ชวีเสี่ยวปอไม่ยอมแพ้ : “นายมีแฟน ฉันก็มีแฟน ไม่เหมือนกันตรงไหน? ”
“แต่นายคบกับ——” เดิมทีชวีจิ่งยังะโออกมาเสียงดังอยู่ เมื่อพูดถึงตรงนี้เสียงดังสนั่นนั้นกลับหยุดลง จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงแค่เขาสองคน : “นายคบกับผู้ชาย”
“แล้วยังไง? ” ชวีเสี่ยวปอยักไหล่อย่างไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด
จะว่าไปก็เหนือความคาดหมายอยู่เหมือนกัน ตอนแรกชวีเสี่ยวปอนึกว่าชวีจิ่งจะจับตัวเองขังไว้ในห้องน้ำ เลือกที่จะต่อยกับเขาสักยกหนึ่ง ทั้งยังพูดบทประมาณว่า “อย่าทำให้คนอื่นต้องขายหน้า” อะไรทำนองนี้ แต่กลับไม่มีเื่แบบนั้นเกิดขึ้น ตรงกันข้ามชวีจิ่งกลับถามเขาอย่างใจเย็นอยู่ตั้งนานสองนาน ถึงขนาดที่ว่าชวีเสี่ยวปอไม่อาจเข้าใจจุดประสงค์ที่แน่ชัดของอีกฝ่ายได้เลย
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้รอคำตอบของคำว่า “แล้วยังไง” ชวีจิ่งเงียบไปอยู่หลายวินาที ดูเหมือนว่าเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ใบหน้ากลับปรากฏท่าทีที่ว่า “สีซอให้ควายฟัง”
“เื่นี้อย่างให้พ่อฉันรู้” ในที่สุดชวีจิ่งก็พูดขึ้น
“อ๋า? ” ชวีเสี่ยวปอประหลาดใจ “เพราะอะไร? ”
ชวีจิ่งหันหน้าออกไป ยกมือขึ้นมาจับกลอนประตูเอาไว้ เหลือไว้เพียงแค่ท้ายทอยให้ชวีเสี่ยวปอเห็น : “เพราะอะไรนายเองก็รู้อยู่แก่ใจ ครอบครัวนี้มันวุ่นวายมากพอแล้ว”
หลังจากพูดจบชวีจิ่งดึงประตูเปิดออก ชวีเสี่ยวปอก็เดินตามออกมาด้วยเช่นกัน
ทว่าทันทีที่ทั้งสองคนเดินออกมากลับต้องหยุดลงอีกครั้ง
ขณะนั้นเซี่ยเจิงกำลังยืนพิงกำแพงอยู่ มองดูพวกเขาสองคนด้วยท่าทางที่นิ่งเฉย ในปากยังคาบบุหรี่ที่ไม่ได้จุดเอาไว้ด้วยมวนหนึ่ง
ชวีจิ่งและเซี่ยเจิงเคยมีเื่ชกต่อยกัน ดังนั้นเมื่อทั้งสองคนเจอหน้ากันเข้าจึงค่อนข้างให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า “เมื่อศัตรูมาเจอกัน ความโกรธแค้นก็ยิ่งปะทุขึ้นมา” แต่ครั้งนี้ทั้งคู่เพียงแค่จ้องมองอีกฝ่ายเท่านั้น แล้วชวีจิ่งก็รีบร้อนเดินออกไปทันที
“ไม่สูบเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอชี้ไปยังบุหรี่มวนนั้น
“นี่” เซี่ยเจิงยกแขนขึ้นมาเพื่อบอกว่าบนกำแพงมีป้ายห้ามสูบบุหรี่แขวนเอาไว้อยู่ จากนั้นจึงดึงบุหรี่ออกมากำไว้ในมือ
ขณะนั้นชวีเสี่ยวปอหัวเราะขึ้นมายกใหญ่ พลางพูดไปด้วยว่า : “รอมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย? ”
“ฉันตามเขาออกมา” เซี่ยเจิงใช้คางชี้ไปยังทางที่ชวีจิ่งเดินออกไป
“ตั๊กแตนจับจักจั่นแต่ไม่รู้ว่ามีนกขมิ้นอยู่ข้างหลัง [1] เหรอ” ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปากขึ้น “ไปกันเถอะ หรือว่ารอนายเข้าไปสูบบุหรี่ก่อน? ”
“เขาพูดว่าไงบ้าง? ” เซี่ยเจิงขมวดคิ้วขึ้นมา ขณะที่พูดบุหรี่ที่อยู่ในมือก็ถูกเขาบีบจนไม่เป็รูปเป็ร่าง เศษบุหรี่กระจายออกมาเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งมือ แต่เซี่ยเจิงก็ยังคงทำเช่นนั้นต่อไปโดยไม่ได้รู้สึกขยะแขยงเลยแม้แต่น้อย ในใจของเขารู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา ถึงขนาดที่เมื่อครู่เขาขยับเข้าไปใกล้กับประตูห้องน้ำเพื่อให้ได้ยินว่าคนด้านในกำลังคุยอะไรกันอยู่ให้ชัดเจนขึ้น เขาคิดว่าชวีจิ่งต้องพูดอะไรที่น่าเกลียดไม่น่าฟังเป็อย่างมากแน่นอน แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ยินอะไรเลย
“ก็ไม่ได้พูดอะไรจริงๆ นั่นแหละ...” ชวีเสี่ยวปอล้วงกระเป๋าคลำหาบางอย่าง แต่ก็ไม่เจอสิ่งของที่จะใช้เช็ดมือเขาได้เลย จึงทำได้เพียงยื่นมือของตัวเองออกไปปัดให้เซี่ยเจิงสองสามที “เขาบอกว่าฉันว่าอย่าให้พ่อรู้เื่นี้”
“ฮะ? ” ปฏิกิริยาตอบโต้ของเซี่ยเจิงดูใกว่าท่าทีเมื่อครู่นี้ของชวีเสี่ยวปอเป็อย่างมาก ถ้าหากชวีเสี่ยวปอไม่เอ่ยขึ้นว่า “จริงๆ จริงๆ ” เซี่ยเจิงก็คงจะคิดว่าประโยคนี้เป็คำโกหกที่เขาแต่งขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจเป็แน่
“ฉันยังงงอยู่เลยเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ ในตอนนั้นมีคนมาเข้าห้องน้ำพอดี ทั้งสองคนจึงต้องเดินลงไปบันไดไปโดยปริยาย ชวีเสี่ยวปออธิบายไปรอบหนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า : “นี่มันดูไม่เหมือนชวีจิ่งเลยสักนิด”
ความจริงแล้วเมื่อครู่ที่ชวีเสี่ยวปอถามชวีจิ่งไปว่า “เพราะอะไร” เขาไม่ได้อยากถามว่า “เพราะอะไรถึงไม่อยากให้ชวีอี้เจี๋ยรู้เื่นี้” เนื่องจากเหตุผลนี้เขารู้เป็อย่างดี แต่สิ่งที่เขาอยากรู้มากไปกว่านั้นก็คือ ทำไมชวีจิ่งถึงไม่เอาเื่นี้มาข่มขู่เขา เพราะสำหรับชวีจิ่งแล้ว ครั้งนี้ถือว่าเป็โอกาสที่ดีที่สุดในการแก้แค้นชวีเสี่ยวปอ
“อาจจะเป็อย่างที่เขาพูดจริงๆ ก็ได้” เซี่ยเจิงตบหลังของชวีเสี่ยวอย่างเบามือ เพื่อเป็การบอกเขาว่าอย่าคิดมาก
.............................
เชิงอรรถ
[1] ตั๊กแตนจับจักจั่นแต่ไม่รู้ว่ามีนกขมิ้นอยู่ข้างหลัง (螳螂捕蝉黄雀在后) เป็สำนวนสุภาษิตจีนใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่เอาแต่จ้องจะเล่นงาน คิดบัญชีกับผู้อื่น โดยลืมไปว่าตนเองก็อาจจะกำลังถูกผู้อื่นจ้องจะคิดบัญชีอยู่เหมือนกัน
…………………………
“ขอให้เป็อย่างนั้นเถอะ” ชวีเสี่ยวปอพูด แต่ก็ยังคงพึมพำขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ : “เมื่อก่อนฉันรู้สึกตลอดเลยว่าชวีจิ่งกับพ่อของฉัน ไม่ใช่สิ กับพ่อของเขา เอ๊ะ กับพ่อของเราสองคนไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจผิดไปหน่อย ชวีจิ่งไม่ได้ใจกว้างกับฉัน แต่คงจะกลัวพ่อฉันละมั้ง? ”
เซี่ยเจิงทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ : “นี่นายกำลังพูดประโยคลิ้นพันกันอยู่เหรอ? พ่อนายพ่อเขาอะไรกัน”
“ยังไงเื่มันก็เป็แบบนั้นนั่นแหละ !” ชวีเสี่ยวปอโบกปัดมือขึ้นมาเหมือนได้ยกูเาออกจากอก จากนั้นก็จ้องเข้าไปในดวงตาของเซี่ยเจิง “ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกกลัวขนาดนั้นแล้ว”
“หมายถึง? ”
“ก็เื่ของเราสองคนไง” ชวีเสี่ยวปอพูดต่อ “นายไม่รู้สึกเหรอว่าความจริงแล้วเื่นี้มันบังเอิญสุดๆ ? ชวีจิ่งรู้แล้วก็เหมือนเป็การฉีดวัคซีนป้องกันให้ฉัน ให้ฉันได้เตรียมตัวล่วงหน้า”
…………………………
“ถ้างั้นนายเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง? ” เซี่ยเจิงอยากจะยื่นมือออกไปบีบคลึงท้ายทอยของเขา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าในมือเต็มไปด้วยเศษบุหรี่ จึงยื่นออกไปได้แค่ครึ่งเดียว แล้วก็ดึงกลับเข้ามาอีกครั้ง
“พร้อมแล้ว” ชวีเสี่ยวปอมองเขา พร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “พร้อมเสมอ”
หลังจากกลับไปที่โต๊ะอาหาร โต๊ะนั้นของชวีจิ่งก็เช็กบิลไปกันหมดแล้ว ชวีเสี่ยวปอเล่าเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้ซือจวิ้นฟัง ขณะเดียวกันซือจวิ้นก็สบถขึ้นมาอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็เตือนชวีเสี่ยวปอไปอย่างจริงจัง บอกเขาให้ระวังคำหวานที่ชวีจิ่งพูดออกมาเพื่อหลอกล่อ แล้วก็อย่าปล่อยให้เื่นี้มาลดความระมัดระวังตัวกับเขาคนนั้นลงด้วย
“ถ้าวันหนึ่งพ่อของนายกลับมาบ้านแล้วะโโวยวายจะตีขานายให้หัก อย่างน้อยนายก็ขาเป๋อย่างไม่มีข้อสงสัยนะ ! ” ซือจวิ้นกระแทกตะเกียบลงไปในชามอย่างแรงสองครั้ง
“ถุย พูดอะไรที่เป็มงคลหน่อย” ชวีเสี่ยวปอเกือบจะพ่นน้ำผลไม้ที่เพิ่งจะดื่มเข้าไปออกมา
“ถ้างั้นก็...” ซือจวิ้นเกาศีรษะเล็กน้อย “ขอให้ตอนที่นายขาเป๋ก็ยังมีเซี่ยเจิงคอยเข็นวีลแชร์ให้——ไม่ใช่สิ ครั้งก่อนฉันเป็คนเข็นให้ไม่ใช่เหรอ! ”
ชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิงพูดออกมาเป็เสียงเดียวกันว่า : “ทวดนายสิ !”
แล้วทั้งสามคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็จัดการเก็บกวาดอาหารที่เหลือจนเรียบ
่นี้ผลคะแนนของชวีเสี่ยวปอทำออกมาได้ไม่เลวเลย ในตอนที่ยืนคุยอะไรเรื่อยเปื่อยกับซือจวิ้นอยู่ที่ริมระเบียง หัวหน้าระดับเดินผ่านมายังชมเขาไปด้วยว่า “ก้าวหน้าขึ้นนะ” แต่จะดีกว่านี้มากถ้าหากเขาไม่ได้พูดต่อท้ายขึ้นมาว่า “แต่ยังอีกไกล”
“ปอเอ๋อร์” เมื่อหัวหน้าระดับเดินออกไปไกลแล้ว ซือจวิ้นจึงถามขึ้นมาว่า : “นายเตรียมสอบเข้ามหาลัยเดียวกับเซี่ยเจิงจริงๆ เหรอเนี่ย? ”
“แน่นอน” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยขึ้นมาทันควัน พร้อมทั้งขมวดคิ้ว “ทำไม นายไม่เชื่อเหรอ? ”
“ไม่ได้ไม่เชื่อ” ซือจวิ้นหักข้อนิ้วมือ จนมีเสียงดังก๊อกแก๊กขึ้นมาอยู่หลายครั้ง “ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าดูจากคะแนนของนายตอนนี้...ถึงแม้ตอนนี้นายจะสุดยอดมากๆ ไล่ตามขึ้นมาได้เยอะแล้ว แต่การจะไล่ตามเซี่ยเจิงเด็กเรียนประเภทที่ว่าสามารถคว้าที่หนึ่งของระดับชั้นได้มันคงจะยากน่าดูเลยใช่ไหมล่ะ? ”
สิ่งที่ซือจวิ้นพูดเป็ความจริง
“ถ้างั้นก็ต้องเพิ่มความพยายามขึ้นไปอีก” ชวีเสี่ยวปอกำหมัดแน่น พร้อมทั้งหันไปมองเซี่ยเจิงที่กำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็พูดกับซือจวิ้นว่า : “ที่จริงสอบเข้าเมืองเดียวกันก็ได้ แต่ฉันแค่อยากลองพยายามเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”
“เยี่ยม” ซือจวิ้นยกนิ้วโป้งขึ้นมา แต่สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็เศร้าหมอง ทั้งยังลากเสียงยาวบ่นออกมาอย่างขุ่นเคือง : “ทำไมเห็นมีใครอยากสอบเข้ามหาลัยเดียวกับฉันเลยอ่า—— จริงสิ วันนี้เซี่ยเจิงเป็อะไรไป? คาบเรียนด้วยตัวเองภาคเช้าฉันเห็นเขาดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่เลย”
“เมื่อวานแม่เขา...” ชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันพูดจบประโยค เขาก็หันกลับไปมองอีกครั้ง แค่ปรากฏว่าที่นั่งของเซี่ยเจิงว่างเปล่าไปแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงรีบหันไปอีกทางหนึ่งทันที ขณะนั้นเซี่ยเจิงเดินมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างเขาและซือจวิ้นเป็ที่เรียบร้อย ทั้งยังอ้าปากกว้างหาวออกมาด้วย
“นอนเต็มอิ่มแล้วเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอถาม
“พอได้อยู่” เซี่ยเจิงบิดี้เี พลางยืดแขนออกไปโอบไหล่ชวีเสี่ยวปออย่างเป็ธรรมชาติ มือของเขาลอยอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งแล้วถึงค่อยวางลงไป แต่เขาก็ยังคงสะลึมสะลือดูไม่ค่อยสดชื่นสักเท่าไหร่ “คืนนี้ว่างไหม? ”
“เื่นี้ฉันฟังด้วยไม่ได้ใช่หรือเปล่า? ” ซือจวิ้นยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัย ทั้งยังทำท่าจะปลีกตัวออกไป
“ไม่มีอะไร แค่ป้าหลี่เขาเอาเตาย่างบาร์บีคิวมาน่ะ พวกนายจะไปด้วยกันไหม? ”
“หน้าหนาวแบบนี้? บาร์บีคิว? ” เมื่อคิดได้แบบนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกคัดจมูกขึ้นมาทันที “ซื้อเตาบาร์บีคิวมาเหรอ? ”
“ไม่ใช่ ร้านปิ้งย่างที่อยู่ข้างหน้าขาดทุนปิดกิจการไป แล้วเถ้าแก่รู้จักกับป้าหลี่ด้วยพอดี ก็เลยยกให้ป้าแกฟรีเลย ไม่งั้นก็เกือบจะเอาไปขายเป็ของเก่าแล้วเหมือนกัน ฉันดูมาแล้วเตานั้นมันยังดีมากอยู่เลย” เซี่ยเจิงอธิบาย “อีกอย่างไม่หนาวหรอก เดี๋ยวย่างตรงลานบ้านเสร็จค่อยเอาไปกินในบ้านก็ได้”
“ได้ !” ชวีเสี่ยวปอะโขึ้นมาอย่างมีความสุข
