“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน...” จินชื่อเหรินโมโหหนัก ยังอยากต่อปากต่อคำ
“ทุกท่านโปรดใจเย็นลงก่อนเถิด ใจเย็นๆ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดีกว่าไหม” ลัวจิ้นเข้ามาปราม เขายกมือประสานแล้วยิ้มให้เ่ิู “หลานเย่ เื่มันก็นานแล้วนะ เ้าอาจเข้าใจผิดได้ เ้าอย่าเครียดนักเลย ต้องเป็เพราะตอนนั้นเ้ายังเด็กไม่รู้ประสาล่ะมัง วันนี้เ้ามาแล้ว เรามาคุยกันเื่อื่นดีกว่านะหลาน...”
“ไม่มีอะไรน่าคุยหรอก” เ่ิูเยื้องย่างไปหน้าหน้าต่างๆ แช่มช้า หันหลังให้ทุกคนหลังจากนั้นก็เปิดบานหน้าต่าง เฝ้ามองผู้คนเดินกันขวักไขว่เบื้องล่างแล้วเอื้อนเอ่ย “ประโยคเดียว ทุกอย่างที่เ้ากินของตระกูลเย่ไป จงคายออกมาให้หมด เอาทุกสิ่งที่เป็ของตระกูลเย่คืนข้ามา ข้าก็จะไม่บังคับขืนใจอะไรมากมาย บุญคุณความแค้นก็ให้มันสิ้นสุดไปเสีย...”
“ถุย เอ็งคิดว่าเอ็งเป็ใคร ไอ้สวะ บ้าไปแล้วหรือไร...” ชายอ้วนจินทนไม่ไหว เขาตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นมาอีกรอบ ตวาดลั่นทั้งสีหน้าเย็นเยือก “พี่ใหญ่ ท่านก็เห็นแล้วนี่ ไอ้เด็กนี่มันเหยียบจมูกขึ้นหน้ากันชัดๆ ข้าจะไม่ยอมมันหรอก อยากจะลองดูสักทีว่าจะมีปัญญาทำอะไรข้าได้!”
“เหล่าจิน ค่อยพูดค่อยจากันเถอะ...” ลัวจิ้นวางมาดแนะนำอย่างรีบร้อน
“ไม่มีทางคุยกันดีๆ ได้หรอก ข้าเป็ใคร? เฮ้ยๆ ไม่ฟังความอะไรดีๆ ทั้งนั้นโว้ย กระทบกระเทียบใส่หัวข้าไปแล้ว ไม่รู้เป็รู้ตายจริงไอ้เด็กนี่ เศษเดนขนยังไม่ทันขึ้น กล้าข่มขู่ข้า? ถุย!”
เ้าอ้วนจินพูดพลางยกเท้าจะก้าวออกข้างนอก
เมื่อเดินมาถึงข้างเ่ิู เขาก็ฉีกยิ้มชั่ว “ไอ้หนุ่ม ยุทธจักรไม่ใช่ที่ให้แกปั่นป่วน ถ้ามีวาสนามาที่โรงเหล็กเหลียนเฟิงของข้า พูดสิ่งที่เอ็งเพิ่งพูดไปอีกแค่ครั้งเดียว ข้าจะทำให้เอ็งรู้ ว่าคำว่าตายมันสะกดอย่างไร!”
เอ่ยจบแล้วก็เดินนำยอดฝีมือสองคนจะจากไป ร่างเ้าเนื้อเดินมาถึงหน้าบันได เตรียมจะก้าวลงชั้นล่าง
เ่ิูหันหน้าไปหา เขาเหยียดยิ้มพลางเอ่ย “ในเมื่อเป็อย่างนี้...ตอนนี้ข้าก็จะทำให้เ้ารู้ ว่าคำว่าตายมันสะกดอย่างไร”
ยกแขนขวาขึ้นกลางอากาศ ดูดเข้ามาเพียงเบาบาง
ร่างอ้วนเหมือนูเาเนื้อพลันหกคะเมนตีลังกากลับมา แผดเสียงร้องลั่น ถูกอากาศว่างเปล่าดูดร่างจนหลังติดกับฝ่ามือเ่ิูประหนึ่งกาวทา
“เอ็ง...ปล่อยข้า...” ชายอ้วนจินมือเท้าเปะปะไปทั่ว เขาตะเกียกตะกายสุดชีวิต ทว่านั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย จึงตะเบ็งอย่างอับอายและโกรธเกรี้ยว
“ไอ้เด็กนี่บังอาจ!”
“ปล่อยนายข้าเดี๋ยวนี้!”
นักยุทธ์ฝีมือดีสองคนที่ติดตามชายอ้วนจินมาด้วยรีบลงมือตอบโต้ กระโจนเข้ามากับอากาศไวเหมือนสายฟ้า วาดมือพาลมกรรโชกสะท้านะเื ราวกับวายุโหมพัดรุนแรง พลังกายไม่ธรรมดาแน่
เ่ิูเผยยิ้มบาง ยกมือซ้ายขึ้นดันอากาศออกไปเบาๆ
สายลมหยุดกึก
ยอดฝีมือสองคนลอยคว้างกลางอากาศ ทว่ากลับสำลักลมออกมา เืสดหลั่งทะลักจากมุมปาก ถูกพลังมหาศาลไร้รูปร่างโจมตีจนพลัดร่วงลงกระแทกพื้น ส่วนอกของชุดยาวเห็นเป็รอยมือยุบลงไป นอนแผ่หลาไม่อาจฝืนลุกขึ้นมาได้อีก
“ฝ่ามืออณูดาว!”
“เ้า...”
ทั้งคู่ร่ำร้องทั้งกระอักเื
ฝ่ามืออณูดาวไม่ใช่วิชายุทธ์สูงส่งอะไร ทว่าด้วยวิธีโจมตีของกำลังภายในทั่วไป พวกเขาต้องรับมือได้แน่ แต่กับเ่ิูที่แสดงออกมาตามอำเภอใจเช่นนี้ ไม่มีเปลวเพลิงหรือควันแม้เพียงนิด ทำร้ายไร้รูปร่าง ชัดเจนว่าเชี่ยวชาญถึงที่สุด
แค่นับจุดนี้จุดเดียว ทั้งคู่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามิใช่คู่ต่อสู้เลย
แซ่ดๆ!
ในที่สุดคนผู้นั่งอยู่บนโต๊ะใหญ่ก็ลุกขึ้นยืน แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยน มันบึ้งตึงด้วยความโกรธ
“หลานเย่ มีเื่อะไรค่อยๆ คุยกันเถอะ อย่าใช้กำลังเลย อย่าใช้กำลังเลยนะ... ” ลัวจิ้นยังคงพยายามทำหน้าที่เป็ผู้ใหญ่แสนดี
“ไอ้เด็กเวรบรรลัย ปล่อยข้า ปล่อยข้าสิวะ เอ็งกล้าทำแบบนี้กับข้า เอ็ง...” ชายอ้วนจินร้องโวยวายเสียงเฉียบขาด
“ข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียที ว่าทำไมถึงมีกลุ่มคนที่เห็นกันอยู่จะๆ ว่าชีวิตตัวเองอยู่ในกำมือคนอื่นแล้ว แต่ยังกล้าวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่อีก” ใบหน้าเ่ิูอาบเคลือบด้วยการเยาะเย้ย “เ้าบอกว่าข้าสวะนี่ ทำไมไม่กล้าเล่า?”
“หลานรัก อย่าใจร้อนเลยนะ รีบปล่อยเขาเถอะ อย่าได้ฆ่าเขาเลย หากเ้าฆ่าคน เ้าจะรับผิดชอบไม่ไหวเอานา...” ลัวจิ้นปรามอย่างเร่งร้อน ทว่าในคำพูดนั้นกลับมีเจตนาชั่วช้าแอบแฝง
เ่ิูชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “ผ่านไปสี่ปีแล้ว เ้าก็ยังเป็ไอ้ชั่วหน้าเนื้อใจเสืออยู่เหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าอยากให้ข้าฆ่าเขาหรอกหรือ?”
ลัวจิ้นตะลึงไป แล้วรีบยิ้มในบัดดล “หลานรักเ้าเข้าใจผิดแล้ว...”
ยังไม่ทันพูดจบ ชายเ้าเนื้อก็โหวกเหวกเสียงแหวขึ้นมาอีกครั้ง “ไอ้เศษเดน ข้าแนะให้เอ็งเอาบุญว่าปล่อยข้าเสีย เฮ้ยๆ ชีวิตนี้อย่าริคิดจะเอาโรงเหล็กเหลียนเฟิงกลับคืนไปได้ หากเอ็งยอมปล่อยข้าดีๆ แล้วกราบขอร้องข้าซะ ข้าก็ไม่ตอแยเอ็ง ไม่งั้นแล้ว ต่อหน้าคนในที่นี้ทั้งหมด หากเอ็งทำร้ายข้าแม้แต่ปลายเล็บ ก็อย่าคิดจะได้กลับออกไปเป็ๆ...”
เอ่ยยังไม่ทันจบ
เ่ิูใช้มือขวายึดเขาไว้ตรงไปยังหน้าต่าง ปล่อยออกเล็กน้อย ชายอ้วนร่างเหมือนูเาเนื้อก็ถูกโยนดิ่งจากบานหน้าต่างชั้นสาม...
“หยุดนะ!”
“อย่า...”
“ไอ้หนุ่มเ้ากล้านัก!”
หมู่ชนตะลึงงัน มีคนะโออกมา ทว่าทุกอย่างก็ทำลงไปแล้ว
เสียงกรีดร้องสิ้นหวังของชายอ้วนดังยาวนานขึ้นทุกที พริบตาเสียงของหนักตกกระทบพื้นก็ดังสนั่น เสียงร้องลั่นแล้วหยุดลง ที่ตามมากลับเป็เสียงอุทานและเสียงกรี๊ดของคนเบื้องล่างแทน!
เ่ิูยื่นหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง
ข้างถนนด้านล่างนั้น ชายอ้วนจินผู้ไม่เป็วรยุทธ์ ประหนึ่งถูกบดเป็ก้อนเนื้อ เืสดอาบเป็สาย แขนขายังกระตุกไม่หยุด เบิกตาโตใหญ่ที่ยังเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อและตระหนกถึงที่สุด แม้ยามใกล้สิ้นใจเขาก็ยังไม่อยากเชื่อ ว่าเ่ิูจะกล้าฆ่าเขาจริงๆ!
ห้องโถงชั้นสามนั้น เงียบงันเป็ป่าช้า
ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ สีหน้าไม่อาจปิดบังความตะลึงลานเอาไว้ได้
พวกเขาไม่เคยนึกไม่เคยฝัน ว่าบุรุษที่ท่าทีเป็มิตรไมตรีนี้ เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกพวกเขาปอกลอกทุกสิ่งทุกอย่างมาเมื่อสี่ปีก่อน ทั้งๆ ที่ยังพูดพร้อมรอยยิ้มก็ลงมือฆ่าคนแล้ว สบายๆ เหมือนฆ่ากระต่ายหรือเชือดหมูอย่างไรอย่างนั้น!
เ่ิูมองทุกชีวิตตรงหน้า เหมือนนึกสิ่งใดออกขึ้นมา ใบหน้านั้นเผยความหฤหรรษ์เด่นชัด
“ข้าเพิ่งนึกเื่ตลกเื่หนึ่งออก หากมีเ้าอ้วนคนหนึ่ง ไม่ทันระวังพลัดหล่นจากชั้นสามลงไป แถมยังไม่เป็วรยุทธ์ด้วย จะกลายเป็อย่างไรกันนะ?” เ่ิูถามทั้งหัวเราะฮี่ๆ
ทุกคนชะงักนิ่ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงถามคำถามนี้
เมื่อพริบตาต่อมาเริ่มมีคนคิดคำตอบ เช่นอาจเป็ก้อนเนื้อ ซากเนื้อ ศพหรืออื่นๆ ก็ได้ยินคำตอบคำถามตัวเองของเด็กหนุ่มแล้ว “ฮ่าๆๆ แน่นอนล่ะว่าต้องเป็...เ้าอ้วนตายแล้ว!”
มีคนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
ลัวจิ้นสีหน้าเริ่มลำบากใจ
เขาเพิ่งรู้สึกว่าตนคาดการณ์อะไรผิดไป ไม่ได้พบพานมาสี่ปี เด็กหนุ่มตรงหน้านี้กลับเปลี่ยนแปลงเป็คนละคน คนตรงหน้านี้ยังใช่คุณชายสูงศักดิ์ที่อ่อนแอ ช่างยิ้ม จิตใจดีฟุ้งเฟ้อ ใครจะรังแกก็ได้หรือเปล่า?
ทำไมเขาที่แย้มยิ้มละมุนละไมอยู่นี้ ตนกลับมองเห็นเป็าาปีศาจ เดรัจฉานดุร้ายฆ่าคนได้อย่างเืเย็น ไม่ลังเลเลยสักนิดเล่า?
ถังซานที่มาพร้อมเ่ิูก็อึ้งงัน
นึกว่าจะเป็การพูดคุยปรองดองกันเสียอีก กระทั่งตอนเขาเห็นพวกคนที่ชั้นหนึ่งและชั้นสอง จนรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายตระเตรียมอาวุธและไพร่พลไว้พร้อมสรรพแล้ว หากนายท่านจะมีอันตรายในคราวนี้ ถึงอาจต้องคุกเข่าแทบพื้นเพื่อปกป้องนายท่านเขาก็ไม่ลังเลเลย...
ทว่านายท่านกลับ้าชีวิตชายอ้วนจินทั้งที่คุยกันพินอบพิเทานัก
ถังซานไม่อาจตอบสนองอะไรได้ทัน
เขารู้แล้ว ว่าคราวนี้เื่ใหญ่แน่
นายท่านยังเด็กเกินไป วู่วามเกินไปแล้วกระมัง
ถังซานรีบดึงสติที่ลอยไปจะเป็ต้นหญ้ากลับมาดังเก่า ตรงเข้ากันนายท่านไว้ด้านหลัง จักอธิบายไกล่เกลี่ยเื่ราวทั้งหมด ทว่ายามนี้เองที่คนอื่นในห้องเริ่มิญญากลับเข้าร่าง ฟื้นตื่นจากความตระหนกแล้วสะท้อนกลับมา
“บังอาจมาก กล้าฆ่าคนกลางถนน!”
“กำเริบเสิบสานยิ่งนัก กำเริบเสิบสาน เป็ศิษย์สำนักกวางขาวแล้วอย่างไรวะ? ถึงขั้นไม่เห็นหัวกฎหมายอาณาจักรเสวี่ยได้เลยไหม?”
“ฮึ วันนี้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตข้าก็จะไปรายงานที่สำนักเ้าเมือง อันธพาล!”
มีคนข่มขู่จะเอาเื่ พวกเขาตวาดลั่นอย่างกริ้วโกรธ
ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!
นักยุทธ์เหล่าที่เป็ข้ารับใช้ชักอาวุธออกมา ทั้งหมดลุกขึ้นยืน แผ่รังสีดุร้ายออกมาแล้วโอบล้อมเ่ิูไว้จากรอบทิศทาง
เสียงขึ้นบันไดตึกตักจากด้านล่าง
ทหารที่สวมเกราะครบเครื่องก็ชักศาสตรา วิ่งจากชั้นสองมายันหัวบันไดชั้นสาม อัดแน่นกันอยู่กะไม่ให้น้ำไหลผ่าน รังสีสังหารตลบอบอวล
“เ่ิู สายตาเ้าไม่มีกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในหัว ฆ่าคนไร้ปรานี ยังไม่รีบมอบตัวอีก!” ชายกลางคนใบหน้าอันตรายตะคอกลั่นด้วยอารมณ์
ชายผู้นี้คือเนี่ยอิ่น เป็เ้าของโรงศิลปะการต่อสู้ทิงเทาซวน แล้วก็เป็หนึ่งในเป้าหมายของเ่ิูด้วย
ทิงเทาซวนเมื่อก่อนก็เป็กิจการของตระกูลเย่ที่ผู้เป็บิดาบุกเบิกขึ้นมากับมือ ตอนนั้นเนี่ยอิ่นเป็ประธานอาจารย์ของโรงศิลปะการต่อสู้ แสดงท่าทีขยันขันแข็ง ทว่าเมื่อบิดาตายจากในสนามรบ เขาก็รีบฮุบกิจการไว้เสมือนเป็ของตัวเอง กำจัดพวกที่ไม่เห็นด้วย ประหัตปะาอาจารย์ที่ภักดีต่อตระกูลเย่ วิธีการสกปรกหยาบช้ายิ่ง
เนี่ยอิ่นถือว่าตนควบคุมกำลังภายในได้ ใจถึงมิได้หวาดกลัวนัก จนกล้ายืนประณามเ่ิู
เด็กหนุ่มเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยเยียบเย็น “เ้าก็อยากตายใช่ไหม?”
เพียงแววตาเดียวเท่านั้น เนี่ยอิ่นพลันกลัวจับจิต ความครั่นคร้ามเกาะกุมใจอย่างไร้ที่มา เขาหายใจติดขัด ไม่กล้าอ้าปากพูดอะไรอีกเลย
เ่ิูเคลื่อนสายตาไปตกอยู่ที่ลัวจิ้นผู้แย้มยิ้มพึงใจอยู่ เด็กหนุ่มว่า “ดูยิ้มชั่วช้าอันตรายของเ้าสิ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามันยิ้มของพวกต่ำช้าระยำ แต่เสแสร้งทำเป็เด็ดเดี่ยว องอาจ ทำมานานขนาดนี้ เหนื่อยหรือเปล่า...”
ลัวจิ้นผู้ไม่เคยถูกใครเหยียดหยามมาก่อนพลันหน้าเปลี่ยนสี “หลานเ้า...”
“ถ้ายังขืนเรียกข้าว่าหลานอีก เชื่อไหมว่าข้าจะเชือดคอเ้าทันที?” เ่ิูแววตาน่าครั่นคร้ามประหนึ่งดาบพุ่งเสียดแทง เขาเขม็งมองลัวจิ้นไม่กะพริบ ประหนึ่งสัตว์ร้ายาที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อในพริบตาที่กล้าขยับเขยื้อน
ลัวจิ้นใจเต้นตึกตัก ความกลัวแลบแล่นจากไขกระดูกไปถึงขั้วหัวใจแทบจะะเิสมองเขาเป็เสี่ยงๆ ความหวาดหวั่นที่เขาไม่เคยเผชิญมาก่อนกำลังจ่อมจมเขามิดตัว
ตลอดมานี้ไม่ว่าจะพบพานคนน่ากลัวพรรค์ไหน ลัวจิ้นก็เชื่อนักว่าหากเจอลิ้นทองเหมือนสาลิกาของเขาไป ก็มีสิทธิ์พูดโน้มน้าวอีกฝ่ายได้ อย่างน้อยก็ไม่มีทางกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะพูดแน่