เดินมาถึงที่ว่าการอำเภอก็ไกลอยู่พอสมควร พวกจิ่นเซวียนเดินทางมาถึงก็ยามสี่[1] เข้าไปแล้ว เวลานี้กลุ่มของโจวเจียอิ้งตีกลองร้องทุกข์กันอยู่ คนของที่ว่าการอำเภอค่อนข้างมีความรับผิดชอบ ต่อให้ดึกดื่นเพียงใด หากมีคนมาแจ้งความ พวกเขาก็ยังเปิดศาลให้
เหนือศาลพิจารณาคดีอันเงียบและเคร่มขรึม มีชายวัยสามสิบกว่าปีนั่งอยู่ เขาสวมชุดขุนนางสีเขียว นั่งลำตัวเหยียดตรง ดูกระฉับกระเฉง เปี่ยมไปด้วยจิติญญา
“ภรรยา เขาก็คือใต้เท้านายอำเภอของพวกเรา เป็ขุนนางน้ำดีหายากผู้หนึ่ง” จิ่นเซวียนและซ่งจื่อเฉินยืนฟังอยู่ข้างนอกศาล จิ่นเซวียนได้ยินมาว่านายอำเภอซิ่งหยางเป็ขุนนางน้ำดี นางจึงเผลอมองสำรวจนายอำเภอสวี่อยู่หลายหน จะว่าไปแล้ว นายอำเภอสวี่กับท่านย่าเล็กมิเพียงเป็คนในหมู่บ้านเดียวกัน แต่พวกเขายังรุ่นเดียวกันอีกด้วย พวกเขาต่างก็มาจากอำเภอกุ้ยถง มิแน่อาจจะรู้จักกัน!
“เปิดศาล” นายอำเภอสวี่เคาะค้อนไม้เล็ก เ้าหน้าที่ศาลร้องะโอย่างฮึกเหิมทันที
ฉากนี้เหมือนฉากเปิดศาลในละครยิ่งนัก
“จำเลยโจวฟู่กุ้ยและภรรยาของเขา เถียนซื่อต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม เวลานี้ฝ่ายเรารับคำร้องของโจทก์โจวเจียอิ้งไว้แล้ว ดำเนินการตรวจสำนวนและตัดสินคดีนี้อย่างเป็ทางการ”
“ใต้เท้านายอำเภอ เื่ทั้งหมดข้าทำเองผู้เดียว มิเกี่ยวข้องกับลูกเมียของข้า ได้โปรดปล่อยพวกเขาไปเถิดขอรับ” มาถึงศาลพิจารณาคดีเช่นนี้ โจวหลี่เจิ้งรู้ว่ามิมีทางหนี เขาจึงยอมบอกต้นสายปลายเหตุของเื่นี้กับนายอำเภอสวี่ทั้งหมด โทษหนักจะได้เบาลง
“ใต้เท้านายอำเภอ ข้าน้อยขอเปลี่ยนชื่อแซ่ เพื่อตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดขอรับ” โจวเจียอิ้งมิอยากใช้แซ่โจว แซ่โจวเป็เครื่องจองจำที่กักขังเขาไว้นานถึงสามสิบหกปี ในเมื่อเขารู้ภูมิหลังของตนเองแล้ว ก็มิจำเป็ต้องเป็ลูกของโจวฟู่กุ้ยอีกต่อไป
“คำขอนี้ของเ้า ข้าอนุญาต จะว่าไปแล้วพวกเราถือเป็สหายเก่ากัน การอพยพใหญ่หนนั้น หากมิได้พ่อแม่แท้ๆ ของเ้านำเสบียงอาหารของตระกูลอิ่นมาแบ่งปันให้ผู้คนในหมู่บ้านสกุลสวี่ พ่อแม่ของข้าคงอดตายไปแล้ว คงมิมีข้าในวันนี้หรอก” นายอำเภอสวี่เป็ขุนนางจากครอบครัวยากจน เพราะเขามิมีคนคอยหนุนหลัง จึงถูกย้ายมารับตำแหน่งที่อำเภอซิ่งหยาง ทำงานมาสามปียังมิมีโอกาสได้เลื่อนขั้น เขาเก็บเื่ที่ตระกูลอิ่นมีพระคุณต่อพ่อแม่ของเขาในเวลานั้นเอาไว้ในใจเสมอ เมื่อเขาได้ยินว่าทายาทของตระกูลอิ่นยังมีชีวิตอยู่จึงดีใจยิ่งนัก
“ใต้เท้านายอำเภอ ข้าน้อยขอร้องให้ลงโทษภรรยาของโจวฟู่กุ้ย และครอบครัวของเขาด้วยเ้าค่ะ” โจวซู่อิงกลัวนายอำเภอสวี่จะปล่อยโจวซู่ซินไป
“แม่นางน้อย เ้ามิต้องเตือน ข้าย่อมต้องลงโทษคนเลวสถานหนักอยู่แล้ว” นายอำเภอสวี่เอ่ยปลอบใจโจวซู่อิงให้นางสงบสติอารมณ์ รอให้ลูกน้องของเขาจดบันทึกเื่ราวทุกอย่างเสร็จสิ้นเมื่อใด เขาจะประกาศคำตัดสินทันที
พิจารณาคดีเก่าเก็บนานหลายปีนั้นมิยาก อย่างไรเสียจำเลยก็สารภาพออกมาเอง เวลานี้จึงรอเพียงประกาศคำตัดสินเท่านั้น
นายอำเภอสวี่ะโออกมาท่ามกลางความเงียบ “เวลานี้ข้าขอประกาศว่า นักโทษโจวฟู่กุ้ยกับภรรยา เถียนซื่อมีความผิดฐานฆาตกรรมโดยเจตนา ตามกฎข้อที่ยี่สิบเอ็ดของกฎหมายแคว้นซีหลิง มีโทษปะาชีวิต ดำเนินการหลังฤดูใบไม้ร่วง ในกรณีของลูกชาย โจวเจียโย่วเป็ทาสหลบหนีจากตระกูลอิ่น เพราะเขามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม ข้าจึงลดหย่อนโทษ ตัดสินให้กักขังโดยมิมีกำหนด จำคุกตลอดชีวิต......”
“ใต้เท้า เช่นนั้นลูกๆ ของโจวเจียโย่วเล่า พวกเขาก็เป็ครอบครัวของทาสต้องโทษเช่นกัน” เมื่อนายอำเภอสวี่ประกาศจบ โจวซู่อิงร้อนใจยิ่งนัก
“อดใจรอสักประเดี๋ยว ข้ายังพูดมิจบเลย” นายอำเภอสวี่ยกมือให้โจวซู่อิงเงียบ
‘ครอบครัวทาสต้องโทษ’ ห้าคำนี้ฝังลึกลงไปในใจของโจวซู่ซิน นางมิยอมหมอบแทบเท้าโจวซู่อิงหรอก
“ใต้เท้า ข้าน้อยไร้ความผิด สัญญาขายทาสของข้ามิได้อยู่ในมือคนตระกูลอิ่น เช่นนั้นข้ามิถือเป็ทาสของตระกูลอิ่นเ้าค่ะ”
โจวซู่ซินกลัวว่านายอำเภอสวี่จะปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะเขาเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว นางจึงรีบแก้ต่างให้ตนเอง
แม่นางผู้นี้เป็ผู้นำที่ฉลาดเสียจริง นางพูดถูก หนังสือสัญญาขายตัวของพวกนางมิได้อยู่ในมือคนตระกูลอิ่น ตามกฎหมาย เขาลงโทษได้เพียงโจวฟู่กุ้ย เถียนซื่อ และโจวเจียโย่วเท่านั้น
ส่วนลูกเมียของโจวเจียโย่ว เขามิมีสิทธิ์ลงโทษ
“ลูกเมียของโจวเจียโย่วมิมีความผิด เพราะมิได้ขายตัวให้ตระกูลอิ่น” โจวซู่ซินกับหานซื่อสบายใจเมื่อได้ยินคำตัดสินนี้
“อิงจื่อ มิต้องพูดแล้ว” จิ่นเซวียนเตือนมิให้โจวซู่อิงพูดต่อ ตามกฎหมายเป็เช่นนี้จริงๆ พวกโจวซู่ซินมิได้ขายตัวให้ตระกูลอิ่น ย่อมมิใช่ทาสหลบหนี อีกอย่างเวลานั้นพวกเขายังมิเกิดเสียด้วยซ้ำ
“ขอบคุณใต้เท้าที่เมตตาเ้าค่ะ” โจวซู่ซินโขกศีรษะให้นายอำเภอสวี่มิหยุด นางคิดว่าหนีหายนะของตนเองพ้นแล้ว ที่ไหนได้กลับต้องมาใอ้าปากค้างกับคำพูดต่อมาของนายอำเภอสวี่
“โจวฟู่กุ้ย เ้าขโมยทรัพย์สินของเ้านาย ทั้งยังทำร้ายคุณชายอิ่น ควรได้รับโทษ เวลานี้ข้าขอประกาศว่าทรัพย์สินของตระกูลโจวจะกลับคืนเป็ของคุณชายอิ่นทั้งหมด”
ทรัพย์สินกลับคืนเป็ของพวกโจวซู่อิงทั้งหมด เช่นนั้นพวกนางมิกลายเป็คนยากไร้ มิมีแม้กระทั่งบ้านให้อยู่หรือ แล้วในวันข้างหน้าพวกนางจะทำอย่างไร!
โจวซู่ซินมีใบหน้ามืดมนทันที ก่อนจะเกิดเื่ นางคือคุณหนูใหญ่ของบ้านโจว มิต้องทำงานก็มีกิน แต่เวลานี้แม้กระทั่งปัจจัยดำรงชีวิตยังมีปัญหา บ้านเดิมของท่านแม่ก็ยากจน พึ่งพามิได้
“ขอบคุณใต้เท้าที่ให้ความเป็ธรรมกับพวกเราเ้าค่ะ” โจวซู่อิงพอใจแล้ว แม้จะยังมิบรรลุผลตามที่หวังไว้ แต่โจวซู่ซินกลายเป็คนยากไร้ จากนี้คงยากที่จะฟื้นตัวแล้ว
หน้าตางดงามแล้วอย่างไรเล่า นางมีประวัติในที่ว่าการอำเภอ เศรษฐีบ้านใดจะจริงใจกับนางกัน!
“คุณชายอิ่น พวกท่านคิดชื่อเอาไว้หรือยัง หากคิดไว้แล้ว ข้าจะเปลี่ยนทะเบียนบ้านให้เวลานี้เลย” นายอำเภอสวี่เรียกโจวเจียอิ้งว่าคุณชายอิ่น
โจวเจียอิ้งมิค่อยชินนัก แม้เขาจะเป็ลูกชายของคหบดีอิ่นเจิ้ง แต่เขาก็ยังเป็เพียงชาวนาผู้หนึ่ง
“ใต้เท้า ข้าน้อยมิรู้หนังสือ คงคิดชื่อที่ไพเราะอย่างกระทันหันเช่นนี้มิได้ ท่านอนุญาตให้ข้าถามหลานชายของข้าน้อยเถิดขอรับ” โจวเจียอิ้งอยากให้ซ่งจื่อเฉินช่วยเขาคิด
“ท่านอา ท่านคือทายาทของตระกูลอิ่น คหบดีอิ่นเจิ้งทำสิ่งที่ดีงามมาตลอดชีวิต เป็คนดีมีคุณธรรมแห่งอำเภอกุ้ยถง ท่านชื่ออิ่นซือหยวนดีหรือไม่ขอรับ” ซ่งจื่อเฉินคิดชื่อให้โจวเจียอิ้งทันที
“ดื่มน้ำให้นึกถึงต้นน้ำลำธาร[2] นามนี้ดียิ่งนัก เช่นนั้นก็ชื่ออิ่นซือหยวนก็แล้วกัน” เมื่อนายอำเภอสวี่ได้ยิน เขาก็เผลอมองไปทางซ่งจื่อเฉินและจิ่นเซวียน เขาตกตะลึงกับรูปโฉมของสองสามีภรรยา เขาพบเจอคนใหญ่คนโตมานักต่อนัก แต่มิเคยเจอผู้ใดที่ดูดีเท่าพวกเขามาก่อน ที่สำคัญไปกว่านั้นคือพวกเขามีบรรยากาศรอบกายสูงศักดิ์โดยธรรมชาติ
“คุณชายอิ่น คุณชายชุดขาวกับสาวน้อยชุดขาวตรงนั้นเป็คนรู้จักของท่านหรือ?” นายอำเภอสวี่ถามด้วยความสงสัย
“เรียนใต้เท้า พวกเขาคือเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกับข้า บุรุษนามว่าซ่งจื่อเฉิน สตรีนามว่าซย่าจิ่นเซวียน วันนี้พวกเขาเพิ่งแต่งงานกัน หากมิใช่เพราะพวกเรา พวกเขาคงมิต้องเสียเวลาเข้าห้องหอไปขอรับ” อิ่นซือหยวนตอบอย่างนอบน้อม นายอำเภอสวี่ตกตะลึงเมื่อเขาพูดชื่อของซ่งจื่อเฉิน
“คุณชายซ่งมิได้าเ็อยู่หรือ?ข้าได้ยินว่าเขาขาพิการทั้งสองข้างมาหลายปีแล้ว”
“เรียนใต้เท้า ภรรยาของข้าน้อยเพิ่งช่วยรักษาขาทั้งสองข้างของข้าในวันนี้ขอรับ”
ซ่งจื่อเฉินบอกความจริงกับนายอำเภอสวี่ นายอำเภอสวี่ใยิ่งนัก เขารู้เกี่ยวกับอาการาเ็ของซ่งจื่อเฉินดี นี่เพิ่งแต่งงาน ภรรยาก็รักษาสามีของตนเองจนหายแล้ว เื่นี้คงจะเป็ที่ร่ำลือไปอีกนาน
“ใต้เท้า เมื่อกลางวันท่านพ่อของข้าทำงานอยู่บริเวณท่าเรือ ล้มขาหัก ก็ได้พี่สะใภ้เล็กช่วยรักษาให้ นางเป็หมอเทวดาเ้าค่ะ!” โจวซู่อิงกลัวนายอำเภอสวี่จะมิเชื่อว่าจิ่นเซวียนรักษาซ่งจื่อเฉินได้ นางจึงรีบออกหน้าแทนจิ่นเซวียน
เชิงอรรถ
[1] ยามสี่ หมายถึง ่ตี 1 ถึงตี 3
[2] ดื่มน้ำให้นึกถึงต้นน้ำลำธาร หมายถึง พวกเราควรสำนึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษที่ให้กำเนิดเรามา มิใช่ญาติที่มิใช่สายเืเดียวกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้