ครานี้เสิ่นซือหยางนำทหารมาหนึ่งกองอย่างครึกโครม
สถานการณ์เช่นนี้คือการ้าปิดูเานี่ ดูเหมือนว่าต่อให้ต้องขุดลงไปสามฉื่อก็ต้องหาแมวขาวออกมาให้ได้
มู่จื่อหลิงเดาว่า ต่อให้เสี่ยวหลีจื่อผู้นั้นมีจิตใจดีฝังแมวขาว เขาคงไม่เข้าไปในป่ารกแน่ และคงไม่ฝังไกลเท่าใด โดยรอบป่าที่ปกคลุมไปด้วยสายหมอกนี้คงหาได้ง่าย
หากเสี่ยวหลีจื่อจัดการอย่างขอไปที โยนแมวขาวไปบริเวณรอบป่ารกแห่งูเาด้านหลังแห่งนี้ พวกเขาจะหาขึ้นมาก็คงยากเสียยิ่งกว่ายาก
ได้ยินหลงเซี่ยวเจ๋อพูดว่าป่าทีู่เาด้านหลังแห่งนี้เมื่อตกดึกก็จะมีสัตว์ร้ายออกมาเพ่นพ่าน หากแมวขาวถูกทิ้งไปอย่างสุ่มๆ จริง ร้อยทั้งร้อยต้องถูกลากไปกัดกินแน่
หากเป็เช่นนี้จริงสิ่งที่พวกเขาต้องหาก็ไม่ใช่แมวขาวแล้ว แต่เป็สัตว์ร้ายที่กินแมวขาว
สัตว์ร้ายดุร้ายแต่กำเนิด แยกเขี้ยวยิงฟันอย่างสัตว์เดรัจฉาน
หาสัตว์ร้าย? นั่นมิใช่รนหาที่ตาย?
แมวขาวตายไปแล้วจึงหาง่าย ไม่ต้องพูดถึงสัตว์ร้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ และยังลึกลับซับซ้อน หากถูกฝูงสัตว์แบ่งกันกินเป็อาหาร หนึ่งแพร่สิบสิบแพร่ร้อย กู่ปรสิตก็จะกำเริบในตัวของสัตว์ร้าย เช่นนั้นก็ไม่ได้การแล้ว
เช่นนั้นจะทำให้สัตว์ร้ายที่ดุร้ายอยู่แล้ว ยิ่งทวีคูณความดุร้ายขึ้นไปอีก
ในเมื่อฮองเฮาชิงฆ่าคนปิดปากเสียก่อน ย่อมต้องคิดมาหาแมวขาว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮองเฮาคาดไปถึงว่ากู่ปรสิตจะแพร่เข้าสู่สัตว์ร้ายหรือไม่ และถ้าคาดไว้แล้วนางจะใช้วิธีใดไปค้นหา?
หน้าผาสูงชันปราศจากหญ้า เงยสายตาขึ้นไปมองก็มีแต่โล้นโกร๋น นอกจากหินแล้วก็หิน ดินหรือทรายสักกองก็ไม่มี ดังนั้นพวกนางจึงมองข้ามหน้าผาสูงชัน มุ่งเป้าหมายไปที่ป่าสายหมอก
ป่าสายหมอกมีหมอกสีขาวลอยอ้อยอิ่ง ไอหมอกหนาทึบ ปกคลุมป่าทั้งผืน ระดับการมองเห็นต้นไม้ใบหญ้าต่ำยิ่งนัก หากมิใช่คนที่คุ้นเคยกับพื้นที่เข้าไป ต้องหลงทางแน่
มู่จื่อหลิงนำความคาดเดาของตนเองไปบอกพวกเสิ่นซือหยาง ให้พวกเขากลุ่มหนึ่งไปหาบริเวณโดยรอบป่า
หากหาไม่เจอจริงๆ เช่นนั้นก็มีเพียงความเป็ไปได้ที่สองแล้ว แมวขาวถูกสัตว์ร้ายกินเข้าไป
ถ้าเป็เช่นนี้จริงๆ พวกเขาได้แต่ย้ายเป้าหมายไปตั้งไว้ที่สัตว์ร้าย
“ตอนนี้เป็ยามเที่ยงแล้ว เหตุใดหมอกในป่าแห่งนี้ถึงยังไม่หายไป?” มู่จื่อหลิง วางมือข้างหนึ่งระหว่างคิ้วเพื่อบังแดดที่แผดเผา มองไปยังป่าหมอกที่อยู่ข้างหน้าถามด้วยความสงสัย
เดิมทีนางคิดว่าเพราะเป็เช้าตรู่ป่าหมอกแห่งนี้จึงมีหมอกหนาทึบ แต่ยามนี้ก็จะเที่ยงวันแล้ว ดวงอาทิตย์ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง ไอหมอกก็ไม่มีวี่แววว่าจะหายไป
“พี่สะใภ้สาม นั่นมิใช่หมอก เป็ควันขาวไร้กลิ่น แสงอาทิตย์ก็ไล่ไปไม่ได้ ควันขาวดูแล้วเหมือนหมอก ดังนั้นจึงทำให้คนเรียกว่าป่าสายหมอก” หลงเซี่ยวเจ๋อยืนอยู่ข้างมู่จื่อหลิงยื่นมือของตนออกมา พัดให้มู่จื่อหลิงอย่างประจบ
เรียวคิ้วมู่จื่อหลิงขมวด ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ควันหมอก? ถ้าหมอกมิอาจหายไปได้ การค้นหาของพวกเราคงยากเสียยิ่งกว่ายาก”
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสัตว์ร้ายที่หายาก เมื่อผนวกกับหมอกที่ยังไม่หาย นี่ไม่เท่ากับว่างมเข็มในมหาสมุทรหรือ?
เดิมคิดว่าเป็เพียงเื่ง่ายๆ เหตุใดยิ่งทำก็ยิ่งยุ่งยากซับซ้อนเล่า
“หวางเฟย ยามนี้บริเวณโดยรอบหาได้พอประมาณแล้ว ได้แต่ต้องเข้าไปหา เพียงแต่...” เสิ่นซือหยางขมวดคิ้วน้อยๆ หยุดพูดไปดื้อๆ
พวกเขาหาบริเวณโดยรอบชายป่ามาค่อนวันแล้ว หาเกือบทั่วแล้ว ดูท่าจะเป็ความเป็ไปได้ข้อที่สองที่หวางเฟยพูดจริงๆ ได้แต่เข้าไปหาสัตว์ร้ายในป่าสายหมอก
การจะหาสัตว์ร้ายนี้ ยากแล้ว!
มู่จื่อหลิงย่อมรู้คำพูดด้านหลังที่เสิ่นซือหยางยังพูดไม่จบ เป้าหมายเล็งไปที่สัตว์ร้าย นอกจากนางและเสี่ยวไตกูที่สามารถหาที่อยู่ของกู่ปรสิตได้ ต่อให้มีทหารมากมายก็หาไม่พบ
“ใต้เท้าเสิ่น เปิ่นหวางเฟยยังมีเื่อื่นที่ต้องทำ เสี่ยวไตกูนี่มอบให้ท่านก่อน มันสามารถดมกลิ่นได้ ท่านนำกลุ่มคนล่วงหน้าเข้าไปหา ระมัดระวังด้วย!” มู่จื่อหลิงสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ล้วงกล่องขนาดเล็กของเสี่ยวไตกูออกมาเปิดมอบให้เสิ่นซือหยาง
เดิมนางคิดว่าวันนี้จะค้นหาแมวขาวได้อย่างราบรื่น แต่ตอนนี้ปัญหายิ่งเปลี่ยนเป็ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีทางหาเจอได้ในชั่วครู่ชั่วคราวแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้นางก็ต้องไปสวนจิ้งซิน บัดนี้ได้แต่จัดการเช่นนี้ไปก่อน
“นี่ นี่ไม่ได้เด็ดขาด!” ใบหน้าซื่อตรงของเสิ่นซือหยางฉายแววลังเลใจ ไม่ได้ยื่นมือไปรับ
เขากับเด็กสาวผู้นี้เพิ่งรู้จักกันเพียงเวลาสั้นๆ ไม่เกินสองวัน นางก็เชื่อใจเขาขนาดนี้แล้ว? จู่ๆ มอบคางคกม่วงที่ล้ำค่าเช่นนี้ให้เขา ไม่กลัวว่าเขาจะยึดเป็ของตนเองหรือ?
มู่จื่อหลิงเห็นใต้เท้าเสิ่นผู้สัตย์ซื่อมือสะอาดปฏิเสธอย่างไม่ลังเล ก็ดูเหมือนจะรู้ว่าในใจเขาคิดสิ่งใดอยู่
ในใจนางขบขันขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ทว่าสีหน้ากลับจริงจังเคร่งขรึม พูดออกไปสามคำทันที “ทำได้ไหม?”
ต่อให้เสิ่นซือหยางคิดจะยึดเสี่ยวไตกูไปเป็ของตนเอง เขาสามารถมีชีวิตมารับพิษทุกชนิดที่เสี่ยวไตกูปล่อยออกมาหรือไม่เล่า
เด็กสาวฉลาดเฉลียวผู้นี้!
ใบหน้าเคร่งขรึมไม่ยิ้มแย้มของเสิ่นซือหยางในที่สุดก็ปรากฏรอยแตกร้าว สบตากับมู่จื่อหลิง ราวกับรู้อยู่แก่ใจ ยื่นมือออกไปโดยปราศจากความลังเล แล้วเสี่ยวไตกูก็ะโขึ้นมาบนมือเขาอย่างเชื่อฟัง
เมื่อวานมันกินกู่ปรสิตไปมากมาย สุดท้ายกินจนพลาดงานใหญ่ของนายน้อยไป วันนี้มันต้องแสดงออกให้ดีๆ ช่วยนายน้อยหาสิ่งนั้นออกมา ในระบบซิงเฉินยังมีกู่ควบคุมใจมากมายรอมันอยู่
มู่จื่อหลิงเขย่งปลายเท้าโน้มตัวเข้าไปใกล้หูเสิ่นซือหยางกระซิบว่า “ใต้เท้าเสิ่น เสี่ยวไตกูไม่เพียงแต่รักษากู่ได้ แต่ยังถอนพิษได้ หากพบอันตรายที่ยากคลี่คลายล่ะก็...”
เสิ่นซือหยางได้ยินคำพูดนี้ก็ตื่นตะลึง มุมปากกระตุกไปพักหนึ่ง หากเขามีใจโลภคิดฮุบคางคกม่วงจริงๆ ก็ต้องมีชีวิตไว้ละโมบด้วย!
จากนั้น เสิ่นซือหยางก็นำทหารกองหนึ่งเข้าไปในป่าสายหมอก มู่จื่อหลิงไม่ได้เข้าไป และหลงเซี่ยวเจ๋อก็ไม่มีทางเข้าไป
“หลงเซี่ยวเจ๋อ วันนี้เ้าไม่ได้ร่ำร้องจะมาูเาด้านหลังหรือ เหตุใดจึงไม่ตามพวกเสิ่นซือหยางเข้าไป?” มู่จื่อหลิงสองมือกอดอก เงยหน้า เหลือบมองหลงเซี่ยวเจ๋อที่กำลังใช้มือพัดให้นางอย่างประจบประแจงอย่างไม่ใส่ใจ
หลงเซี่ยวเจ๋อยิ่งพัดแรงขึ้นไปอีก ปากไม่ตรงกับใจ พูดอย่างออดอ้อน “พี่สะใภ้สาม ข้าอยู่มาทั้งเช้าแล้ว ทั้งอบอ้าวทั้งร้อน ไม่สนุกสักนิด ข้าจะไปหาเื่สนุกเล่น”
ไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสออกจากวัง เขาไม่คิดจะกลับไป หากกลับไปอีกก็ออกมาไม่ได้แล้ว
มู่จื่อหลิงค้อนใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย ไร้สาระอีกแล้ว!
“พี่สะใภ้สาม ข้าไปก่อนล่ะ ในเมื่อท่านมีธุระ ข้าก็ไม่ตามไปแล้ว” หลงเซี่ยวเจ๋อทนรอไม่ไหวที่จะไปหาความสำราญแล้ว
สิ้นคำพูด เขาก็วิ่งไปเองราวกับควันสายหนึ่ง วิ่งไปพลางหันศีรษะกลับมาอย่างกระตือรือร้น เตือนมู่จื่อหลิง “พี่สะใภ้สาม จำไว้ว่าวันนี้เป็ท่านที่เรียกข้าออกมา อย่าลืมเสียเล่า”
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วน้อยๆ รู้สึกขึ้นมาจริงๆ แล้วว่าตนตกหลุมพราง
ทำไมหมอนี่ต้องย้ำเื่นี้อยู่ตลอด?
ยังมีกล่าวว่านางไปเรียกหลงเซี่ยวเจ๋อออกมาตอนไหน? ทั้งๆ ที่เขาออกมาเองชัดๆ
-
มู่จื่อหลิงตัดสินใจว่าจะกลับไปที่จวนฉีอ๋องก่อนสักเที่ยว แล้วค่อยไปสวนจิ้งซิน หวังว่าหลงเซี่ยวอวี่จะอยู่ในจวน นางยังต้องถามว่าเล่อเทียนอยู่ที่ใด อาการป่วยของหลี่เอินตึงมือยิ่งนัก นางเพียงลำพังไร้หนทางสำเร็จได้
เมื่อกลับถึงจวนฉีอ๋องนางก็วิ่งถลาไปที่ตำหนักอวี่หาน ผลักประตูตำหนักด้านในออก
มู่จื่อหลิงหาในตำหนักด้านในรอบหนึ่ง ด้านในว่างเปล่า และไม่เห็นหลงเซี่ยวอวี่ จึงขุ่นเคืองขึ้นมาโดยพลัน
“สมควรตาย! เหตุใดจึงไม่อยู่อีกแล้วเล่า?” มู่จื่อหลิงบ่นอย่างไม่พอใจ สะบัดชายแขนเสื้ออย่างขุ่นเคืองแล้วออกจากตำหนักใน
รู้อย่างนี้ เมื่อเช้าก่อนนางออกจากจวนถามให้ชัดเจนก่อนก็ดี ล้วนต้องโทษเื่เมื่อคืน... คิดแล้วก็น้อยเนื้อต่ำใจจนอยากตายนัก
มู่จื่อหลิงสีหน้ากลัดกลุ้ม ก้มหน้าก้มตาเดินออกมาจากตำหนักอวี่หานอย่างท้อแท้ใจ
หรือว่ายามนี้ต้องไปหาท่านหมอตามท้องถนนมาช่วย?
อาการป่วยของหลี่เอินไม่ใช่อาการป่วยทั่วไป รักษาได้ไม่ง่ายแม้แต่น้อย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่แพทย์ที่หาได้จะเชื่อถือได้หรือไม่ ความสามารถในการรักษาเข้าขั้นหรือไม่ ก็เป็ปัญหา นางจะวางใจได้อย่างไร?
“ข้าน้อยคารวะหวางเฟย!” กุ่ยหยิ่งมาปรากฏตัวตรงหน้ามู่จื่อหลิงอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
เมื่อได้ยินเสียงนี้ มู่จื่อหลิงก็สลัดดวงตาท้อแท้ออกไป เงยหน้าขึ้นทันที และถามด้วยความยินดีว่า “กุ่ยหยิ่งเ้ายังอยู่นี่ เ้ารู้หรือไม่ว่าเล่อเทียนอยู่ที่ใด”
เล่อเทียน?
กุ่ยหยิ่งคิดว่าตนเองฟังผิดไป เหตุใดหวางเฟยไม่ถามว่านายท่านอยู่ที่ใด แต่ถามถึงเล่อเทียน?
“นายท่านอยู่ที่ศาลากลางน้ำ” กุ่ยหยิ่งตอบไม่ตรงคำถาม
“นายท่านอันใด? เล่อเทียน!” คราแรกมู่จื่อหลิงยังตอบสนองไม่ทัน ต่อมาจึงถามอย่างใว่า “เ้าบอกว่าหลงเซี่ยวอวี่อยู่ที่ศาลากลางน้ำ?”
หวางเฟยกล้าเรียกนามของนายท่านตรงๆ?
“ขอรับ!” ในใจกุ่ยหยิ่งมีเหงื่อเย็นเยียบไหลออกมา แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยน
“แล้วเ้ารู้หรือไม่ว่าเล่อเทียนอยู่ที่ใด?” มู่จื่อหลิง้าไปหาเล่อเทียนมิใช่หลงเซี่ยวอวี่ หากกุ่ยหยิ่งรู้ว่าเล่อเทียนอยู่ที่ใด เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องเสียเวลาไปหาเ้าคนบ้าอำนาจนั่นอีก
แต่ว่า...
“ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ!” กุ่ยหยิ่งก้มหน้าตอบอย่างส่อพิรุธ เขารู้ว่าเล่อเทียนอยู่ที่ใด แต่เื่ที่นายท่านมิได้สั่งไว้ เขาไม่กล้าพูดไปมั่วซั่ว
“ไม่รู้จริงๆ หรือ?” มู่จื่อหลิงลูบคาง มองกุ่ยหยิ่งอย่างหวาดระแวง แววตาดูเหมือนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ไม่มีทาง กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยมิใช่องครักษ์ประจำตัวหลงเซี่ยวอวี่หรือ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเล่อเทียนอยู่ที่ใด? หากบอกว่าคนอื่นๆ ในจวนอ๋องไม่รู้นางคงเชื่อ กุ่ยหยิ่งจะไม่รู้ได้หรือ?
“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ!” กุ่ยหยิ่งยังคงก้มศีรษะแสร้งทำเป็มั่นอกมั่นใจ ไม่กล้าทำให้มู่จื่อหลิงดูออก ทว่าในใจกลับไม่มั่นใจ รู้สึกร้อนรนนัก
ในฐานะองครักษ์ เขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีทั้งในคำพูดและการกระทำของเขา ต่อให้พวกเขาจะถูกทรมานบังคับให้พูด ก็เป็ธรรมดาที่พวกเขาโกหก ไม่สะทกสะท้าน เหตุใดเมื่อพบหวางเฟยผู้นี้เข้าก็แตกกระจาย ในใจกระสับกระส่าย ไม่มีความมั่นใจเล่า?
กุ่ยหยิ่งอ้อนวอนในใจเงียบๆ หวางเฟย ท่านอย่าได้ถามอีกเลย รีบไปหานายท่านที่ศาลากลางน้ำเถิด!
มู่จื่อหลิงจึงมิได้ทำให้กุ่ยเม่ยลำบากใจอีก เขาบอกว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้แล้วกัน อย่างน้อยหลงเซี่ยวอวี่ก็ยังอยู่ที่จวนทั้งคนไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงยกกระโปรงขึ้น วิ่งเหยาะๆ ไปทางศาลากลางน้ำอย่างดีใจ
ศาลากลางน้ำไม่อาจเทียบกับตำหนักอวี่หาน
ศาลากลางน้ำก็แค่ศาลาแห่งหนึ่งเท่านั้น มองปราดเดียวก็ทะลุปรุโปร่งแล้ว
หลงเซี่ยวอวี่บนศาลาชั้นสองยืนมือไพล่หลังอย่างทระนงศักดิ์ ดวงตาดำขลับถือดีในยามนี้กำลังหลุบต่ำ ทอดมองทุกการกระทำของมู่จื่อหลิงนิ่งๆ
“ไหนคน? แม้แต่เงาผีก็ไม่มี” มู่จื่อหลิงส่งเสียงงึมงำ ยืนอยู่ด้านล่างศาลากลางน้ำกวาดตาไปโดยรอบ
หรือว่าเป็ชั้นสอง?
มู่จื่อหลิงเท้าคาง เงยหน้ามองไปยังขื่อคานสีดำสนิทของศาลา นางกลับไม่รู้เลยว่ายามนี้นางกำลังสบสายตากับหลงเซี่ยวอวี่ที่อยู่ชั้นสอง
สายตาสองคู่สอดประสาน
หนึ่งไม่รับรู้สิ่งใด ั์ตางามใสกระจ่างชวนหลงใหล ทอประกายระยิบระยับ
หนึ่งนั้นรู้ทุกสิ่งอย่าง เนตรหงส์สีดำขลับดั่งหยดหมึก แววตาสนอกสนใจ......
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้