เขลาจนเกินไป และพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะคัดค้านอะไรได้ พวกเขาทั้งพันคนล้วนเป็เด็กกำพร้าใช้ชีวิตและฝึกฝนด้วยกันมาหลายปี มีสายใยความผูกพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ถ้าหากพวกเขาต้องมาตายไปเพียงเพราะอยากให้นายน้อยที่มีพลังฝีมือเพียงแค่ระดับขอบเขตยอดยุทธ์หาประสบการณ์ในการฝึกฝนละก็ก็ พวกเขาคงไม่พอใจ ไม่มีความสุข และเ็ปใจเป็อย่างมากอย่างแน่นอน
เย่ชิงหานพยักหน้าตอบรับ หลังจากกินขากระต่ายย่างน่องใหญ่หมด จากนั้นทำการเช็ดปาก ดื่มน้ำแล้วคล้ายกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันหน้าไปพูดเอ่ยถามขึ้น “พวกเราตอนนี้จะไปที่ไหน? ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด?”
“เมืองเซียวหุนแห่งตระกูลเยว่ ที่นั่นพวกเราจะไปรวมตัวกับอีกสี่ตระกูลใหญ่เพื่อเข้าร่วมงานประลองาระหว่างเขตปกครองของผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิในครั้งนี้ จากนั้นค่อยเดินทางร่วมกันไปยังเมืองัเพื่อเข้าสู่เกาะประลองาระหว่างเขตปกครอง ประมาณ...อีกครึ่งเดือนน่าจะถึง” เย่สือซานตอบอย่างนอบน้อมและระมัดระวัง ภายในใจกลับกลอกตาขาวมองบน จะเป็นายน้อยก็เป็ได้น่าชมเชยเกินไปแล้ว เดินทางมาร่วมเดือนกลับไม่รู้เลยว่าจะไปที่ไหน?
“อืม! ข้ากลับไปพักก่อนละ” เย่ชิงหานพยักหน้าแสดงความเข้าใจ จากนั้นเดินกลับเข้าไปยังภายในรถม้า ยังมีเวลาอีกครึ่งเดือนเขาตัดสินใจว่าจะใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกฝน จะพยายามสร้างตันเถียนให้สำเร็จให้จงได้เพื่อที่จะบรรลุถึงระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลังจากที่ตนเองบรรลุถึงระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์แล้ว และหลังจากรวมร่างกับสัตว์อสูรพลังฝีมือจะเพิ่มขึ้นถึงระดับขอบเขตนักรบได้หรือไม่ ถ้าหากเพิ่มขึ้นถึงระดับขอบเขตนักรบได้ละก็ งานประลองาระหว่างเขตปกครองในครั้งนี้สำหรับตนเองก็จะง่ายขึ้นอีกหน่อย