ใบหน้าของบุรุษผิวเข้มยิ่งดูดำคล้ำราวกับก้นหม้อ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะโต้ตอบ ได้แต่หันหลังเดินจากไป
หนีเจียเอ๋อร์เปิดไห รินสุราใส่จอกสองใบ ใบหนึ่งสำหรับโจวชิงหวา อีกใบสำหรับตัวเอง จากนั้นก็ยกจอกทั้งสองขึ้น “อาหวา ขอแสดงความยินดี ที่ได้เป็องครักษ์ของท่านรองเ้าสำนักไป๋หาน!”
โจวชิงหวารับจอกมาด้วยท่าทางสง่างาม พลางคลี่ยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน ประหนึ่งสายลมฤดูใบไม้ผลิ “อาหนี ขอแสดงความยินดี ที่ได้เป็แพทย์ประจำตัวของท่านรองเ้าสำนักไป๋หาน!”
พูดจบ ทั้งสองก็หัวเราะ แล้วยกสุราขึ้นมาดื่ม
...
หลังจากจัดการเื่ราวในเมืองเย่เสร็จแล้ว ไป๋หานก็พาพวกเขากลับมายังเมืองหลวง
ทว่า นางมิอาจเชื่อใจคนทั้งสองได้อย่างสนิทใจ จึงสั่งให้คนไปคอยติดตามเฝ้าประกบทุกฝีก้าว ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาอยู่ตามลำพัง จึงเป็เื่ยาก ที่จะหาวิธีเข้าถึงเอกสารลับของสำนักฝูเซิงได้ อีกทั้งการอยู่ที่นี่ ก็ถือเป็เื่ง่ายที่ตัวตนของทั้งสองจะถูกเปิดโปง โจวชิงหวากับหนีเจียเอ๋อร์จึงเริ่มรู้สึกกังวล
จนกระทั่งได้ยินข่าวว่า ทางพระราชวังจะมีการจัดงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็ประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานนับร้อยปีของแคว้นฉีหลาน ถือเป็เทศกาลอันยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าตรุษจีน ไหว้บ๊ะจ่าง และไหว้พระจันทร์เสียอีก
ซึ่งครั้งนี้ คนของสำนักฝูเซิงและเหล่าองครักษ์เสื้อแพร จะเป็ผู้รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยภายในพระราชวัง ดังนั้น หัวหน้าสำนักฝูเซิงก็ย่อมต้องอยู่ประจำการด้วยตลอดทั้งวัน
หนีเจียเอ๋อร์จึงคิดว่านี่เป็โอกาสเพียงครั้งเดียว ที่จะสามารถหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวหญิงสาว ซึ่งลงมือโดยคนสำนักฝูเซิงในครานั้นได้ และโจวชิงหวาก็เห็นพ้องต้องกัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวก็กระซิบว่า “ชิงหวา เ้าพอจะหาทางส่งจดหมายเข้าไปในวังได้หรือไม่?”
โจวชิงหวาพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”
หนีเจียเอ๋อร์จึงลงมือเขียนจดหมาย พอหมึกแห้ง นางก็พับแล้วยื่นให้เขา “ส่งไปให้หร่วนรั่วสุ่ย”
โจวชิงหวารับมาใส่ไว้ในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง พอตกกลางคืนก็มอบจดหมายให้สือหวู่ พลางกระซิบคำสั่งบางอย่าง ทำให้ดวงตาของอีกฝ่ายเบิกกว้าง แต่สุดท้ายก็มิได้ถามไถ่อันใด เพียงเร้นกายออกไปทำตามคำสั่งของเ้านายเท่านั้น
...
ด้วยตกอยู่ในสายตาของผู้ติดตามตลอดทั้งวัน หนีเจียเอ๋อร์กับโจวชิงหวาจึงต้องทำงานอย่างระมัดระวังและทุ่มเท หมายจะสร้างความพึงพอใจให้กับไป๋หาน ทั้งนี้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายไว้วางใจและลดความหวาดระแวงลง
...
วันเวลาผ่านไป จนมาถึงเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง
ก่อนรุ่งสาง โจวชิงหวาลอบเข้ามาในห้องของหนีเจียเอ๋อร์อย่างเงียบเชียบ จากนั้น ทั้งสองก็จัดการแปลงโฉมให้อีกฝ่าย
แม้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปมาก แต่หากเป็คนคุ้นเคย ก็ย่อมจดจำพวกเขาได้ ดังนั้น ั้แ่ก้าวออกจากสำนัก ทั้งสองก็พากันก้มหน้าก้มตาเดินด้วยความระแวดระวัง
ไป๋หานคิดว่าพวกเขามีอาการประหม่า เพราะเข้าวังเป็ครั้งแรก จึงปลอบใจด้วยความเมตตา
หนีเจียเอ๋อร์ก้มหน้า กล่าวขอบคุณเบาๆ แต่ทันใดนั้น ก็เหลือบไปเห็นขบวนเสด็จได้แต่ไกล...
เป็ฮองเฮา ที่เสด็จมาพร้อมองค์รัชทายาท ต้วนอวิ๋นหลาน หนีเจียเฮ่อ และบรรดาเหล่าขันทีผู้ติดตามนั่นเอง!
หนีเจียเอ๋อร์กับโจวชิงหวามองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มรีบส่งสายตาไปที่ท้องของอีกฝ่ายเป็นัยๆ หญิงสาวจึงเข้าใจได้ทันที นางรีบเดินไปทางซ้ายห่างไป๋หานเพียงสองก้าว และถามอย่างระมัดระวัง
“ท่านรองเ้าสำนัก ข้าขอตัวไปเข้าส้วมได้หรือไม่? พอดีว่าปวดท้องน่ะขอรับ!”
ไป๋หานหยุดชะงัก พลางขมวดคิ้ว “อาหนี ในเขตพระราชฐานควรพูดจาให้สุภาพ ‘ส้วม’ เป็คำหยาบ ห้ามพูดออกมาเป็อันขาด!”
หนีเจียเอ๋อร์ยิ้มเจื่อนๆ พลางยกมือกุมท้อง “ขอรับ! ผู้น้อยจะจำเอาไว้”
จากนั้น ก็หันไปพูดกับผู้ติดตามว่า “ช่วยนำทางหน่อย!”
ชายคนนั้นพึมพำด้วยความรังเกียจ “ตามมา!”
โจวชิงหวาจึงเอ่ยขึ้นทันที “ท่านรองเ้าสำนัก ข้าก็ขอไปด้วย”
ไป๋หานหันหลังกลับ ยกมือขึ้นโบกผ่านหัวไหล่ “รีบกลับมาเร็วๆ ล่ะ”
…
พอเข้าไปในห้องน้ำ โจวชิงหวาก็เจอหนีเจียเอ๋อร์ แต่พบว่ายังมีคนอื่นอยู่ข้างในด้วย เขาจึงเดินไปข้างหน้า ใช้ตัวบังหญิงสาวเอาไว้ เรือนร่างบุรุษที่ฝึกวรยุทธ์มาหลายปี ย่อมต้องแข็งแกร่งและสูงใหญ่ จึงสามารถบดบังนางได้อย่างมิดชิด... ให้ความรู้สึกปลอดภัยเป็พิเศษ
ขันทีที่เดินออกมา เหลือบมองท่าทีใกล้ชิดของคนทั้งสอง แล้วยกมือขึ้นปิดปาก พลางใช้สายตาตำหนิอย่างโจ่งแจ้ง ด้วยมองว่านี่ช่างเป็เื่ที่บัดสีนัก
หนีเจียเอ๋อร์ซึ่งอยู่ใกล้กับเขา พลันรู้สึกประหม่า พยายามไม่เหลียวซ้ายแลขวา เพียงเดินไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
พอคล้อยหลังอีกฝ่าย โจวชิงหวาก็หันไปมองรอบๆ แล้วจู่ๆ ก็หยุดเคลื่อนไหว ทำให้ร่างบอบบางของสตรีที่เดินตามมา ชนเข้ากับแผงอกแกร่งอย่างจัง
หนีเจียเอ๋อร์กุมหน้าผาก พลางพูดเสียงฉุนเฉียว “ก่อนหยุดเดิน ช่วยบอกสักคำได้หรือไม่? เ้าคิดจะสังหารข้าหรือ!”
โจวชิงหวายกมือขึ้นลูบหน้าผากของนางอย่างแ่เบา แล้วหัวเราะออกมา
หนีเจียเอ๋อร์ตวัดสายตามอง “ดูเหมือนเ้าจะมีความสุขมากนะ ที่สามารถกลั่นแกล้งข้าได้”
“ข้าทำเช่นนั้นหรือ?” โจวชิงหวายกปลายนิ้วเรียว ปัดไรผมบนหน้าผากอีกฝ่าย
หนีเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่น “ก็ใช่น่ะสิ!”
โจวชิงหวากำลังจะเอ่ยปาก แต่เสียงะโของผู้ติดตามก็ดังขึ้นเสียก่อน “ออกมาได้แล้ว มัวชักช้าร่ำไรอยู่ได้!”
จากการกะเวลา คาดว่าขบวนของฮองเฮากับหนีเจียเฮ่อน่าจะผ่านไปแล้ว ทั้งสองจึงรีบออกมา
ทว่า หนีเจียเฮ่อที่เดินผ่านไปแล้ว กลับหันมามองด้านหลังอีกครั้งด้วยความสังหรณ์ใจ เขาจับจ้องไปยังร่างเล็กบางและแผ่นหลังที่ดูคุ้นตา แต่กลับนึกไม่ออก ว่าเคยเห็นชายผู้นี้ที่ไหน?
ต้วนอวิ๋นหลานมองตามสายตาเขา ก็เห็นเพียงแผ่นหลังของบุรุษจากสำนักฝูเซิงสองคนเท่านั้น
แม่ทัพหนุ่มจึงเอ่ยถาม “เจียเฮ่อ ท่านกำลังมองอะไรอยู่หรือ?”
หนีเจียเฮ่อถอนสายตากลับมา แล้วส่ายหน้า “ไม่มีอะไรขอรับ”
องค์ชายน้อยเงยหน้าขึ้น พลางถามด้วยเสียงเยาว์วัย “ท่านปรมาจารย์ อาจารย์เจียเอ๋อร์จะกลับมาเมื่อใดขอรับ ตลอดทั้งเดือนมานี้ ยังไม่เห็นนางเลย ข้าคิดถึงยิ่งนัก”
หนีเจียเฮ่อตอบอย่างนอบน้อม “ฝ่าา เสี่ยวเอ๋อร์ยังไม่ส่งจดหมายมา กระหม่อมจึงไม่รู้ว่านางจะกลับมาเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทก้มหน้าลง ถอนหายใจยาว ก่อนส่ายศีรษะ ท่าทีราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อยเช่นนั้น ทำให้หลายคนยกยิ้มด้วยความเอ็นดู
ต้วนอวิ๋นหลานหันไปส่งยิ้มให้เด็กน้อยที่ทำหน้าตาเหงาหงอยอยู่ข้างๆ แล้วพูดเสียงเบา “ฉีเอ๋อร์ สักวันหนึ่งอาจารย์เ้าก็ต้องออกเรือน เมื่อถึงเวลานั้น นางคงไม่อาจมาหาเ้าได้ตามใจอีก รู้หรือไม่?”
ต้วนอวิ๋นซินเหลือบมองอนุชา พลางตรัสว่า “อวิ๋นหลาน เ้าลองเขียนจดหมายถามเสี่ยวเอ๋อร์สิ ว่าท่องเที่ยวเมืองเย่สนุกหรือไม่ มิเช่นนั้น เ้าก็ตามไปดูนางเสียหน่อย”
หนีเจียเฮ่อขมวดคิ้วสงสัย เหตุใดฮองเฮาถึงได้มุ่งมั่นจะจับคู่ให้คนทั้งสองนัก?
ต้วนอวิ๋นหลานพูดไม่ออก “ฮองเฮา กระหม่อมทูลท่านไปหลายครั้งแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ว่าเสี่ยวเอ๋อร์กับกระหม่อมเป็ได้แค่พี่น้องร่วมสาบานเท่านั้น ไม่ปรารถนาจะสานสัมพันธ์ไปมากกว่านี้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้