เวลาอาหารมื้อเย็น ทั้งครอบครัวนั่งล้อมรอบข้างโต๊ะอาหาร
ครอบครัวชาวไร่ชาวนาไม่มีความเคยชินอย่าง ‘เวลาทานข้าวไม่พูดคุย เวลานอนไม่พูดคุย’ แต่อย่างใด
แต่เดิมทีหูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อก็พูดน้อยอยู่แล้ว หลัวจิ่งถือเป็ผู้ที่มาพักอาศัยจึงเงียบสงบไม่พูดไม่จาตามสัญชาตญาณ ตัวเจินจูเองก็ไม่ใช่คนพูดมาก
โชคดีที่ในบ้านมีหูผิงอันที่คึกคักร่าเริงอยู่คนหนึ่ง
“ท่านพี่ ที่ลาดเอียงนี่ล้อมขึ้นมาแล้วก็สามารถปล่อยกระต่ายข้างในได้จริงหรือ? พวกมันจะวิ่งหนีหรือไม่? จะขุดรูหรือไม่?” เ้าหนู ‘จำไม’ เริ่มเข้าสู่รูปแบบร้อยคำถามแล้ว
“อืม… พวกมันจะวิ่งหนีได้ จะขุดรูหนีได้เช่นกัน ดังนั้นกำแพงรั้วต้องสร้างให้สูงหน่อย ฐานที่สร้างรั้วต้องขุดลงไปลึกเล็กน้อย” เจินจูยิ้มแล้วตอบกลับด้วยความอดทน
หูฉางกุ้ยฟังจบก็กลืนอาหารที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปากลงไป ซักถามขึ้น “เจินจู รั้วกำแพงนี่ต้องก่อสูงเท่าไร? ฐานที่สร้างต้องขุดลึกแค่ไหน? ตอนนี้อากาศยังนับได้ว่าดี รอให้ผ่านวันที่สิบห้าไปก็ขุดและสร้างฐานได้ก่อนแล้ว”
“อืม กำแพงรั้วนี่ไม่ใช่แค่ป้องกันกระต่ายวิ่งหนี ยังต้องป้องกันคนนอกปีนกำแพงเข้ามาด้วยนะเ้าคะ เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าต้องสร้างให้ไม่ต่ำกว่าความสูงของคน สร้างสูงกว่ากำแพงลานบ้านก็ได้ ส่วนฐานที่สร้างหรือ... ขุดหนึ่งเมตรน่าจะพอแล้วกระมัง ไม่เช่นนั้นเมตรครึ่งก็ได้ ท่านพ่อตอนพวกท่านไปจับกระต่าย เห็นหรือไม่ว่าปกติโพรงกระต่ายลึกแค่ไหนเ้าคะ?” เจินจูไม่แน่ใจนัก เมื่อก่อนเคยเห็นข่าวที่เกี่ยวกันนี้ แต่ไม่ได้จำละเอียดเพียงนั้น
“นี่… โพรงกระต่ายป่าบางตัวลึกมากจริงๆ” หูฉางกุ้ยก็ไม่ค่อยมั่นใจ
“เช่นนั้นก็ขุดลึกหน่อย อาจต้องเปลืองแรงมากขึ้น กระต่ายจะได้หนีไปไม่ได้” หลี่ซื่อคีบเนื้อพะโล้หนึ่งตะเกียบวางในถ้วยของเจินจู ถือโอกาสคีบเนื้อตะเกียบใหญ่ให้หลัวจิ่ง แล้วถึงทานของตนเองได้
หลัวจิ่งมองกองอาหารเนื้อพูนสูงครึ่งถ้วย ฉีกริมฝีปากยิ้มแล้วทานขึ้นอย่างเงียบๆ
“เช่นนั้นขุดเมตรครึ่งก็แล้วกันเ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นแล้วพอถึงเวลาพวกมันจะหนีได้” เจินจูมองอย่างขบขันพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“ใช่ๆ… ขุดลึกหน่อย ท่านพ่อ ถึงเวลาข้าจะไปกับท่านด้วยขอรับ” ผิงอันที่เคี้ยวอาหารอยู่ะโขึ้น
“ในปากเ้ามีข้าวอยู่อย่าพูด” เจินจูใช้ตะเกียบเคาะหลังมือของเขาเล็กน้อย
“โอ้… ข้าทราบแล้ว” ผิงอันเคี้ยวอาหารอย่างเชื่อฟังขึ้นทันที
“ท่านพ่อ ที่ลาดเอียงนั่นของเราค่อนข้างกว้าง ท่านขุดคนเดียวไม่ได้หรอกเ้าค่ะ พวกเราหาคนมาขุดสักสองสามคนเถิด คงเสียเงินไม่เท่าไรกระมัง” แม้ตอนนี้อากาศจะดีขึ้นบ้างแล้วแต่ชั้นดินของที่ลาดเอียงยังเย็นและแข็งอยู่มาก
“ไม่ๆ ไม่ต้องหาคน พ่อทำให้เสร็จได้” หูฉางกุ้ยโบกไม้โบกมือทันที งานเล็กนี้จะใช้จ่ายไปหาคนมาทำได้อย่างไร “ยิ่งไปกว่านั้น ลุงเ้าก็ช่วยเหลือได้”
ความเคยชินกับการผ่านคืนวันอันยากจนและมัธยัสถ์ แม้ปัจจุบันเงินไม่ขาดเหลือแล้ว แต่ในใจของหูฉางกุ้ยยังคงยึดการประหยัดไว้ หากอะไรประหยัดได้หน่อยก็จะประหยัด
“…ท่านพ่อ สองวันนี้ท่านยังพอมีเวลาว่าง แต่ผ่านไปสองสามวันอาจจะไม่ว่างแล้วนะเ้าคะ” มองหูฉางกุ้ยที่ฟังด้วยความตั้งใจ จึงกล่าวต่อ “บ่ายวันนี้ท่านย่ามาเ้าค่ะ”
ความสนใจของทุกคนล้วนมุ่งมาที่ตัวเจินจู นางจึงเล่าคำพูดที่คุยกับหวังซื่อในตอนบ่ายหนึ่งรอบ
“อ่า…” หลี่ซื่อแสดงอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ นี่ครอบครัวตนเองจะสร้างบ้านใหม่?
“นี่… นี่… ทำ… ทำไมต้องหาที่สร้างใหม่? ขยายบ้านเราที่นี่นิดหน่อยก็ได้แล้วมิใช่หรือ?” หูฉางกุ้ยตกตะลึง ถามหนึ่งประโยคอย่างคนติดอ่าง
“ท่านพ่อ ที่นี่ของพวกเราอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน เข้าออกหมู่บ้านล้วนไม่สะดวกอย่างมาก ขณะนี้พวกเราร่วมมือกับสือหลี่เซียงอยู่ ต้องขนส่งสินค้าบ่อยๆ ท่านคิดดู เราลากสินค้าเต็มเกวียนไปๆ มาๆ ในหมู่บ้านจะถูกจับตามองหรือไม่? อีกอย่างนะเ้าคะ ถนนเส้นนี้ในหมู่บ้านเป็หลุมเป็บ่อ เกวียนวัวของพวกเราล้วนสั่นะเืจนกลายเป็เช่นไร แต่อาศัยอยู่ทางเข้าหมู่บ้านไม่เหมือนกัน พวกเราซ่อมแซมถนนสำหรับทางออกไปปากทางเข้าหมู่บ้านเล็กน้อย เลี้ยวโค้งหนึ่งทีก็ขึ้นไปบนถนนทางการได้แล้ว ไม่เพียงประหยัดเวลาเท่านั้นยังลดการสั่นะเืได้อีกด้วย” น้ำเสียงเจินจูกล่าวอย่างราบเรียบ “ที่นี่ของพวกเราเล็กเกินไปแล้ว หากรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ ราคาก็แพงเช่นเดียวกัน ไม่สู้คิดสร้างใหม่ไปเลยมิดีกว่าหรือเ้าคะ”
“…แต่ ที่ผืนนั้น ยังต้องจ่ายเงินซื้อกระมัง?” หูฉางกุ้ยไม่สบายใจเล็กน้อย
“ท่านพ่อ เงินที่หามาได้ก็ต้องใช้จ่ายออกไป หาเงินมาแล้วเก็บไว้ไม่ใช้มันก็อยู่แบบนั้น ท่านอย่าได้กังวลไปเลยเ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วกล่าวต่อ
“เช่นนั้น… ที่ดินต้องจ่ายเงินมากเท่าไร?” หลี่ซื่อถามด้วยความเป็ห่วง
“ยังไม่แน่ชัดเ้าค่ะ นั่นแค่ที่รกร้างว่างเปล่าหนึ่งผืนที่ปลูกธัญพืชไม่ได้ น่าจะใช้เงินไม่เท่าไรกระมังเ้าคะ” ที่นาดีๆ ขึ้นไปก็สี่เหลียงต่อหนึ่งหมู่ นี่เป็ที่รกร้างว่างเปล่าน่าจะจ่ายเงินไม่เท่าไร เจินจูคำนวณในใจ
...ในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน หูฉางหลินกำลังพูดคุยเื่นี้กับจ้าวเหวินเฉียง
“ที่รกร้างว่างเปล่าฝั่งตะวันออกผืนนั้น…ไม่แพง แต่ที่ผืนนั้นต้องขายทั้งผืน ที่รกร้างสิบเจ็ดหมู่เป็เงินสามสิบเหลียง” จ้าวเหวินเฉียงกล่าวอย่างเชื่องช้า ในดวงตาเป็ประกายออกมา ั้แ่หูฉางหลินหิ้วสุราดีหนึ่งไหกับเนื้อพะโล้และเนื้อตากแห้งชิ้นใหญ่สองสามชิ้นเข้ามา เขาก็ทราบทันทีเลยว่าครอบครัวสกุลหูนี้มีการเคลื่อนไหวใหม่อีกแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขากลับอยากซื้อที่ดินรกร้างว่างเปล่าฝั่งตะวันออกผืนนั้น
“สิบเจ็ดหมู่สามสิบเหลียง? ท่านอาจ้าว แพงไปแล้วกระมังขอรับ นั่นเป็ที่ดินรกร้างที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกเลยนะขอรับ ราคานี้… สูงไปหน่อย” หูฉางหลินคำนวณเล็กน้อย ทั้งหมดนี่เกือบเท่าราคาที่ดินเพาะปลูกระดับเดียวกับครั้งก่อนเลย
“ไม่นับว่าแพงหรอก ฉางหลินเอ๋ย ที่รกร้างว่างเปล่าเชื่อมต่อกับริมฝั่งแม่น้ำ ริมฝั่งแม่น้ำผืนใหญ่ก็นับรวมอยู่ในนั้นด้วย” จ้าวเหวินเฉียงวาดมือเป็โครงร่างคร่าวๆ และเน้นย้ำถึงความกว้างขวางของริมฝั่งแม่น้ำ
“…เขตริมฝั่งแม่น้ำก็ค่อนข้างใหญ่เลย แต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ริมฝั่งทั้งหมดเต็มไปด้วยวัชพืชป่าจำพวกที่ขึ้นในที่ชื้นแฉะและต้นหงอนไก่ สามารถใช้ทำอะไรได้?” หูฉางหลินบ่นพึมพำ
“เช่นนั้นครอบครัวเ้าคิดจะซื้อที่ดินรกร้างว่างเปล่าผืนนั้นทำอะไรหรือ?” จ้าวเหวินเฉียงถามด้วยความแปลกใจ ที่รกร้างว่างเปล่าผืนนี้แม้อยู่ภายใต้นามของหมู่บ้านวั้งหลินมาตลอด แต่หลายปีแล้วล้วนไม่มีผู้คนจับตามอง ครอบครัวสกุลหูคิดจะซื้อที่รกร้างว่างเปล่าไว้ เขาแค่อยากเห็นที่ดินถูกพัฒนาขึ้นและประสบผลสำเร็จ
“ตั้งใจจะสร้างบ้านหนึ่งหลังให้กว้างขวางสักเล็กน้อยที่นั่นขอรับ” หูฉางหลินไม่ได้ปิดซ่อน อย่างไรเสียหลังซื้อมาแล้ว ไม่นานก็ต้องหาคนมาปรับระดับที่ดิน รอให้ผ่านวันที่สิบห้าไปก็น่าจะเริ่มก่อสร้างอย่างเป็ทางการแล้ว
จ้าวเหวินเฉียงจัดการสีหน้าเล็กน้อย แอบใอยู่ข้างใน พี่น้องสกุลหูนี่น่าเหลือเชื่อจริงๆ นี่เพิ่งจะนานเท่าไรเอง ซื้อวัวและซื้อที่นา ตอนนี้ยังจะซื้อที่ดินกว้างใหญ่เช่นนี้สร้างบ้านอีก นี่… ต้องหาทรัพย์สินเงินทองมากเท่าไรถึงมั่นใจได้เช่นนี้กัน
“พวกเ้า… สร้างบ้านใหม่ด้วยกันสองครอบครัวหรือ?” เขาถาม
“ไม่ใช่ขอรับ แค่สร้างบ้านของฉางกุ้ย บ้านเก่าพวกเราคิดจะรื้อและสร้างใหม่หนึ่งรอบ แล้วค่อยเพิ่มสองห้องก็พอแล้ว” หูฉางหลินยิ้มอย่างเบิกบานใจ ฉางกุ้ยปลูกบ้านใหม่เขาไม่เพียงไม่ใส่ใจ แต่ยังดีใจกับฉางกุ้ยด้วยความจริงใจอีกต่างหาก
“บ้าน… ฉาง… กุ้ย?” จ้าวเหวินเฉียงชะงักงัน ทันทีหลังจากนั้นก็ลองถามหยั่งเชิง “เช่นนั้น ที่รกร้างว่างเปล่านี้ก็เป็ฉางกุ้ยซื้อเอง?”
“ใช่สิขอรับ ท่านอาจ้าว ไม่กล่าวปิดบังท่าน อาหารหมักที่ทำลับๆ ของครอบครัวข้าได้รับความสนใจจากโรงเตี๊ยมสือหลี่เซียงเป็อย่างมาก ตอนนี้กำลังร่วมมือระยะยาวกับโรงเตี๊ยมของพวกเขาอยู่ การทำอาหารหมักเหล่านี้จำเป็ต้องมีสถานที่ผึ่งแดดกว้างขวาง พวกเราสร้างบ้านใหม่ครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือเพื่อมีลานที่กว้างใหญ่สำหรับผึ่งแดดอาหารหมักได้ และเพื่อให้สามารถจัดส่งใบสั่งสินค้าของสือหลี่เซียงได้ตรงเวลา เ้าของร้านเหนียนจะได้ไม่เอาแต่ส่งคนมาเร่งรัด” หูฉางหลินหัวเราะและกล่าวอย่างจริงครึ่งเท็จครึ่ง
ผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านล้วนทราบกันว่าครอบครัวของเขาทำการค้าขายกับโรงเตี๊ยมในเมือง เขาเลยเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ให้จ้าวเหวินเฉียงฟัง เพื่อยืมปากของหัวหน้าหมู่บ้านแจ้งให้ชาวบ้านทราบอีกต่อหนึ่ง ว่าครอบครัวสกุลหูในขณะนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่เพียงทรัพย์สินในบ้านมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีความสัมพันธ์ชิดใกล้กับโรงเตี๊ยมใหญ่ในเมืองด้วย หากคิดไม่ดีกับครอบครัวสกุลหู ล้วนต้องพิจารณาระดับของตนเองก่อน
จ้าวเหวินเฉียงเม้มปากและฉีกมุมปากยิ้ม ตัวเขาฟังความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นออก พอครอบครัวสกุลหูพลิกตนเองขึ้นมาได้แล้ว ทัศนคติการจัดการเื่ราวจึงเข้มแข็งขึ้นมาเล็กน้อย
หูฉางหลินที่สอบถามราคาเสร็จแล้วก็ไม่รั้งอยู่นานอีก รีบกลับไปหารือกับครอบครัว เพื่อตระเตรียมการพรุ่งนี้ค่อยตัดสินใจอีกครั้ง
กลับมาถึงบ้านเก่า บอกราคาแก่หวังซื่อ หวังซื่อขมวดหัวคิ้วรู้สึกว่าแพงจริงๆ ที่ดินรกร้างว่างเปล่าผืนนั้นเต็มไปด้วยวัชพืชและหินกระจัดกระจายไปทุกที่ บนพื้นดินยังสูงต่ำไม่เท่ากันอีกด้วย จัดการให้เป็ระเบียบขึ้นมายังต้องสิ้นเปลืองอีกหลายเื่
ชายชราสกุลหูได้ฟังจุดสำคัญว่าที่ริมฝั่งแม่น้ำผืนใหญ่นั้นนับอยู่ภายในขอบเขตของที่ดินรกร้างว่างเปล่าด้วย ที่ตรงนั่นใหญ่กว่าพื้นที่รกร้างว่างเปล่าไม่น้อยเลย พอคำนวณทั้งหมดขึ้นมาค่อนข้างคุ้มค่าอย่างมาก
แต่ความคิดเห็นของหวังซื่อกลับเหมือนหูฉางหลิน คิดว่าริมฝั่งแม่น้ำล้วนเป็พืชขึ้นในที่ชื้นแฉะกับวัชพืชจะใช้สอยประโยชน์อะไรได้
สามคนถกราคาที่ดินกันอยู่หนึ่งรอบ สุดท้ายในคืนเดียวกันหวังซื่อกับหูฉางหลินก็เดินไปท้ายสุดของหมู่บ้าน ให้ครอบครัวหูฉางกุ้ยตัดสินใจกันเอง
เจินจูได้ฟังว่าริมฝั่งแม่น้ำผืนนั้นก็นับรวมอยู่ภายในขอบเขตที่ดินรกร้างว่างเปล่าด้วย ดวงตาก็เป็ประกายขึ้นมา นั่นเป็ที่ดินผืนใหญ่มากเลยนะนี่
ในฐานะคนเมืองที่อาศัยอยู่ในย่านที่มีราคาที่ดินแพงสูงลิ่วแล้ว ที่ดินหนึ่งผืนใหญ่เช่นนั้นสามารถซื้อได้ในราคาสามสิบเหลียง ช่างให้ความรู้สึกเหมือนเซี่ยนปิ่งที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้านัก [1]
พื้นที่ใกล้ทางเข้าหมู่บ้าน ติดกับถนนทางการ ทั้งยังซื้อหนึ่งผืนแถมหนึ่งผืนใหญ่ เจินจูคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าคุ้มค่า ด้วยเหตุนี้จึงอดพยักหน้าทันทีไม่ได้
หูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อเห็นว่าเจินจูพยักหน้าย่อมไม่มีทางคัดค้าน ดังนั้นเื่ซื้อที่ดินจึงตัดสินใจขั้นสุดท้ายได้ทันที
มีประสบการณ์ของการซื้อที่ดินจากครั้งที่แล้ว การซื้อที่ดินครั้งนี้จึงเกวียนเบาและคุ้นทาง [2]
เช้าวันต่อมาหวังซื่อพาหูฉางกุ้ยกับเจินจูไปบ้านหัวหน้าหมู่บ้านแต่เช้าตรู่
จ้าวเหวินเฉียงทราบว่าพวกเขาตัดสินใจจะซื้อที่ดินรกร้างว่างเปล่าผืนนั้นก็สบายใจอย่างมาก พาครอบครัวสกุลหูสามคนเข้าไปในเมืองทันที เตรียมซื้อโฉนดที่ดินมา
จ้าวเหวินเฉียงพิจารณามาหนึ่งคืน รู้สึกว่าครอบครัวสกุลหูที่เพิ่งจะเริ่มร่ำรวยขึ้นก็สามารถซื้อที่ดินหนึ่งผืนใหญ่ และกำลังจะปลูกบ้านหลังใหญ่เช่นนี้ได้ ความเป็อยู่ในวันข้างหน้าเกรงว่าจะปีนขึ้นไปสูงได้มากกว่านี้อีก ตนเองในฐานะที่เป็หัวหน้าหมู่บ้าน ต่อไปต้องติดต่อกับพวกเขาให้มากๆ การอำนวยความสะดวกสบายให้พวกเขาก็เป็การอำนวยความสะดวกสบายให้กับตนเองด้วย
แม้ขณะนี้จะยังเป็่เทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ แต่หน่วยงานราชการในเมืองยังดำเนินการตามปกติ เ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการซื้อขายโฉนดที่ดินก็เริ่มทำงานแล้ว และแน่นอนว่าเป็เพียงการจัดระเบียบม้วนเอกสารของปีก่อนไปส่งๆ เท่านั้น ปีใหม่เช่นนี้ยังไม่ทันได้ข้ามปีอย่างเสร็จเรียบร้อยดี จะมีผู้ใดมาทำการค้าขายที่ดินกัน่เวลานี้เล่า
ตอนที่หย่าเหมิน [3] นำพากลุ่มจ้าวเหวินเฉียงหนึ่งขบวนเข้าไป ทำให้คนตกตะลึงนัก
จ้าวเหวินเฉียงติดต่อกับคนในศาลาว่าการอยู่บ่อยๆ คุ้นเคยและมีประสบการณ์กับขั้นตอนในการจัดการโฉนดที่ดินเป็อย่างดี หลังกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจกับเ้าหน้าที่ผู้นั้นหนึ่งรอบ ก็กล่าววัตถุประสงค์ในการมาออกไป
ที่ดินรกร้างว่างเปล่าผืนนั้นที่สกุลหู้าซื้อ แม้เ้าหน้าที่ผู้นั้นจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้ไต่ถามให้มากความ ล้วนเป็ชาวบ้านที่อยู่ในท้องถิ่นหมู่บ้านมานาน หากหาทรัพย์สินเงินทองมาซื้อที่ดินสร้างบ้านได้ก็เป็เื่ปกติมากนัก
หลังจากรับเงินสองเหวินที่จ้าวเหวินเฉียงแอบมอบให้เขาไปแล้ว เื่ก็ราบรื่นยิ่งขึ้น หลังจากนั้นไม่นานโฉนดที่ดินแบบทั่วไปก็จัดการเสร็จ มอบเงินและจ่ายภาษีที่ดินของการซื้อที่ดินไปแล้ว โฉนดพร้อมตราประทับสีแดงขนาดใหญ่ก็จัดการเรียบร้อย
ด้านหน้าของที่ดินรกร้างว่างเปล่าผืนนี้เป็แม่น้ำเล็กๆ ด้านหลังเป็ูเาซิ่วซี เขตแปลงที่ดินทั้งผืนแบ่งชัดเจนอย่างมาก ส่วนขั้นตอนการวัดและกำหนดเขตแดนหลังจากนี้ก็เป็เพียงการดำเนินการอย่างขอไปทีเท่านั้น รอให้ผ่านวันที่สิบห้าไปแล้วศาลาว่าการจึงจะส่งหย่าเหมินมาแบ่งเขตแดนอีกครั้ง
เมื่อขอบคุณเ้าหน้าที่ด้วยความเบิกบานแล้ว คนหนึ่งกลุ่มจึงเดินออกจากศาลาว่าการ
โฉนดที่ดินเขียนเป็ชื่อของหูฉางกุ้ย เมื่อเขาออกมาจากจวนศาลาว่าการแล้วยังมีความรู้สึกมึนงงอยู่เล็กน้อย ในนามของตนเองมีที่ดินผืนใหญ่หนึ่งผืน คิดไปแล้วล้วนเหลือเชื่ออยู่บ้าง
สี่คนเดินออกมาจากศาลาว่าการ สีของท้องฟ้ายังเช้าอยู่เลย
หวังซื่อดีใจโดยที่ยังคงขอบคุณจ้าวเหวินเฉียงเป็พิเศษไม่เลิก การซื้อที่ดินใหม่ ตามประเพณีในท้องถิ่นต้องตระเตรียมโต๊ะอาหารเลี้ยงแขกขึ้นหนึ่งโต๊ะเฉลิมฉลองสักเล็กน้อย
ที่ดินตกอยู่ภายใต้ชื่อหูฉางกุ้ย แน่นอนว่าย่อมต้องเชิญแขกมาทานข้าวที่บ้านของเขา
เชิงอรรถ
[1] เซี่ยนปิ่งที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า หรือขนมพายร่วงลงมาจากท้องฟ้า (天上掉馅饼) หมายความว่า ไม่ต้องออกแรงทำอะไรก็รอรับความสำเร็จได้เลย
[2] เกวียนเบาและคุ้นทาง หมายถึง คุ้นเคยแล้วจึงทำได้อย่างคล่องแคล่ว
[3] หย่าเหมิน (衙役) เป็อาชีพที่ทำหน้าที่ในศาลาว่าการ ซึ่งเป็หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในประเทศจีนโบราณ พวกเขาทำงานเป็คนระดับล่างสุดในแผนกรัฐบาล ซึ่งทำให้พวกเขาเป็เหมือนสะพานเชื่อมระหว่างสามัญชนกับรัฐบาล