เื่การระบาดของโรคในเขตผิงนับเป็สิ่งที่ยากจะแก้ไข
แล้วซูชิงเฟิงก็ได้เอ่ยต่อ “ซึ่งโรคนี้มีจุดที่ค่อนข้างร้ายแรง และเป็สิ่งที่ข้ายังไม่อาจหาสาเหตุได้ คนเ่าั้ล้วนแต่เห็นได้ชัดว่าตายแล้ว แต่ก็ยังสามารถลุกขึ้นเดินเหินได้ ทั้งๆ ที่หัวใจไม่เต้นและไม่มีชีพจรแล้ว ไม่ต่างกับซากศพ ไม่มีแม้แต่สติสัมปชัญญะ แต่ยังสามารถเดินร่อนเร่พเนจรไปได้ทั่วเมือง ครอบครัวของพวกเขาหลายคนต่างคิดว่าคนเ่าั้ยังไม่ตายจึงพากลับบ้าน ไม่รีบนำศพไปเผา นี่จึงเป็เหตุผลที่ทำให้โรคระบาดแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว”
หยางซานที่ได้ยินเื่นี้เป็ครั้งแรกแสดงสีหน้าตกตะลึง
เื่ราวที่ซูชิงเฟิงเอ่ยมานั้นนับเป็สิ่งที่ทำให้ใครที่ได้ยินต่างก็ต้องรู้สึกหวาดกลัว
แต่อวี้ฉู่จาวยังคงเกิดข้อสงสัยบางประการ
หากลองคิดดูให้ดีในชาติก่อนนั้น...นอกจากเื่ราวเกี่ยวกับโรคระบาดที่เขตผิงเมืองจั๋วโจวแล้ว เขาได้ยินเพียงข่าวลือมาเท่านั้น ไม่มีเื่ใดเกิดขึ้น ไม่มีเลย
ตามเื่ราวที่ซูชิงเฟิงกล่าวมาคือซากศพ ซากศพเดินได้เหล่านี้พลันเตือนสติเขา
เมื่อชาติก่อน อวี้หม่นจาวถูกกล่าวหาว่าก่อกบฎ หลังจากเขาทำการต่อสู่กับราชสำนักเพื่อแบ่งแยกดินแดน เขาได้พบกับเหล่า ‘ทหารปลอม’ กลุ่มหนึ่งที่มาจากซากศพเดินได้เพื่อใช้หลอกลวงผู้อื่น
เมื่อพบพวก ‘ทหารปลอม’ เหล่านี้ครั้งแรก กองทัพของต้าอวี้ได้นำทหารเหล่านี้มาไว้เป็หน้าด่าน ใช้เป็โล่และสร้างความสับสนให้กับพวกเขา
ทหารปลอมมีราวร้อยกว่าคน ร่างกายสวมเสื้อผ้าเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป ตามร่างกายเต็มไปด้วยาแ เมื่อพบเจอคนก็เข้าไปทำร้ายโดยไม่มีแบบแผนใดๆ เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือนั้นไม่ได้มีเรี่ยวแรงหรือกล้ามมัดแม้แต่น้อย
ภายหลังถูกทำให้ล้มลงก็ลุกขึ้นมาใหม่ โจมตีอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แม้ว่าจะเหลือเพียงเศษซากจากการถูกโจมตี แต่ก็ยังเดินหน้าต่อไปได้ดังเดิม
เพราะต้องมองดูร่างอันน่าเกลียดน่ากลัวที่อยู่เบื้องหน้า ในขณะนั้น ทุกคนจึงพากันหวาดกลัวเนื่องด้วยพวกเขาไม่เคยพบเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน
ซูชิงเฟิงที่ศึกษาเื่นี้อยู่ใน่เวลานั้นก็มิอาจทราบถึงสาเหตุได้ จึงทำได้แค่ตั้งข้อสงสัยว่าอาจเกิดจากหนอนกู่พิษที่ใช้ควบคุมจิตใจมนุษย์ ทำให้ผู้คนเหล่านี้สูญเสียจิตใจและประสาทััทั้งห้า
แล้วในตอนนั้น อวี้ฉู่ซวนก็ห้อมล้อมศัตรูเอาไว้ทั้งสี่ทิศ กดขี่ข่มเหงประชาชน เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ไม่มีอะไรที่ตัวเขากระทำไม่ได้
เช่นนั้นแล้ว เขาไปเอาวิชามารนี้มาจากไหนก็ไม่อาจทราบ
และหากเหล่าทหารปลอมในชาติก่อนมีความเกี่ยวข้องกับโรคในครั้งนี้ แน่นอนว่านี่ต้องเป็ผลงานของอวี้ฉู่ซวน
เื่ราวเกี่ยวกับทหารปลอมในชาติก่อนกับโรคระบาดในชาตินี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่กันนะ
อวี้ฉู่จาวมีสีหน้าครุ่นคิด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
หลินหร่านที่นั่งอยู่ข้างกายท่านอ๋องเกิดความสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย “ซากศพเดินได้...”
ทุกคนต่างหันไปมองเขาทันที
“พวกเขาตายแล้วจริงๆ หรือขอรับ” หลินหร่านเอ่ยถามต่อ
“ใช่ ตายแล้วแน่นอน...เ้ามีความคิดอย่างไร?” ซูชิงเฟิงถาม
อวี้ฉู่จาวก็หันมามองหลินหร่านเช่นกัน
หลินหร่านเงยหน้าขึ้นมองก่อนส่ายหัว ไม่กล่าวอะไรอีก เขาอาจยังไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้ในตอนนี้
แต่ว่า ก่อนหน้านี้หลินหร่านได้อ่านตำราที่มารดาของตนเป็ผู้เขียนขึ้นมาเอง และได้พบเจอเื่ราวเหล่านี้ ซึ่งสิ่งที่บันทึกนั้นราวกับการจดบันทึกที่อยู่ใน่ของการทดลองและมีการบันทึกผลทุกวัน
สิ่งที่บันทึกออกมาเสมือนกำลังเขียนนวนิยายสยองขวัญ ณ เวลานั้นเขาเพียงอยากรู้อยากเห็นจึงนำมาอ่าน เป็หนังสือที่ใช้อ่านฆ่าเวลาได้เลย
ดังนั้น เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ซูชิงเฟิงอธิบายมาจึงคิดว่า ตำราเล่มนั้นอาจไม่ได้เป็นวนิยาย แต่จะต้องเป็เื่ราวลึกลับที่กำลังทำการทดลองอยู่อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยังไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไปและเก็บซ่อนความในใจเอาไว้ มีเวลาเมื่อไรเขาจะไปดูตำราเล่มนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง รอปรึกษากับท่านอ๋องก่อนค่อยว่ากันอีกที
อีกทั้งตำราเล่มนั้นไม่น่าจะเป็ตำราที่มารดาของเขาเป็ผู้เขียนขึ้น รายละเอียดที่เขียนอธิบายเอาไว้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสิ่งที่ซูชิงเฟิงกล่าว
หลินหร่านมาจากชาติภพในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ซูชิงเฟิงกล่าวรวมกับเนื้อหาในตำราช่างดูคล้ายคลึงกับ ‘ซอมบี้’ ในภาพยนตร์ไม่มีผิด
สิ่งนั้นถือเป็ภาพยนตร์สยองขวัญเพียงเื่เดียวที่เขาเคยดูั้แ่เด็กยันโต ตอนนั้นเขายังเด็กมากและยังอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
แน่นอนว่ามีเพียง่ที่อยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์
เวลานั้น ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับซอมบี้ของทางฮ่องกงและไต้หวันโด่งดังเป็อย่างมาก ตอนนั้นเขายังเด็ก ทั้งที่เป็ภาพยนตร์คอมเมดี้ชัดๆ แต่ก็ทำให้เขาหวาดกลัวจนไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำ มีหลายคนที่กอดกันกลม แต่เด็กที่โดดเดี่ยวอย่างเขาทำได้เพียงหลบอยู่ในมุมห้องด้วยความรู้สึกขลาดกลัว ไม่มีใครที่ยินดีจะเข้ามาปลอบโยนเขาด้วยซ้ำ
ตำราเล่มนั้นทำให้หลินหร่านนึกถึงเื่ราวในชาติภพปัจจุบันของตนเอง เขาพลันเหม่อลอย จนกระทั่งอวี้ฉู่จาวเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงได้หันไปถามด้วยความเป็ห่วง “เป็อะไรหรือ อวิ๋นซี?”
“อ่า...ไม่เป็อะไรพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านส่ายหน้า
อย่างไรเขาก็ไม่มีทางเชื่อเื่ซอมบี้อยู่แล้ว
“เ้าเหนื่อยหรือ?”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ข้าไม่เป็อะไร แค่เหม่อลอยเท่านั้น”
หลังได้ยินหลินหร่านตอบมาเช่นนั้น อวี้ฉู่จาวก็ไม่ได้นึกกังวลใจอะไร เขาจึงหันกลับมานึกถึงทหารปลอมที่ซูชิงเฟิงเคยกล่าวไว้ในชาติก่อนแล้วเอ่ยออกมา “ชิงเฟิง เ้าไม่คิดว่ามันเป็เพราะหนอนกู่พิษหรือ?”
“หนอนกู่พิษ? เื่นี้กระหม่อมยังไม่เคยคิดมาก่อน กระหม่อมเพียงตรวจสอบในส่วนของโรคระบาดและการต้องพิษเท่านั้น ความคิดของท่านอ๋องก็อาจเป็ไปได้เช่นกัน หากว่าเกิดจากหนอนกู่พิษ หากว่ามีพวกสิ่งของบางอย่างที่เกี่ยวกับหนอนกู่พิษเหล่านี้อยู่ในร่างกายของพวกเขา เป็ไปได้ว่าอาจควบคุมซากศพได้ด้วยเช่นกัน แต่โรคระบาดติดต่อกันได้อย่างเด่นชัด อย่างไรเสียก็ยังต้องมองในแง่ของโรคระบาดพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวพยักหน้าแล้วไม่ได้เอ่ยต่อ
ในชาติก่อน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกค้นพบหรืออาจเป็เพราะเขาที่ไม่ได้ใส่ใจนัก รวมไปถึงหรงจิ่ง
เขามักจะบอกให้ทุกคนให้ความสำคัญกับเื่ของกองทัพและการต่อสู้กับศัตรู ไม่ใช่เพราะเขาโลภและใส่ใจเพียงอำนาจทางการทหาร เพียงแต่เป็คนที่ให้ความสำคัญทางด้านนี้ที่สุดและไม่ชอบที่จะวุ่นวายกับการต่อสู้ในราชสำนัก
เื่นี้ปรึกษาหารือมาครู่ใหญ่แล้วกลับยังไม่ได้ข้อสรุป พวกเขาจึงแยกย้ายกัน เพราะยังไม่มีหลักฐานที่เพียงพอและไม่พบเบาะแสใดๆ
ทั้งสองคนกลับมาถึงตำหนักใน่ค่ำซึ่งถึงเวลาอาหารเย็นพอดี
หลินหร่านนั่งมองอาหารโอชาที่ถูกนำมาวางเรียงรายทีละอย่าง อาหารทุกอย่างหลานจื่อใช้เข็มทดสอบยาพิษด้วยตนเอง
่นี้ผู้คนในตำหนักต่างพากันระมัดระวังเป็พิเศษ โดยเฉพาะเื่ที่ตนเองต้องรับผิดชอบ
ไม่ใช่เพียงแค่ในตำหนักเท่านั้น แม้กระทั่งอาหารเที่ยงที่รับประทานร่วมกับซูชิงเฟิง ท่านอาจารย์ของเขาก็ตรวจสอบอย่างละเอียดทีละอย่างถึงจะลงมือรับประทานได้
ั้แ่เริ่มรับประทานอาหารมื้อเย็นมา อวี้ฉู่จาวพลันรู้สึกว่าหลินหร่านมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
หลินหร่านนั่งกินข้าวอยู่ก็เหม่อลอย อาหารที่อวี้ฉู่จาวคีบให้ก็ดูไม่ได้มีท่าทีชื่นชอบเหมือนก่อนหน้านี้ แววตาดูหม่นหมอง ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
กระทั่งรับประทานเสร็จ ทั้งคู่กำลังเดินเล่นในตำหนักเพื่อย่อยอาหาร หลินหร่านก็ยังเอาแต่เหม่อลอย
กระทั่งเดินไปถึงศาลาพัก อวี้ฉู่จาวจึงดึงหลินหร่านให้มานั่งลงบนตักของตนแล้วโอบกอดเอาไว้ ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนม้านั่งหิน
“อื้อ…”
จู่ๆ ก็ถูกดึงเข้ามากอด ทำให้หลินหร่านที่กำลังเหม่อลอยถึงกับใ แต่เมื่อถูกอวี้ฉู่จาวโอบกอดไว้แน่น เช่นนี้ ตัวเขากลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาโดยพลัน
“อวิ๋นซี เ้าเป็อะไรหรือ” อวี้ฉู่จาวเอ่ยถาม “เ้าเอาแต่เหม่อลอย มีเื่อะไรในใจหรือไร?”
หลินหร่านเงยหน้ามองอวี้ฉู่จาวด้วยความเหนื่อยล้า
“เป็อะไรไป อวิ๋นซีมีความลับอะไรที่บอกข้าไม่ได้หรือ?” อวี้ฉู่จาวยื่นมือออกมาลูบหัวหลินหร่านด้วยความรัก
เมื่อเห็นอวี้ฉู่จาวที่รักและเอ็นดูตนเองเช่นนี้ หลินหร่านก็ได้แต่ส่ายหัวพลางยกมือขึ้น โอบรอบลำคอของท่านอ๋องไว้
----------------------------------------
