เพราะในอดีต ผู้คนต่างหวาดกลัวโรคร้ายที่กำลังระบาดอย่างหนัก พากันโยกย้ายถิ่นฐานออกจากเมือง เว้นแต่สกุลหวางที่เป็ขุนนางเก่าแก่ ไม่อาจละทิ้งหน้าที่หนีเอาตัวรอดไปได้ ทำให้ทุกคนในจวนค่อย ๆ เจ็บป่วยไปทีละคน เพราะไม่มีแพทย์หลงเหลือในเมืองฝูเจี้ยนแม้แต่คนเดียว ท้ายที่สุดคนในสกุลหวาง ก็ล้มตายจากโรคร้าย ไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่ในจวน
เหลือเพียงบุตรสาวนามว่าหวางฟางเฟย มีอายุเพียงห้าขวบ นั่งร้องไห้อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ท่ามกลางความมืดมิด เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงตัวเล็ก ดังลั่นออกมาจากจวนสกุลหวาง ประกอบกับเวลานั้นเสนาบดีจิวหยางเหริน ได้รับคำสั่งจากวังหลวง ให้พาหมอจำนวนหนึ่ง เดินทางมายังพื้นที่ประสบภัยแห่งนี้ ทว่า....เขามาช้าเกินไป!
ชายกลางคนเลื่อนสายตามองศพ ที่นอนตามพื้นถนนด้วยความสลดสังเวช แล้วค่อย ๆ ตามเสียงร้องไห้นั้น เข้าไปในจวนสกุลหวาง พบเด็กหญิงนั่งกอดศพมารดา แล้วร้องไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา
“ใต้เท้าอย่าพึ่งเข้าใกล้นาง” หมอหลวงเอ่ยห้ามด้วยความเป็ห่วง ก่อนเสนาบดีจิวหยางเหรินจะไม่ฟังคำทัดทาน เขาค่อย ๆ เดินเข้าไปอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมา แล้วโอบปลอบนางด้วยความอ่อนโยน
นับจากนั้น หวางฟางเฟยก็ถูกเสนาบดีจิวหยางเหริน นำกลับมาชุบเลี้ยง ให้เหมือนกับบุตรคนอื่น ๆ ของตน ทว่าด้วยความที่นางไม่ใช่สายเืแท้ ๆ ของสกุลจิว ทำให้ฮูหยินจิวลี่เจีย เลี้ยงดูนางอย่างลำเอียงเสมอมา แต่ด้วยสำนึกในบุญคุณของพวกเขาที่เคยช่วยชีวิต ทำให้หวางฟางเฟยยอมทำตามทุกอย่างไม่มีข้อแม้
นางเก็บซ่อนความน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองไว้ ในวันสำคัญของครอบครัว นางเฝ้ามองทุกคนมีความสุขอยู่ห่าง ๆ ไม่เคยอยู่เข้าร่วม เพราะเป็คำสั่งของจิวฮูหยิน ที่ไม่อยากเห็นนางสำคัญกว่าบุตรสาวของตน
หญิงสาวในชุดสีเหลืองอ่อน เลื่อนสายตามองรอบ ๆ จวนสกุลจิว พร้อมสายลมอ่อนพัดโชยมาปะทะกายเป็ระยะ ก่อนนางจะยกมือทั้งสองข้าง ที่ทั้งด้านและหยาบกระด้าง จากการทำงานหนัก ไม่ต่างจากบ่าวไพร่ขึ้นมอง พลันยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นเบา ๆ
‘หวางฟางเฟยงั้นเหรอ นี่คือความทรงจำ ของเ้าของร่างเดิมงั้นสินะ?’ หญิงสาวก้มมองสภาพตัวเองช้า ๆ แล้วเอียงศีรษะจับจ้องไปยังมือแห้งผากทั้งสองข้างที่ไม่คุ้นเคย
‘เช่นนั้น ข้ามาอยู่ในร่างเ้าได้อย่างไร’ สิ้นคำถาม ภาพความทรงจำในหัวก็แล่นเข้ามาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
บริเวณสระน้ำหลังจวน ที่ไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเดินเข้าไป จิวเยว่หลิว บุตรสาวคนรองของสกุลจิว มีนิสัยเอาแต่ใจ ดื้อรั้น ชอบเอาชนะ เป็บุตรสาวที่จิวฮูหยินปวดหัวกับนางมากที่สุด แต่ก็ยากจะดัดนิสัยเพราะถูกตามใจมาั้แ่เด็ก
“เ้าคิด ว่าข้าไม่รู้เหรอ ว่าความลับของเ้าคืออะไร” ขณะที่หวางฟายเฟยกำลังก้มตักน้ำอยู่ เสียงคุ้นหูทำให้นางค่อย ๆ หันกลับมาแล้ววางถังน้ำลงด้านข้าง
“พี่รองพูดเื่อะไร ข้าไม่เข้าใจ” ดวงตากลมเล็ก ที่มีแต่ความหวาดหวั่น ถามกลับด้วยความแปลกใจ ก่อนเยว่หลิวจะยิ้มแล้วล้วงเอาบางอย่างออกมา
“นี่คือผ้าปักของเ้า ลวดลายบนผ้า แสดงถึงความรักระหว่างชายหญิง ทั้งยังปักชื่อของพี่ใหญ่เอาไว้อีกด้วย เช่นนี้จะหมายความว่าอะไร หากเพราะเ้าไม่แอบมีใจให้พี่ชายของข้า”
“ข้า...” หวางฟางเฟยอึกอัก เพราะแท้จริงแล้วนางแอบมีใจให้กับจิวอี้ซิง บุตรชายคนโตของสกุลจิวจริง แต่เพราะนางไม่เคยอยู่ในสายตาของเขา จึงทำได้เพียงระบายความรู้สึกออกมาด้วยการปักผ้า แต่คิดไม่ถึงว่าความซุกซนของเยว่หลิวจะทำให้นาง เข้าไปค้นหาผ้าปักนั้นจนเจอ
“มีอะไรกัน!” เสียงราบเรียบของจิวฮูหยินเอ่ยขึ้น จากด้านหลัง ทำให้เยว่หลิวรีบนำผ้าปักไปฟ้องมารดา ทว่าด้วยความโกรธ จิวฮูหยินจึงก้าวเท้าเข้ามา แล้วตบหน้าหวางฟางเฟยอย่างแรง
“พวกเ้าเป็พี่น้องกัน คิดเช่นนี้ได้อย่างไร ลืมแล้วเหรอว่าพ่อเ้าสั่งสอนให้พวกเราทุกคนรักใคร่ดังพี่น้องแท้ ๆ แต่เ้ากลับคิดเช่นนี้กับพี่ชายของเ้า อกุศลสิ้นดี!” หวางฟางเฟยก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด แต่ความรักไฉนเลยจะหักห้ามได้
“ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว” นางน้อมรับความผิดไม่คิดโต้แย้ง
“รู้สึกผิดงั้นเหรอ เ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเหนื่อยกับเ้ามากแค่ไหน นับจากวันที่ท่านพี่ เอาเ้าเข้ามาชุบเลี้ยงในจวนสกุลจิว ข้าก็เลี้ยงดูเ้า ให้ความรักเ้าไม่ต่างจากทุกคน แต่วันนี้หากความล่วงรู้ไปถึงท่านพี่ เ้าคิดหรือไม่ ว่าเ้าจะได้รับโทษเช่นไร” น้ำตาของหวางฟางเฟยหยดลงพื้น นางไม่อาจหาทางออกได้ จึงจำใจให้จิวฮูหยินตัดสินชีวิตอีกครั้ง
“ความผิดของข้าใหญ่หลวง ท่านแม่โปรดทำโทษข้าเถิด ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อ ต้องคิดมากเพราะเื่ของข้า” นางคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนสองแม่ลูกจะหันมองหน้ากัน แล้วยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย
เยว่หลิวไม่รอช้า เอื้อมไปหยิบถังน้ำที่อยู่ด้านข้าง เทราดตัวของหวางฟางเฟย จนเนื้อตัวนางเปียกชุ่ม หญิงสาวหลับตาลงพร้อมความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ถูกรังแก เหยียบย่ำศักดิ์ศรีไม่ต่างจากสัตว์ นางเก็บซ่อนความเ็ปไม่เคยระบายออกมาให้ผู้ใดรับฟัง