หลิวต้าฟู่แค่ไม่ชอบพูด แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็คนโง่ หลังจากได้ยินก็แผดเสียงสูงทันใด “หลันเอ๋อร์ เชื่อฟังหน่อย หรือว่าเ้าอยากถูกจูเอ๋อร์ลากไปด้วย แล้วจมน้ำตายด้วยบ่อน้ำลายของคนทั้งหมู่บ้านหรืออย่างไร?”
ท้ายที่สุด เื่ที่หลิวจูเอ๋อร์ด่าจางกุ้ยฮัวก็นับว่าเป็ความผิดมหันต์
ส่วนหลิวเสี่ยวหลันอยู่กับนาง ณ ตอนนั้น จะว่าไปก็นับว่าเป็ผู้สมรู้ร่วมคิด หากไม่ลงโทษนางด้วย ต่อไปหากคนในหมู่บ้านรู้เข้า คงไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรบ้าง
คำพูดของหลิวต้าฟู่ทำให้หลิวเสี่ยวหลันถึงกับอึ้ง นางคิดไม่ถึงในจุดนี้
ผลสุดท้ายของเื่นี้คือหลิวเสี่ยวหลันและหลิวจูเอ๋อร์ถูกลงโทษก่อน ส่วนระยะเวลาการกลับไปในตำบลของหลิวซุนซื่อก็ขยายออกไปอย่างไม่มีกําหนด จางกุ้ยฮัวจึงได้เล่นงานหลิวซุนซื่อไปหนึ่งยก ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก!
“ถ้างั้น...แม่ของพวกเราก็ไม่ได้เสียเปรียบ” หลิวชิวเซียงพูดพลางหัวเราะ ดูออกไม่ยากว่านางค่อนข้างอารมณ์ดี
มุมปากของหลิวเต้าเซียงยกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มแล้วเอ่ย “รอจนย่าเรากลับมา เื่นี้คงยังครึกครื้นแน่นอน”
“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิวชิวเซียงไม่เข้าใจ ทั้งที่สาเหตุล้วนอิงมาทางแม่ของนาง
หลิวเต้าเซียงยิ้มเ็า “ป้ารองเป็ใครกัน? นางคือคนที่ลากผักจากบ้านออกไปทุกปีในจำนวนไม่น้อย ฟังจากที่พ่อบอก นั่นคือหนึ่งคันรถวัว ที่น่าแปลกคือ ข้าได้ยินแม่บอกว่า เวลาเทศกาลเชงเม้งป้ารองกลับมา มักจะโอดครวญถึงความยากจน บอกว่าที่บ้านไม่มีผักกิน พี่ไม่รู้สึกแปลกหรือ?”
“หนึ่งรถเข็นวัว ลำพังพวกนางไม่กี่คน ย่อมไม่มีทางกินหมดในเวลาอันรวดเร็วอยู่แล้ว!” หลิวชิวเซียงพูดจบ ก็จ้องหลิวเต้าเซียงด้วยดวงตากลมโต แล้วลองพูดหยั่งเชิง “น้องรอง บ้านลุงรองละโมบเหลือเกิน ทั้งที่ในบ้านมีผักมากมาย แล้วยังเอาผักสดจากที่บ้านไปในตำบลอีก”
“หืม แม้ว่าพวกนางจะกินได้หมดจริงๆ ทว่าก็เป็การโกหกย่า เพียงแต่การกินแรงเช่นนี้ก็นับว่าน่าเกลียดเกินไป พี่ก็รู้ว่า่เดือนมีนาคมถึงเมษายนเป็่ที่ขาดแคลนผัก ไม่เพียงแต่บ้านคนธรรมดาเช่นเรา ขนาดโรงเตี๊ยมเองก็ขาดแคลนผักสดเช่นเดียวกัน อีกอย่าง ผักดองของแม่เรานั้นรสชาติดีมากไม่ใช่หรือ? ผักแช่บ๊วยที่หอมหวาน ผักกาดดองที่เปรี้ยวได้ใจ แล้วยังหัวไชเท้าดองที่เผ็ดแต่กรุบกรอบ มีสิ่งใดบ้างที่ไม่ใช่แม่พวกเราลงมือทำ? มีหนใดบ้างที่แเื่มาบ้านแล้วไม่เอ่ยชมฝีมือของแม่เรา?”
แต่เดิมหลิวเต้าเซียงเองก็คาดไม่ถึง เพียงแต่วันนี้ตอนไปส่งไก่ฟ้าให้แม่เฒ่าจาง บังเอิญได้ยินนางบ่น กระทั่งบ้านตระกูลใหญ่เช่นนั้นก็ยังบ่นขาดแคลนผักสด
ต่อมา เมื่อผ่านประตูหลังของโรงเตี๊ยม ยังได้ยินเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังช่วยงานพูดคุยกันว่า ่นี้กิจการของโรมเตี๊ยมนั้นคึกคักไม่เลว โชคดีที่ทุกปีมีผักดองที่คุณภาพดี
หลิวเต้าเซียงถึงนึกได้ เดาว่าต้องเป็ผักที่หลิวเหรินกุ้ยลากกลับมาจากบ้านนอก แล้วขายให้กับโรงเตี๊ยมเป็แน่
หลิวชิวเซียงได้รับการบอกกล่าวเช่นนี้ก็เหมือนจะนึกอะไรได้ จึงเอ่ย “น้องรอง พอเ้าพูดเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าแต่ก่อนตอนเ้าอ้วนเป่าชอบมาอวดพวกเราไม่ใช่หรือ บอกว่าบ้านเขามีเนื้อและผักกินไม่หวาดไม่ไหว แล้วยังเอาไปทิ้งอีกด้วย”
นี่ปะไร แม้จะทิ้งจนบูดอยู่ในบ้าน ไม่คิดว่าจะเอามาตอบแทนให้หลิวฉีซื่อมากกว่านี้หน่อย มีเพียงบางคราที่ไหว้วานคนเอามาส่ง แล้วยังบอกว่ากลั้นใจกินไม่ลง อยากจะเอามากตัญญูกตเวทีต่อแม่ตนเอง
“หืม ย่าเราชอบตกหลุมพรางเช่นนี้ แต่ว่าพี่วางใจเถิด ป้ารองไม่ยอมให้เงินก้อนนี้หลุดลอยไปแน่นอน” หลิวเต้าเซียงตั้งมั่นว่า ขอเพียงหลิวซุนซื่อกล้าโวยวาย นางจะทำให้หลิวซุนซื่อหาทางกลับไม่เจอ
เมื่อพูดถึงเื่นี้นางก็เอื้อมมือออกไปเคาะกะโหลกตนเอง จากนั้นยิ้มแย้มแล้วเอ่ยกับหลิวชิวเซียง “ดูความจำของข้าสิ เอาแต่กังวลเื่ของแม่ จนลืมเื่อื่นไปหมดสิ้น”
ขณะพูด นางก็ลุกขึ้นเดินไปหน้าประตูห้องปีกตะวันตก หิ้วตะกร้าใบนั้นเข้าบ้าน
หลิวชิวเซียงรับตะกร้าที่นางยื่นมาให้ แล้วพลิกใบตอง้าออก ยิ้มแล้วเอ่ย “เอ๋ วันนี้ไม่เลวเลยนี่นา น้องรอง เ้าคงไม่ได้อยากเข้าครัวหรอกนะ?”
หลิวเต้าเซียงอยากจะบอกว่า ในความเป็จริงนางอยากปฏิเสธที่จะปรุงอาหาร แต่ทนอากาศเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากปีศาจบางตัวไม่ไหว หากนางบังอาจไม่เข้าครัวเอง หลิวเต้าเซียงเดาว่าวินาทีถัดไปตนเองจะกลายไปไอศกรีมแทน อืม เยือกเย็นพิกล
“พี่ใหญ่ นั่นไม่ใช่ประเด็น” หลังจากนั้นนางก็ยิ้มและหยิบแท่งเงินหนึ่งหรือสองแท่งออกจากพื้นที่จัดเก็บ
หลิวชิวเซียงรู้สึกถึงแสงสีขาวต่อหน้าเมื่อมองลงไปที่มือของน้องรอง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอื้อมมือออกไปััมัน “เย็น?!”
หลิวเต้าเซียงได้หยิบแท่งเงินขึ้นมาแล้วกัดลงไป พยักหน้าด้วยความพอใจเมื่อเห็นว่ามีรูเล็กๆ สองรูในแท่ง “จริงๆ”
หลิวชิวเซียงเอื้อมมือออกไปบีบใบหน้าเล็กๆ ของตัวเองที่น้ำตาไหลออกมาทันที และมองไปที่น้องสาว “มันเจ็บจริงๆ!”
“พี่ใหญ่ นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก” พูดจบ นางยิ้มแย้มแล้วล้วงเข้าไปในอ้อมอก ที่ความเป็จริงคือคลังเก็บของในห้วงมิติ แล้วหยิบแท่งเงินขาวสองตำลึงออกมา
หลิวชิวเซียงรู้สึกเพียงแค่ว่าเบื้องหน้าสว่างจ้า ถัดจากนั้นพอมองไปที่มือของหลิวเต้าเซียงก็นิ่งไปชั่วขณะ แล้วจึงยื่นมือไปัั “มันเย็น?!”
ยังไม่ทันรอให้หลิวเต้าเซียงได้ตั้งตัว นางก็หยิบเงินแท่งเข้าไว้ในปาก ออกแรงกัด หลังจากมองเห็นรอยสองรอยเล็กๆ ้า จึงพยักหน้าด้วยความพอใจ “ของจริง”
ขณะที่หลิวชิวเซียงยังคงงุนงงก็ยื่นมือไปหยิกแก้มเล็กของตนเอง พริบตาเดียวน้ำตาก็คลอเบ้า มองไปทางน้องสาวแล้วเอ่ย “เจ็บจัง!”
“พี่ใหญ่ นี่ของจริง วันนี้ข้าไม่ได้ขึ้นเขาไปเก็บฟืน หากแต่ไปหลังูเาเพื่อล่าสัตว์กับคนผู้นั้น” หลิวเต้าเซียงพูดพร้อมกับชี้ไปทางทิศเหนือ
หลิวชิวเซียงได้ยินถึงกับตื่นตระหนกทันใด ลุกพรวดขึ้นมา ยกเท้ากำลังจะวิ่งไปทางประตู แต่หลิวเต้าเซียงมือเท้าไว คว้าแขนนางไว้ทันใด “พี่ใหญ่ พี่จะไปไหน?”
“ข้า ข้า ข้า จะไปหาที่ซ่อนตัวให้เ้า เ้าก็รู้ความคิดของอาเล็ก ว่า้าเข้าหาคนผู้นั้น ระวังอาเล็กจะแอบทำร้ายเ้าลับหลัง” ยิ่งพูดนางก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องรีบจัดการเื่นี้โดยด่วน หลิวเสี่ยวหลันนั้นเหี้ยมโหดไร้ความรู้สึก หลิวชิวเซียงรู้ดีที่สุด
หลิวเต้าเซียงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และกระซิบข้างหูว่า “พี่ใหญ่ ท่านกําลังตื่นตระหนกอะไร ก่อนที่ข้าจะไปทีู่เาด้านหลัง อาเล็กก็ถามหยั่งเชิงข้าแล้ว แต่ว่าข้าบอกว่าไปเก็บฟืน แต่หลังูเาแคบแค่นั้น การจะให้คุณชายช่วยเื่ของเหล่านี้ จะเป็อะไรไป?”
ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ได้คิดเลยเถิดกับนกยูงที่อวดดีตัวนั้น พอคิดเช่นนี้ มนุษย์จิ๋วในใจก็ทำปากบู้บี้ ณ จังหวะนี้รู้จักเพียงรักแห่งเงินตรา
“ใช่ว่าเ้าไม่รู้จักนิสัยของอาเล็ก เหตุใดเ้าจึงไม่คิดเสียบ้างว่า หากเจอกับคนผู้นั้น เ้าก็ต้องเลี่ยงไว้” หลิวชิวเซียงไม่้าทำให้หลิวเสี่ยวหลันโมโห
หลิวเต้าเซียงยิ้มอย่างไม่แยแสและตอบว่า “พี่ใหญ่ ท่านมั่นใจได้ เื่นี้อาเล็กไม่มีทางสืบถาม แม้ว่าจะถาม ข้าก็จะพูดตามความจริงก็พอ นั่นคือคนในดวงใจของอาเล็ก เราที่เป็เด็กพบเจอเข้า ก็ต้องมีมารยาทคล้อยตาม อีกอย่าง หากไม่ใช่เพราะคุณชายท่านนั้นขึ้นหลังเขาวันนี้ ข้าจะมีทางได้เงินเหล่านี้หรือ”
หลิวชิวเซียงได้ยินดังนั้น จึงพยักหน้าเงียบๆ แล้วเรียกน้ำตากลับ เื่นี้จะพูดเช่นนี้ได้หรือ?
ไม่ว่าอย่างไร นางก็เชื่อคําพูดของหลิวเต้าเซียง และสิ่งที่สําคัญที่สุดคือครอบครัวมีเงินขาวแท่งจริงๆ
ถ้าหลิวเสี่ยวหลัน้ากลั่นแกล้งน้องรองของนางจริงๆ นางจะขวางตัวไว้ข้างหน้า เพื่อเงินสองตำลึงนี้ พร้อมสู้!
หลิวเต้าเซียงที่ไม่รู้ว่าภายในจิตใจของหลิวชิวเซียงได้เข้มแข็งขึ้นถึงเพียงนี้ ขณะนี้กำลังยิ้มแย้มแล้วเอ่ยกับนาง “ท่านพี่ ข้าคิดดีแล้ว เงินสองตำลึงนี้จะยกให้กับท่านแม่ ให้นางเปลี่ยนผ้าห่มผืนใหม่ให้เรา พอถึงฤดูหนาว บ้านเราจะได้ผ่านฤดูหนาวอย่างอบอุ่น หากมีเงินมากกว่านี้ จะได้ตัดเสื้ออ๋าวฤดูหนาวให้ทุกคน”
แม้ว่าจะเป็เพียงจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ หลิวเต้าเซียงก็คิดไปไกล มากกว่านั้นคืออยากหลุดพ้นจากญาติมิตรที่คับคุณภาพเหล่านี้
“หรือไม่ก็เก็บไว้ก่อนเถิด ขืนเราเอามาตัดผ้าห่มผืนใหม่ก็คงถูกย่าต่อว่าไม่ใช่หรือ? ถึงตอนนั้นหากถูกสอบถามถึงที่มาของเงินล่ะ?” หลิวชิวเซียงเองก็อยากห่มผ้าห่มที่นุ่มและอบอุ่น แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าของหลิวฉีซื่อ ก็หมดอาลัยทันใด
หลิวเต้าเซียงยื่นมือลูบคางตนเองพร้อมกับไตร่ตรองอยู่สักพัก เื่ที่หลิวชิวเซียงกล่าวมาก็จริง หากหลิวฉีซื่อรู้เข้า เกรงว่าเงินสองตำลึงนี้คงรักษาไว้ไม่ได้
จากนั้นนางก็นึกขึ้นได้เื่หนึ่ง ถึงกับยิ้มออกมาแล้วปรบมือเบาๆ “ข้าลืมไปหนึ่งเื่ ป้ารองเองก็้าแยกบ้าน บ้านเราไม่รีบร้อน ไม่แน่ว่าวันใดแยกบ้านจริง เงินยังเก็บไว้ได้ ถึงตอนนั้นครอบครัวเราจะได้มีเงินไว้ใช้ดำรงชีพบ้าง”
ในเมื่อไม่มีเื่ใหญ่โตอะไรให้ต้องใช้จ่าย บวกกับนึกถึงเงินที่จะได้รับส่วนแบ่งเข้าครอบครัวปีละห้าร้อยจากหลิวฉีซื่อ เก็บรวมไว้ก่อนดีกว่า
สองพี่น้องปรึกษาหารือกันเื่เงินเรียบร้อย ก็หิ้วตะกร้าเดินไปห้องครัว ส่วนเื่ที่ได้เงินมาสองตำลึง สองพี่น้องก็เลือกที่จะลืมมันไปก่อน และไม่ได้คิดจะบอกกล่าวหลิวซานกุ้ยกับจางกุ้ยฮัว
เมื่อได้กลิ่นน้ำแกงไก่ที่ยั่วยวนลอยออกมาจากห้องครัว ในที่สุดหลิวเสี่ยวหลันก็โยนไม้กวาดลงบนพื้นอย่างไม่เต็มใจ เชิดคางและวางมาดสูงส่ง เอ่ยกับหลิวจูเอ๋อร์ที่เชื่องช้าอยู่ข้างๆ “จูเอ๋อร์ อาเล็กร่างกายไม่สบาย ที่เหลือยกให้เป็หน้าที่เ้าก็แล้วกัน”
พูดจบ ก็ไม่ทันรอให้หลิวจูเอ๋อร์ได้ตั้งตัว เขย่งเท้าแล้วเดินบิดสะโพกเล็กๆ เข้าไปทางห้องครัวอย่างร่าเริง
หลิวจูเอ๋อร์ลูบแขนที่ปวดเมื่อย มองไปยังลานบ้านที่กว้างขวาง อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา แม่ของตนทะเลาะวิวาทไปหนึ่งรอบ ไม่ชนะ และหลบไปพักผ่อนในห้องปีกตะวันออกแล้ว
ส่วนอาเล็กของตน…
นางมองลงไปที่ไม้กวาดอันใหญ่อีกอันที่ล้มอยู่กับพื้น สายตาเผยความชิงชัง ถุย อาเล็กนึกว่าตนเองเป็ลูกคุณหนูผู้ดีจริงหรือ ไม่แน่ว่าในอนาคตสินเดิมตอนออกเรือนอาจจะน้อยกว่าตนเองเสียอีก
เมื่อนึกถึงสิ่งที่พ่อและพี่ชายของตนเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกดูถูกหลิวเสี่ยวหลัน หลิวเหรินกุ้ยได้กล่าวไว้แล้ววา จะหาบ้านแม่สามีที่ร่ำรวยเหมาะสมให้นาง อีกทั้งยังบอกอีกว่า รอนางกับแม่กลับไปในตำบล จะซื้อเด็กรับใช้ให้นางหนึ่งคน เวลาออกเรือน จะได้พาไปเป็ข้ารับใช้ในบ้านสามี
หลิวจูเอ๋อร์มองดูหลิวเสี่ยวหลัน ยิ่งรู้สึกดูแคลนย่าแท้ๆ อย่างหลิวฉีซื่อ อย่างไรก็ตาม ก็มีสถานะเป็ข้ารับใช้ หากไม่ใช่เพราะแต่งงานกับปู่ จะสามารถหลุดพ้นจากการเป็ข้ารับใช้มาเป็ปุถุชนทั่วไปได้หรือ?
ข้ารับใช้นับว่าเป็ทาส จะผ่านไปกี่ชั่วอายุคนก็มีชีวิตเป็ข้ารับใช้ เป็คนเบื้องล่างที่สุด
เพียงแต่ความคิดเหล่านี้ นางไม่กล้าเอ่ยออกมา กระทั่งแม่ของนางเองก็ไม่ทราบ หลิวเหรินกุ้ยยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็ลูกชายแท้ๆ ของหลิวฉีซื่อ
หลิวชิวเซียงเห็นฉากนี้จากหน้าต่างทางห้องครัว จึงส่ายศีรษะเงียบๆ “ความหวังดีของปู่ช่างเปล่าประโยชน์”
“หืม เปล่าประโยชน์หรือไม่ข้าไม่ทราบ ข้าเห็นเพียงแต่ว่าพี่จูเอ๋อร์นั้นแค้นอาเล็กเข้าไส้” หลิวเต้าเซียงกำลังคั่วเนื้อไก่ แล้วตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ
่ฤดูกาลนี้ไม่ได้มีเครื่องปรุง หาก้ารสหอม คงต้องพึ่งแค่หัวหอม
“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ ข้าจำได้ว่าในบ้านยังมีเหล้าข้าว อยู่ที่ไหนหรือ?”
“เ้า้าเหล้าข้าวเพื่ออะไร?” หลิวชิวเซียงไม่เข้าใจว่า เหตุใดน้องรองฉลาดปานฉะนี้ แค่ผัดไก่ยังสามารถมีลูกเล่นได้มากมาย
“ดับความคาว ท่านพี่หามาให้ข้าหน่อย วันนี้ได้กินไก่ฟ้า มั่นใจว่าต้องถูกปากท่านปู่แน่นอน” เสียงของหลิวเต้าเซียงสดใสและอ่อนหวาน ฟังออกไม่ยากว่าภายในจิตใจของนางนั้นมีความสุข
หลังจากข้ามมิติมากว่าหนึ่งเดือน เดิมทีคนที่เป็สัตว์กินเนื้อเช่นนาง ตอนนี้ใกล้จะเปลี่ยนเป็สัตว์กินพืชไปเสียแล้ว
ไก่ตุ๋นเห็ดหอมกำลังถูกตุ๋นอยู่ในหม้อที่อยู่ข้างกัน นางเหยียบขึ้นบนเก้าอี้เล็ก ถือตะหลิวอันใหญ่ผัดไปมา ออกแรงคั่วชิ้นเนื้อไก่
หลิวชิวเซียงยิ้มเบาๆ น้องรองของนางหลังจากที่ศีรษะถูกกระแทกหนนั้น นับวันก็เฉลียวฉลาดขึ้นเรื่อยๆ หรือนางควรจะไปกระแทกเสาสักครั้งดี?
-----
