เล่มที่ 3 บทที่ 82
คิดได้ดังนั้น มู่หรงฉิงก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนปล่อยให้เฉินเทียนหยูดึงออกไปโดยมีหลายคนเดินตามกลับไปยังเส้นทางเดิม
ปี้เอ๋อร์ไม่ควรปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แน่นอนว่านางไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนได้ ครั้นเห็นหลายคนคล้อยไปแล้ว นางจึงซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเพื่อคอยสังเกตสถานการณ์อย่างลับๆ
ั้แ่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ชุ่ยเอ๋อร์ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เนื่องด้วยสิ่งที่นางรับรู้มากมายเกินไป ซ้ำร้ายเื่ที่นางรับรู้ยังไม่ใช่สิ่งที่นางควรรู้ ทว่ามู่หรงฉิงไม่ได้จัดการกับนางซึ่งทำให้นางรู้สึกวิตกกังวลเป็อย่างมาก ไม่รู้ว่ามู่หรงฉิง้ารอจนกว่าจะกลับไปถึงจวนเฉินถึงจะฆ่านาง? หรือกำลังเตรียมตัวที่จะลงโทษปะาชีวิตนาง?
ความวิตกกังวลของชุ่ยเอ๋อร์สามารถมองเห็นได้จากฝ่ามือที่กระชับแน่น ด้วยสัญชาตญาณมู่หรงฉิงจึงเห็นสีหน้าซีดจางของชุ่ยเอ๋อร์จากทางหางตา นางเดาได้ว่าชุ่ยเอ๋อร์กำลังคิดอะไรอยู่ ทว่ามู่หรงฉิงได้แต่ถอนหายใจ ตอนนี้แม้ว่าชุ่ยเอ๋อร์จะอยากกลับไปอยู่เคียงข้างฮูหยินผู้เฒ่า ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็กลับไปไม่ได้แล้ว
ขณะทั้งสี่คนมาถึงพื้นที่จัดงานเลี้ยงซึ่งอยู่บริเวณเลียบทะเลสาบ สายตาหลายคู่ได้มองมาทางนางอย่างประหลาดใจราวกับไม่เชื่อว่านางจะปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้ ในบรรดาผู้คนเ่าั้ คนที่ปรากฏสีหน้าอันน่าเกลียดที่สุดย่อมเป็มู่หรงยวี่
เป็ไปได้อย่างไรหรือ? มู่หรงฉิงมาถึงที่นี่ได้อย่างไร? นางควรจะอยู่กับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทไม่ใช่หรือ ...แล้วอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทล่ะ? หรือถูกนางฆ่าตายไปแล้ว?
มู่หรงยวี่ยังคงสาปแช่งอยู่ในใจ แต่ทางด้านอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทกลับเดินมาพร้อมกับกลุ่มชายหนุ่มที่มีความสามารถอย่างช้าๆ โดยถือพัดในมือ
ครั้นเห็นใบหน้าของอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทเป็ปกติ มิหนำซ้ำสีหน้าของเขายังไม่ปรากฏพิรุธแต่อย่างใด แม้กระทั่งเสื้อผ้ายังเป็ชุดเดิมที่สวมใส่ในตอนเช้า เป็ไปได้อย่างไร? มีคนชักนำมู่หรงฉิงไปแล้วนี่นา? หรือว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด?
ความเกลียดชังของมู่หรงยวี่กับความสงบนิ่งของหนิงสุ่ยรั่วอยู่ในสายตาของมู่หรงฉิง นางรู้สึกแค่ว่ามันช่างตลกสิ้นดี พริบตาต่อมาก็เห็นสายตาของอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาททอดมองมาที่นาง
สายตาของทั้งสองคนหยุดชะงักชั่วครู่ ถัดจากนั้นอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทจึงพูดคุยกับชายหนุ่มผู้มีพร์ต่อไป ในขณะที่สายตาของมู่หรงฉิงจ้องไปทางผู้หญิงชุดสีฟ้าทางด้านขวาคนหนึ่ง
เ้าตัวคล้ายจะััได้ถึงสายตาของมู่หรงฉิง หญิงสาวในชุดสีฟ้าจึงหันมามอง ครั้นเห็นมู่หรงฉิง ดวงตาของอีกฝ่ายถึงกับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกึ่งซาบซึ้งคล้าย้าเอ่ยปาก แต่ในท้ายที่สุดกลับกัดริมฝีปากล่างและไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด ดูจากอากัปกิริยาของนาง เห็นๆ อยู่ว่าอยากจะก้าวเท้าไปข้างหน้า ทว่าก็มีความลังเลคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง และสุดท้ายนางก็ไม่ได้เข้ามาหา
ท่าทีของผู้หญิงคนนั้นทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกอบอุ่นในใจ ถึงกระนั้นนางก็ทำอะไรไม่ถูก
หญิงสาวในชุดสีฟ้าผู้นั้นเป็บุตรสาวคนเล็กของท่านลุงซูมู่เยว่ ใน่เวลาหลายปีที่ผ่านมา มู่หรงฉิงได้เข้าร่วมงานเลี้ยงหลายหน และได้พบกันบ่อยครั้งแต่เนื่องจากท่านแม่ของนางตัดการติดต่อกับครอบครัวเดิมทั้งหมดเป็สาเหตุให้นางและท่านแม่ไม่เคยติดต่อกับญาติพี่น้องของท่านแม่เลย
เพียงแต่หลังจากซูมู่เยว่รับรู้ว่านางเป็ลูกพี่ลูกน้องกับมู่หรงฉิง นางก็เริ่มกล่าวทักทาย นางเป็ผู้หญิงบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและน่ารักคนหนึ่ง ทั้งยังไม่มีกลอุบายในใจทำให้ผู้คนชอบนาง เวลาถัดมาไม่รู้ด้วยสาเหตุใด เมื่อมู่หรงฉิงได้พบเจอกับซูมู่เยว่อีกหน ซูมู่เยว่กลับมีท่าทีเป็เช่นนี้ อยากจะก้าวเข้ามาหาแต่ไม่กล้าพูด อยากจะพูดคุยแต่เหมือนต้องคิดคำนึงถึงอะไรบางอย่าง
คิดดูแล้ว นางคงจะถูกท่านลุงตำหนิกระมัง? ท่านแม่ไม่้าครอบครัวของตนเอง อาจจะทำร้ายหัวใจของคนในครอบครัว
รู้สึกเศร้าในใจ จังหวะที่กำลังหาที่เงียบๆ เพื่อนั่ง จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงดนตรีประเภทไหมและไผ่[1]ดังแว่วเข้ามา
งานเลี้ยงเริ่มขึ้นแล้ว
เหล่าคนใช้แจ้งบรรดาแขกผู้มีเกียรติว่าฮูหยินหลิงมาถึงแล้ว และงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ
งานเลี้ยงจัดขึ้นที่ริมทะเลสาบ กลิ่นดอกไม้หอม สายลมอ่อนๆ และใบไม้สีเขียวซึ่งบดบังแสงอาทิตย์ การออกแบบเช่นนี้ดูเหมือนอยู่ในโลกแห่งจินตนาการอยู่หลายส่วน
พื้นที่แห่งนี้ถูกจัดขึ้นสำหรับหญิงสาวผู้ที่ยังไม่ได้ออกเรือน แต่ละคนล้วนเกล้าผมอย่างเด็กสาวที่ยังไม่ได้ผ่านการสมรส ทว่าจู่ๆ มู่หรงฉิงซึ่งเกล้าผมเช่นหญิงสาวเพิ่งแต่งงานกลับย่างเท้าเดินเข้ามา หลายคนจึงออกอาการตกตะลึงและเกิดความประหลาดใจ สงสัยว่าคนนี้คือใครหรือ?
“พี่หญิงมาแล้วและพี่เขยก็มาด้วย โธ่! แม้ว่าพี่เขยสมองไม่ดี ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถมาอยู่ในที่ของผู้หญิงกระมัง”
ทุกคนประหลาดใจว่ามู่หรงฉิงเป็ใคร ก่อนเสียงสัพยอกของมู่หรงยวี่จะดังแว่วมาจากตรงกลาง เมื่อได้ยินว่ามีชายหนุ่มมาร่วมด้วย บรรดาหญิงสาวจึงยกพัดขึ้นปิดหน้าพลางแอบมองด้วยความสงสัย
ครั้นมองปราดหนึ่ง รูปลักษณ์นี้ทำให้ผู้หญิงจำนวนนับไม่ถ้วนถึงกับเสียสติ เห็นชายชุดม่วงด้านข้างมู่หรงฉิง คิ้วและใบหน้าของชายคนนั้นงดงามราวกับภาพวาด ดวงตาใสสะอาดราวกับท้องฟ้าหลังฝนตก มันสะอาดไร้ร่องรอยฝ้ามัว เขามุ่ยปากเล็กน้อยซึ่งบ่งบอกถึงความคับข้องใจและความดื้อรั้น กิริยาเช่นนั้นปรากฏอยู่บนใบหน้าของชายร่างสูงใหญ่ ไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกแปลกๆ ทว่ากลับทำให้หัวใจของหลายคนเต้นแรงไม่น้อย
“นั่นคือเฉินเทียนหยู ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาซึ่งเป็หนึ่งในสามของชายรูปงามมากที่สุดในปัจจุบันใช่หรือไม่?”
ในจังหวะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจกับหน้าตาของเฉินเทียนหยูและมู่หรงฉิง ทันใดนั้นเสียงอันอ่อนโยนและนุ่มนวลก็ทำลายความเงียบ
“เฉินเทียนหยู? คือเฉินเทียนหยูที่โง่งมในตอนนี้หรือ?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็เช่นนั้น เ้าดูผู้หญิงคนนั้นสิน่าจะเป็มู่หรงฉิงผู้เป็สาวงามคนที่สาม ถ้าเฉินเทียนหยูไม่ใช่คนโง่งม การยืนอยู่ด้วยกันก็นับได้ว่าเป็บุคคลที่์ส่งมาให้เป็คู่กันจริงๆ”
“ใช่แล้ว ทั้งคู่มีหน้าตาที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่เสียดายที่เป็คนโง่งม...”
“อย่างไรก็ดี ที่นี่เป็ที่รวมตัวกันของผู้หญิง การพาสามีมาด้วยย่อมไม่ใช่เื่ดีกระมัง?”
มีเสียงกระซิบกระซาบสนทนาดังขึ้น หลังจากได้ยินความคิดเห็นของแต่ละคน มู่หรงยวี่พลอยนึกขบขันในใจ มู่หรงฉิง... อยากจะรู้เหมือนกันว่า เ้าจะยังมีหน้าอยู่ที่นี่อีกได้อย่างไร?
จ้าวจื่อซินเฝ้าดูจากระยะไกล ครั้นเห็นมู่หรงฉิงถูกคนเยาะเย้ย เขาก็้าก้าวไปข้างหน้าและพาตัวเฉินเทียนหยูออกไป แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของมู่หรงฉิงก่อนออกจากจวน เขาจึงไม่ได้นำความคิดนั้นไปปฏิบัติ
ความเป็ไปของฝั่งพื้นที่ฝ่ายหญิงดึงดูดความสนใจของเหล่าชายหนุ่มซึ่งอยู่ในบริเวณซุ้มดอกไม้อีกด้านหนึ่งไม่น้อย ชั่วขณะหนึ่งสายตาของทุกคนได้จับจ้องอยู่ที่พวกเขาทั้งสองคน มิหนำซ้ำความสนใจเช่นนั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจริงๆ
มู่หรงยวี่ลอบมองอย่างมีความสุขในใจ ขณะที่กำลังรอให้มู่หรงฉิงอับอายสะบักสะบอมกลับได้ยินเสียงหัวเราะเบิกบานใจ “ฮูหยินหลิง สตรีผู้นั้นคือมู่หรงฉิงที่สามารถปักลายสองด้านได้ตามที่ท่านเคยพูดถึงใช่หรือไม่?”
ทันทีที่จบคำพูดนั้นการเยาะเย้ยของทุกคนจึงแปรเปลี่ยนไปเป็ความนับถือแฝงความอิจฉา ของขวัญวันคล้ายวันเกิดที่มู่หรงฉิงมอบให้กับฮูหยินผู้เฒ่าในวันนั้นทำให้ผู้คนร่ำลือกันถึงขั้นเหนือธรรมชาติ เกือบจะบอกได้ว่าพระศรีอริยเมตไตรยสามารถหัวเราะออกมาดังๆ ได้แล้ว
“ใช่แล้ว คือฮูหยินน้อยเฉิน เ้าอยู่โต๊ะเดียวกันกับองค์หญิงซาเหรินเถอะ องค์หญิงสนใจงานปักของจงหยวนเป็อย่างมากเชียว” ฮูหยินหลิงพูดกับมู่หรงฉิงด้วยน้ำเสียงสงบ
น่าอิจฉาที่ได้รับเชิญให้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับองค์หญิง ตำแหน่งที่นั่งสามารถเห็นเหล่าชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน ถ้าพวกนางได้ไปนั่งที่ตรงนั้น พวกนางจะต้องทำตัวดีอย่างแน่นอน วันนี้องค์ชายสามมาร่วมงานด้วย บางทีพวกนางอาจจะได้รับความชื่นชอบจากองค์ชายสาม
อย่างไรก็ตามตำแหน่งที่นั่งที่ดีกลับมอบให้แก่ผู้หญิงคนนี้ ทำให้หลายคนรู้สึกไม่เป็ธรรม
มู่หรงฉิงได้คำนวณถึงปฏิกิริยาของทุกคนแล้ว นางได้แต่ลอบถอนหายใจ คนก็เป็เช่นนี้แล หากไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับเขา คงไม่มีความเกี่ยวข้อง แต่เมื่อกระทบกับตัวเอง แม้ว่ามันจะเป็ภัยคุกคามที่ไม่ใช่ภัยคุกคามั้แ่แรกก็ตาม มันจะทำให้พวกนางวิตกกังวล
มู่หรงฉิงยังไม่ได้ตอบ แต่เฉินเทียนหยูกลับยกมือขึ้นชี้เป้ยหนิงทำให้มู่หรงฉิงใ จากนั้นจึงรีบคำนับ พร้อมกล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณฮูหยินหลิงสำหรับที่นั่ง ขอบพระคุณองค์หญิงสำหรับความรักความเมตตา”
หลังจากนั้นจึงดึงเฉินเทียนหยูไปข้างหน้า และในเวลาเดียวกันก็กระซิบสั่งกำชับชายหนุ่ม “จากนี้ไป ท่านพี่ไม่ได้รับอนุญาตให้พูด ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ทำของว่างให้ท่านพี่กินแล้ว”
“ข้า…”
“ห้ามพูด”
“...”
“...”
หลังจากการตักเตือนที่รุนแรงของมู่หรงฉิง เฉินเทียนหยูก็รู้สึกน้อยใจเป็อย่างมาก ครั้นเห็นว่าเขากำลังจะสะบัดมือ มู่หรงฉิงจึงยิ่งเพิ่มแรงมากขึ้นโดยจับมือของชายหนุ่มไว้แน่น “ท่านพี่ไม่เชื่อฟังฉิงเอ๋อร์แล้วหรือ?”
“น้องหญิง...”
“ถ้าท่านพี่เชื่อฟังฉิงเอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์จะทำแตงโมแช่น้ำแข็งให้ท่านพี่ทานในภายหลัง”
เดิมทีทางเดินก็ไม่ไกลมากนัก และทั้งสองก็จับมือกันแน่น แม้ว่าจะมีแขนเสื้อปิดบังอยู่ แต่การเคลื่อนไหวของทั้งคู่นั้นดังพอสมควร ทำให้หลายคนหน้าแดงและหัวเราะคิกคักเบาๆ
“ดูสิ บางทีก็มีแค่มู่หรงฉิงคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่สามารถพูดกับสามีของตัวเองโดยไม่ต้องหวาดกลัวกระมัง?”
“เ้าอิจฉา? คนนั้นคือคนโง่งม เ้าอยากจะแต่งงานกับคนโง่งมเช่นนั้นด้วยหรือ? ถ้าเ้าแต่งงานแล้ว เ้าก็รักกันได้”
“ไปให้พ้น น่าเกลียดจริง”
เมื่อเดินเข้าไปถึงก็คำนับฮูหยินหลิงและเป้ยหนิง จากนั้นนางกับเฉินเทียนหยูจึงนั่งลง
เป้ยหนิงเลิกคิ้ว ท่าทางภาคภูมิใจของนางเห็นได้ชัดว่ากำลังพูดอะไรหรือ? ศิษย์พี่ช่วยเ้าให้ออกจากไฟและน้ำ เ้าควรจะขอบคุณข้า
มู่หรงฉิงทำอะไรไม่ถูก นี่เรียกว่าช่วยเสียที่ไหน? นี่เป็การทำให้นางตกเป็เป้าสายตามากกว่า เ้าไม่รู้หรือว่าตำแหน่งนี้ มีหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน้านั่งตรงนี้กี่คน?
ลอบถอนหายใจ เอาล่ะ เป้ยหนิงจะรู้ได้อย่างไร? นางสามารถพูดภาษาฮั่นได้เก่งถึงเพียงนี้ มันก็ไม่ใช่เื่ง่ายแล้ว
เนื่องจากยังมีเวลาอีกสองชั่วยามกว่าจะถึงเวลาทานอาหารกลางวัน จึงเป็่เวลาที่หญิงสาวหลายคนจะได้มีโอกาสแสดงความสามารถของตนเอง
ฮูหยินหลิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นสาวใช้ที่อยู่ใกล้ๆ ก็จัดแจงการแสดงความสามารถของทุกคน เฉินเทียนหยูไม่มีกะจิตกะใจที่จะดูการเป่า การดีด การสี และการร้องเพลงของเหล่าบุตรสาวขุนนางเ่าั้ นอกจากจดจ่ออยู่กับอาหารเลิศรสบนโต๊ะ
มู่หรงฉิงวิตกกังวลว่าเฉินเทียนหยูจะทักทายเป้ยหนิง ทั้งกลัวว่าเขาจะทำอะไรผิดพลาด ความคิดทั้งหมดของนางจึงอยู่ที่เขา สักพักหนึ่งคีบของว่างให้เขา และสักพักหนึ่งก็หยิบผลไม้ให้เขา
เป้ยหนิงไม่ค่อยชื่นชอบความสวยงามนิ่มนวลของคุณหนูเ่าั้ ทำให้นางรู้สึกง่วงมากยามดูการแสดง ถึงกระนั้นนางก็ไม่สามารถสูญเสียความเป็องค์หญิงได้ นางจึงแกล้งทำเป็สุภาพและถามมู่หรงฉิงถึงการปักสองด้าน
มู่หรงฉิงอธิบายให้คู่สนทนาฟัง แต่ในใจกลับรู้สึกตลกดี ด้วยอุปนิสัยของเป้ยหนิง ถ้านางสามารถนั่งลงและสนเข็มได้สักครึ่งชั่วยามจริงๆ คงเรียกได้ว่าเป็ปาฏิหาริย์แล้ว
“ไม่ทราบว่าของขวัญงานปักที่ฮูหยินน้อยเฉินพูดถึงในวันนั้น ฮูหยินน้อยเฉินได้คิดหรือยังว่าจะมอบงานปักลายอะไร?” ฮูหยินหลิงเห็นว่าทั้งสองกำลังพูดถึงงานปักสองด้านซึ่งดูเหมือนว่าเป้ยหนิงแค่้าหาหัวข้อสนทนา ขณะที่มู่หรงฉิงเองก็พยายามรับมือ ทำให้รู้ว่าสองคนนี้ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกัน
ฮูหยินหลิงยังคงแปลกใจที่เป้ยหนิงสามารถออกจากเรือนได้อย่างปลอดภัย ในเรือนนั้นมีผู้มีทักษะการต่อสู้ที่เก่งกล้าดั่งก้อนเมฆ ใครกันที่เป็คนช่วยนาง? หลังจากนางออกมาแล้ว นางก็ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นทำให้ฮูหยินหลิงซึ่งในตอนแรกดูถูกเป้ยหนิง กลับต้องมองเป้ยหนิงแตกต่างไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ฮูหยินหลิงเรียกชื่อของหมินฟู่[2]ก็ได้แล้ว สำหรับคำเรียกฮูหยินน้อยเฉิน หมินฟู่ไม่กล้าใช้” หลังจากพูดอย่างถ่อมตน นางก็พูดต่อ “หมินฟู่ได้วาดลวดลายไว้แล้ว และวันนี้ก็นำมาด้วย ข้าอยากจะขอคำแนะนำจากฮูหยินหลิง ถ้าเกิดฮูหยินหลิงไม่พอใจตรงไหน หมินฟู่จะเปลี่ยนใหม่”
หลังจากพูดจบ มู่หรงฉิงก็มองไปที่ชุ่ยเอ๋อร์ ผู้เป็บ่าวเข้าใจทันควันจึงรีบหยิบภาพที่เตรียมไว้แต่เนิ่นๆ ออกมาและส่งให้มู่หรงฉิง
ขณะมู่หรงฉิงกางภาพวาดออก สีหน้าของฮูหยินหลิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ดวงตาที่เงียบเหงาของนางกลับเป็ประกาย
ภาพแรกเป็ภาพป่าไผ่ มีทางเดินเล็กๆ ผ่านป่าไผ่ทะลุทะลวงไปไกลราวกับทอดยาวเข้าไปในท้องฟ้า ส่วนในภาพวาดที่สอง เป็ภาพวาดต้นสนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เห็นเพียงต้นสนต้นหนึ่งอยู่้า โดยมีหิมะสีขาวปกคลุมเป็ชั้นๆ มองปราดหนึ่งจะเห็นทุ่งหิมะกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
ขณะวาดภาพทั้งสองนี้ มู่หรงฉิงคิดตรึกตรองเกี่ยวกับมันเป็เวลานาน จากสายตาของนาง ฮูหยินหลิงคงจะไม่พอใจกับชีวิตปัจจุบันของตนเป็อย่างมาก ชีวิตที่ดูเหมือนสูงส่ง แต่ที่จริงแล้วกลับไม่พอใจในทุกส่วน ซึ่งอาจเป็สาเหตุสำคัญที่ทำให้อีกฝ่ายมีอุปนิสัยเ็า
การวาดไม้ไผ่นั้นเป็การชมเชยฮูหยินหลิงที่เข้มแข็งมีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรี นางสละครอบครัวเพื่อชาติบ้านเมือง ความเมตตาและความชอบธรรมเช่นนั้นเทียบไม่ได้กับคนสามัญชนธรรมดาทั่วไป
ไผ่ หมายถึง ความประเสริฐศรี มีจิติญญาและมีเสน่ห์ มีความอ้อนแอ้นอรชร อายุมั่นขวัญยืนไม่มีวันโรยรา บ่งชี้ถึงความเยาว์วัยอันเป็นิรันดร์ ความเยาว์วัยถูกนำเสนอด้วยไผ่ในฤดูใบไม้ผลิที่สูงสล้าง มีความสดใสและทันสมัยแต่ยังคงความสุภาพ สง่างามและอ่อนโยน ไผ่กลวงหมายถึง ความสุภาพเรียบร้อย ความอ่อนน้อมถ่อมตน การดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง ไม้ไผ่มีลักษณะโค้งแต่ไม่งอ งอแต่ไม่หัก หมายถึง คนที่มีอุปนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล แต่ภายในเข้มแข็งซึ่งเป็หลักการดำเนินชีวิตของคน มีความตั้งใจและความสนใจที่ก้าวไกล มีความแข็งแกร่งท่ามกลางลมและหิมะ และยังคงยืนหยัด ท่อนไม้ไผ่ต้องเปิดเผย หน่อไม้ยกสูง หมายถึง เข้มแข็งมีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรี มีศีลธรรมอันสูงส่ง ไม่หยาบคาย ไม้ไผ่มีปล้องอันเป็สัญลักษณ์แห่งคุณธรรม
ไม่ว่าผู้ใดย่อม้าครอบครัวที่เรียบง่ายและมีความสุข แต่ท้ายที่สุดเพราะอยู่ในราชวงศ์ เื่การแต่งงานจึงไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตนเอง ต่อให้ฮูหยินหลิงมีความคับข้องใจ ถึงกระนั้นนางก็ยังต้องทำตัวให้ดูน่าเกรงขาม
ต้นไผ่นี้นับได้ว่าเป็การชมเชยฮูหยินหลิง
--------------------------
[1] ดนตรีประเภทไหมและไผ่ เป็เครื่องดนตรีที่ประกอบด้วย (ซอเอ้อร์หู ผีผาและขลุ่ย) ซึ่งเป็วงดนตรีพื้นบ้านของเจียงหนาน
[2] หมินฟู่ สตรีสมาชิกในครอบครัวสามัญชนธรรมดาเรียกแทนตนเองเวลาสนทนากับบรรดาสมาชิกในราชวงศ์