ในขณะที่กำลังจะไปอาบน้ำฉินโจ้วก็ทำเื่น่าขบขันขึ้นอีกครา เนื่องจากว่าเขาหาทางไปห้องน้ำไม่เจอ สุดท้ายหวังโหรวก็มีน้ำใจพาเขาไปห้องอาบน้ำพร้อมทั้งเติมน้ำให้ และหาเสื้อผ้าให้เปลี่ยน นี่เป็จรรยาบรรณของอาจารย์ที่เป็แบบอย่างในโลกอย่างแท้จริง
ขณะที่ใส่เสื้อผ้าอยู่นั้นฉินโจ้วรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่เพียงชั่วเวลาไม่นาน คำพูดของชูหลิงก็ทำให้ความรู้สึกดีๆของฉินโจ้ว หายไปทันที
"น้องเสี่ยวเกออย่าลืมปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อยด้วยนะเวลานอน เพราะอาจมีบางคนแอบย่องเข้าทางหน้าต่างในเวลากลางดึกได้พฤติกรรมยิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่"
ใครบางคน...จะเป็คนอื่นไปได้อย่างไรนอกจากผม ผมไปทำเื่แบบนั้นั้แ่ตอนไหนกัน ฉินโจ้วถึงกับกัดฟันแน่นแต่ในเวลาอย่างนี้เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่ถ้าเขาไม่พูด ก็หมายความว่า เขาก็ยอมรับว่านั่นคือเขาเองแต่ถ้าไม่ตอบโต้กลับ ที่นี่ก็มีคนอยู่ครบทั้งสี่คนและหนึ่งในนั้นก็เป็หัวหน้าของเขาเอง ผ่านไปสักพัก ฉินโจ้วก็ยังไม่รู้จะแก้ปัญหาได้อย่างไรดังนั้นเขาจึงมุ่งไปที่อาหารแทน ก่อนจะก่นด่าชูหลิงที่เ้าเล่ห์ร้ายกาจอยู่ในใจ
ดวงตากลมโตของหนานกงเสี่ยวจ้องมองไปที่ฉินโจ้วหลังจากที่กินซุปแล้ว ก่อนจะพูดอย่างใจเย็นว่า "ขอบคุณพี่หลิงที่ตักเตือนฉันจะจำใส่ใจเอาไว้"
หวังโหรวทำตาเขียวใส่ชูหลิงส่งสัญญาณให้เธอเงียบ ชูหลิงถึงได้ปิดปาก สำหรับหวังโหรวแล้วเธอนั้นยอมเชื่อฟังดังนั้นชูหลิงจึงไม่ได้พูดอะไรขึ้นอีก ก่อนจะนั่งกินอาหารอย่างเงียบๆเมื่อชูหลิงไม่พูด หวังโหรวก็ไม่ได้คิดอะไรจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปหนานกงเสี่ยวเป็คนอ่อนโยนและสุภาพ โดยปกติแล้วถ้าไม่มีคนพูดขึ้นก่อนเธอจึงไม่คิดที่จะเริ่มพูดก่อน ทำให้ฉินโจ้วนั้นไม่กล้าทำให้เกิดเสียงดังผ่านไปชั่วครู่ บนโต๊ะจึงได้ยินเพียงแค่เสียงตักอาหาร ซึ่งค่อนข้างเงียบมาก ทำให้รู้สึกค่อนข้างกระอักกระอ่วนฉินโจ้วรู้สึกเหมือนราวกับนั่งอยู่บนหนามแหลม และเมื่ออาหารเย็นสิ้นสุดลงเขาก็รีบหลบออกมาโดยเร็ว แต่คราวนี้เขาหนีกลับเข้าไปในเกม
ทันทีที่เขาเข้ามาถึงห้องโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็หลี่เฟยที่โทรมา พวกเขาเพิ่งจะเริ่มมีความสัมพันธ์กัน และแยกจากกันมาไม่กี่ชั่วโมงแต่รู้สึกราวกับเวลาเคลื่อนผ่านฤดูใบไม้ร่วงแล้วถึงสามครา เมื่อรับโทรศัพท์ความรู้สึกคิดถึงก็พรั่งพรูออกมา ถ้อยคำหวานหูถูกเอ่ยขึ้นอย่างต่อเนื่องจนแบตฯ โทรศัพท์เกือบจะหมดก่อนจะวางสายนั้นหลี่เฟยได้บอกว่า ที่บริษัทมีงานให้ทำ ทำให้ต้องออกจากก้านโจวไปราวหนึ่งอาทิตย์คงจะไม่ได้เจอกันหลายวัน ทำให้เธอรู้สึกเสียใจมาก ฉินโจ้วก็รับปากไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เขาจะคิดถึงเธออยู่ทุกนาทีทุกวินาที จึงทำให้หลี่เฟยยิ้มได้
หลังจากที่วางสายไปฉินโจ้วยืนอยู่ที่หน้าต่างเป็เวลานาน สุดท้ายก็โยนโทรศัพท์ไว้ที่หัวเตียงรอให้หวังเสี่ยวหยานใจเย็นลงกว่านี้ก่อนค่อยติดต่อไปอีกที ถ้าโทรไปเวลานี้กลัวว่าจะเป็การรีบเร่งจนเกินไป
เมื่อมีเงินอุปกรณ์สวมใส่จึงได้ถูกยกระดับขึ้นหมวกเล่นเกมที่อยู่ในรายการของคลังสินค้าถูกแทนที่ด้วยแคปซูลสำหรับเล่นเกมขนาดใหญ่มีระบบการให้สารอาหารด้วย ซึ่งจะส่งผลดีกับร่างกายมากกว่า แต่ราคาไม่ถูกเอาเสียเลยราคา 888,888 หยวนนั้น แพงเสียยิ่งกว่าบ้านอีก ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถหาซื้อมาใช้ได้อย่างแน่นอน
ชูหลิงสั่งซื้อมาถึงสี่หลังในคราวเดียวโดยอันที่สี่นั้นเก็บไว้สำรอง ไม่คาดคิดว่าหนานกงเสี่ยวจะมาได้เวลาพอดี
หลังจากถอดเสื้อผ้าออกและเข้าไปนอนในแคปซูลเล่นเกมก็รู้สึกเหมือนมีความเย็นไหลเวียนไปทั่วร่างโดยปราศจากความอึดอัดแต่อย่างใดแต่กลับค่อนข้างรู้สึกสบายมากซึ่งฉินโจ้วรู้สึกว่าสิ่งนี้นั้นดีกว่าหมวกเล่นเกมแบบที่ใช้ในครั้งแรกมากนัก
ทันทีที่ออนไลน์ก็ได้รับข้อความจากระบบ ผู้เล่น ''แมงมุม'' ส่งข้อความมา ้าจะเปิดอ่านหรือไม่ ฉินโจ้วจึงกดยืนยันไป
"นายกำลังทำอะไรอยู่กินข้าวอยู่หรือเปล่า?"
"วันนี้ฉันออนไลน์ได้ชั่วโมงเดียวฉันหลับตลอดทาง เลยไม่สามารถเล่นเกมได้ อย่าลืมคิดถึงฉันด้วยนะ"
"ไม่ต้องกังวลเื่เสี่ยวหยานฉันจะบอกกับเธอเองทางโทรศัพท์ ไว้รออารมณ์เธอคงที่เสียก่อน"
"อย่าไปจีบสาวคนไหนในเกมอีกล่ะฉันจะนอนแล้ว"
"คิดถึงเธอนะ..."
ฉินโจ้วถึงกับกุมขมับนี่เขาเพิ่งจะวางสายโทรศัพท์ไปไม่นานนี้เอง ก็โผล่มาอีกแล้ว หลังจากที่ผู้หญิงตกหลุมรักใครบางคนหัวใจก็จะไม่ได้อยู่ที่ตนเองอีกต่อไป ในใจนั้นทำได้แค่อดทนที่ดีที่สุดในเวลานี้ก็คือ การปลอบโยนและการให้คำมั่น หลังจากที่หลี่เฟยได้ยินสักครู่จึงออฟไลน์ออกไปเพื่อหลับพักผ่อน ฉินโจ้วถึงกับเหงื่อไหลท่วมเต็มหน้าเฮ้อ... ต่อไปนี้เขาจะดื่มให้น้อยลง เหล้าสามารถนำมาซึ่งความยุ่งยากได้เสมอเหมือนที่คนโบราณพูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
เมื่อหนานกงเสี่ยวออนไลน์ฉินโจ้วก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้น พวกเขาจึงพากันไปในแผนที่ใหม่
วัดไผ่ล้อมนั้นอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองใหม่ซึ่งห่างออกไปราว 150 ลี้ และมีต้นไผ่ขึ้นอยู่เป็จำนวนมากขนาดของมันราวกับนิ้วหัวแม่มือ สูงประมาณสามฟุต สีคล้ายกับหยก และแข็งราวกับเหล็กวัดไผ่ล้อมนั้นล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่ ผู้คนก็เลยขนานนามว่า ''วัดไผ่ล้อม''ส่วนชื่อเดิมของวัดไม่มีใครรู้ได้ วัดไผ่ล้อมถูกแบ่งตามประตูทางเข้าได้แก่ หน้าลาน ทางเข้าด้านใน ห้องโถงหลัก ห้องทำสมาธิ สวนด้านหลังซึ่งเป็พื้นที่ขนาดใหญ่ มีกฎระเบียบที่เข้มงวด ครอบคลุมพื้นที่เป็บริเวณกว้างและสภาพแวดล้อมค่อนข้างเงียบสงบ แต่เนื่องจากถูกทิ้งร้างไว้นับพันปีเผชิญทั้งลมและฝน อีกทั้งมดปลวกและแมลงกัดกิน จนเสียหายไปอย่างมาก เรือนส่วนใหญ่ก็ทรุดตัวลงที่ยังไม่พังก็ใกล้จะพังเต็มที และอาจจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อป้ายหน้าประตูก็หลุดหายไปนานแล้ว เหลือไว้เพียงแค่เสาประตูสองต้นตัวอักษรที่เขียนไว้ก็เลือนหายไปจนเกือบหมด แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอจะอ่านออกได้บ้าง
สองบรรทัดแรกเขียนว่า : ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจนั้นมีอยู่ทุกหนแห่ง
สองบรรทัดต่อมา: บางครั้งก็มองเห็นได้อย่างเลือนราง บางครั้งก็ปรากฏขึ้นให้เห็นแต่ถ้าอ่านออกเสียงพวกมันก็จะจางหายไป
ฉินโจ้วเองไม่ได้เชื่อในพุทธศาสนาเขาชื่นชอบเต๋า แต่ก็ไม่ได้เชื่อเช่นกัน เพียงแค่ชื่นชอบเพียงเท่านั้นแต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ความหมายทั่วไปของทั้งสองบรรทัดนั้นก็สามารถเข้าใจได้เพียงแต่แปลกใจเล็กน้อยที่ทางเข้าของแผนที่อยู่ใต้วัดไผ่ล้อม
"ทำลายกำแพงแห่งห้วงเวลาและความว่างเปล่าด้วยเืของเ้าปลดปล่อยโลกที่สาบสูญให้กลับคืนสู่อ้อมกอดของพระเ้านำพาแสงสว่างแห่งดวงตะวันสาดส่องไปทั่วทุกหย่อมหญ้า จงเผยออกมาให้เห็นหนทางสู่สุสานใต้ดินแห่งความชั่วร้าย"
ฉินโจ้วทำตามเบาะแสที่มีหลังจากที่เอ่ยตามที่เขียนไว้บนแผนที่ โดยอ่านข้อความนั้นในใจ ก่อนที่แผนที่จะเริ่มเรืองแสงขึ้นมาเจ็ดสีเหมือนรุ้งในเวลาเดียวกันนั้นแสงทั้งเจ็ดสีก็สว่างวาบขึ้นไปทั่วท้องฟ้าก่อนจะเปลี่ยนเป็ลำแสงขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนไกลเกินดวงอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าซึ่งในเวลานี้ตราบใดที่มีผู้เล่นอยู่ในบริเวณ 100 ลี้ ตราบเท่าที่ตายังไม่บอดพวกเขาก็จะมองเห็นภาพที่ปรากฏขึ้นนี้ดวงตาของทุกคนต่างเบิกกว้าง พวกเขาก็รู้ว่าแสงเหล่านี้นั้นมีความหมายว่าอย่างไร
เกือบจะเป็เวลาเดียวกันที่แสงส่องประกายสว่างขึ้นมีคลื่นกระจายออกมาจากบริเวณพื้นที่ว่าง โดยปราศจากเสียงใดๆ แต่ฉินโจ้วและหนานกงเสี่ยวนั้นยืนอยู่ใกล้มากจนสามารถรับรู้ได้ถึงพลังงานที่มีความรุนแรงพอที่จะถล่มฟ้าทะลายดินได้ตราบใดที่มีการรั่วไหลของพลังออกมาเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะก่อให้เกิดพายุทำลายล้างขึ้นได้แล้ว ทำให้ทั้งคู่ต่างรู้สึกหวาดกลัวแต่โชคยังดีแรงสั่นไหวที่ส่งออกมาถึงนั้นดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลออกไปในทะเลและพวกมันก็ไม่ได้เล็ดลอดออกมา
ในเวลาต่อมาแสงได้จางหายไปและการ์ดแผนที่ก็กลับคืนสู่สภาพปกติพื้นดินบริเวณประตูทางเข้าวัดไผ่ล้อมก็พลันปรากฏทางลาดลงไปที่ชั้นใต้ดินมองดูคล้ายกับหลุมั์ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยความมืดมิดรวมตัวกันอย่างหนาแน่น มันมืดเสียจนมองไม่เห็นก้นหลุมและยังมีลมพัดกระโชกออกมา
ทั้งสองต่างมองหน้ากัน ในสายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจเพราะพวกเขาทั้งคู่ยังไม่รู้ว่าเส้นทางถูกค้นพบได้อย่างไรในเวลาเดียวกันนั้นฉินโจ้วได้ยินเสียงของระบบแจ้งเตือน
ติ๊ง!ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นเมามายซบตักสาวงามที่ค้นพบแผนที่ใหม่สุสานใต้ดินกลายเป็ผู้เล่นคนที่สองที่ค้นพบแผนที่ระดับ C รางวัลก็คือชื่อเสียง +20,000, เหรียญทอง 20,000 เหรียญ, แบบแปลนสำหรับสร้างพระราชวัง 1 แผ่น, หินแห่งความว่างเปล่า 2 ก้อน,แต้มทักษะ +2, ้าตั้งชื่อหรือไม่?: ไม่, ้าเปิดเผยชื่อหรือไม่? : ไม่
ผู้เล่นเมามายซบตักสาวงามสามารถใช้แผนที่สุสานใต้ดินเป็เวลา3 เดือน หลังจาก 3 เดือนไปแล้วแผนที่จะปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้เล่นทุกคน ระบบแจ้งเตือนเรียบร้อย ขอให้ผู้เล่นโชคดี
แบบแปลนพระราชวัง :มีค่าใช้จ่าย 10,000 เหรียญทอง ในการสร้างพระราชวังในที่ที่ได้เลือกไว้ไม่จำเป็ต้องใช้คนงานในการก่อสร้าง ไม่ต้องใช้เวลาในการสร้าง และไม่ต้องกลัวเื่การโจมตีเมือง
หินแห่งความว่างเปล่า: เพิ่มพลังป้องกันโดยรวมของเมืองขึ้นอีก 5%
่สามเดือนที่ผ่านมานั้นฉินโจ้วรู้สึกอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย เขาคิดว่าตลอดชีวิต สิ่งเดียวที่เป็ประโยชน์กับเขามากที่สุดก็คือแต้มทักษะสองแต้ม ซึ่งหาได้ยาก ฉินโจ้วเองยังไม่เต็มใจที่จะใช้มันใน่นี้เหล็กดีควรจะเอาไว้ใช้ตีดาบ หนานกงเสี่ยวยิ้มก่อนจะพูดว่า"ไม่รู้ว่าใครเป็คนแรกที่พบแผนที่ใหม่ เขาคงต้องโชคดีมากแน่"
"มีคนเก่งอยู่มากมายในเกมนี้ใครจะรู้ ในเขตเหยียนหวงนั้นมีคนเป็จำนวนมากจะมีอัจฉริยะจำนวนเล็กน้อยได้อย่างไร"ฉินโจ้วคว้าไม้เท้าเวทไว้ในมือก่อนจะพูดขึ้นว่า "รีบไปเถอะ เรารีบเข้าไปที่ทางเดินสุสานใต้ดินกันดีกว่าอยากรู้ว่ามีภูตผีปีศาจอะไรบ้าง แผนที่ระดับ C หวังว่าคงจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ"
"วัดไผ่ล้อมนี่น่าจะใช้ปิดกั้นทางเดินของสุสานใต้ดินเมื่อเราเปิดประตูนี้ออก มันจะเป็เื่ดีหรือไม่ไม่มีใครรู้"หนานกงเสี่ยวพูดขึ้นทันที
ฉินโจ้วคิดอยู่ชั่วครู่และพูดขึ้นว่า "หวังว่าข้างในสุสานคงจะไม่มีหลวงจีนหรอกนะ"
"เอ๋...?"หนานกงเสี่ยวที่เดินมาถึงทางเข้าก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวจึงหันกลับมาหาเขาและถามว่า "ไม่ได้มีแค่ผีดิบหรอกหรือ? ทำไมถึงจะได้พบกับหลวงจีนด้วยล่ะ"
ในความมืดก็ปรากฏผีดิบแต่งกายอยู่ในยุคราชวงศ์ชิงพุ่งเข้าใส่หนานกงเสี่ยวอย่างไร้สุ้มเสียง พวกมันทั้งแข็งแกร่งและทรงพลังอาจเป็เพราะไม่ได้ถูกแสงตะวันเป็เวลานานใบหน้าของผีดิบเหล่านี้จึงค่อนข้างซีดเผือด ขาวเสียจนมองเห็นเส้นเืสีเขียวดูคล้ายกับพิษชนิดหนึ่งดวงตาแข็งทื่อ จมูกสูดดมกลิ่นอยู่ตลอดเวลาเมื่อได้กลิ่นมนุษย์ก็เริ่มเกิดอาการคลั่ง มันอ้าปากอยู่ตลอดจนมองเห็นเขี้ยวทั้งสี่ที่ยาวไม่ต่ำกว่า2 เิเ ดูแหลมคมเป็อย่างมาก ซึ่งน่าจะสามารถเจาะทะลุิัและกัดทะลุเส้นเืใหญ่ของร่างกายมนุษย์ได้
เสื้อผ้าชุดหลักเป็สีน้ำเงินตกแต่งด้วยด้ายแดงบริเวณอกเสื้อมีรูปดอกไม้กำลังเบ่งบาน มีผีเสื้อกำลังโบยบินอยู่กลางอากาศชายเสื้อยาวคลุมเข่า ด้านล่างสวมรองเท้าสูงขึ้นมาถึงน่อง หัวรองเท้าโค้งงอนขึ้น ดูแล้วน่าจะสวมใส่ได้สบายจากการแต่งกายแสดงให้เห็นถึงยศถาบรรดาศักดิ์ของผีดิบตัวนี้คงสูงอยู่ไม่น้อย
ไม่รู้ว่าในเวลาปกตินั้นพวกผีดิบเหล่านี้ดูแลกันอย่างไรเสื้อผ้าถึงได้สะอาดสะอ้านเช่นนี้ แม้แต่ฝุ่นก็ยังไม่มีให้เห็น นี่ยังดีว่าเล็บไม่ยาวไม่อย่างนั้นคงจะดูน่ากลัวยิ่งกว่านี้อันที่จริงการแต่งตัวแบบนี้สามารถเข้าไปร่วมงานเลี้ยงที่ไหนก็ได้
ผีดิบส่วนใหญ่มีการโจมตีรูปแบบเดียวคือจับล็อกเหยื่อด้วยนิ้ว ก่อนใช้ปากกัดคอและดูดเืศัตรูจนตาย หนานกงเสี่ยวนั้นความรู้สึกไวมากจึงสังเกตเห็นการโจมตีได้ทันที แต่เนื่องจากความว่องไวของเธอค่อนข้างต่ำจึงทำให้หลบหลีกไม่ทัน ใน่เวลาคับขันเช่นนี้ ทำได้เพียงก้าวหลบไปด้านข้างและปล่อยพื้นที่นั้นให้กับฉินโจ้วเป็ผู้โจมตี
"หน่วง"
กระแสลมสีเทาพุ่งออกจากตำแหน่งที่หนานกงเสี่ยวยืนอยู่ก่อนจะยิงเข้าใส่ผีดิบพร้อมกับผลจากทักษะ ''หน่วง'' ที่ส่งผลกับมอนสเตอร์ธาตุมืด แต่ดูว่าในครั้งนี้จะถูกลดความสามารถลงไปมากร่างของผีดิบสั่นไหว และความว่องไวลดลงเพียงแค่เล็กน้อยซึ่งยังคงรวดเร็วกว่าหนานกงเสี่ยวอยู่
ฉินโจ้วถึงกับประหลาดใจ แต่ก็กะไว้แล้วว่าผีดิบเหล่านี้คงไม่ธรรมดาจากการที่เขาเคยจัดการผีดิบมาจำนวนไม่น้อย แต่เพิ่งจะเคยพบผีดิบสภาพสมบูรณ์มากเป็ครั้งแรกดูท่าแล้วผีดิบที่อยู่ต่อหน้าเขาคงจะมีตำแหน่งสูงไม่น้อย โดยปกติแล้วตอนที่มีชีวิตอยู่นั้นมีสถานะที่สูงเมื่อกลายมาเป็ผีดิบก็จะมีความแข็งแกร่งที่สูงตามไปด้วยซึ่งก็อาจจะไม่แน่นอนเสมอไป แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็เช่นนั้น
แต่ทว่าเขาประเมินพลังของผีดิบนั้นต่ำเกินไปและ ''หน่วง'' ที่ระดับเลเวลเกือบจะเต็มแล้วยังมีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้นโชคยังดีที่ฉินโจ้วมีแผนสำรองเตรียมเอาไว้แล้ว
"ฝ่ามือวชิระเทวราช"
ทั้งร่างเปลี่ยนเป็เหมือนกับลูกะุปืนใหญ่เมื่อเข้าใกล้ผีดิบ ความเร็วก็เพิ่มขึ้นเป็อย่างมากก่อนที่ผีดิบจะทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ การโจมตีก็เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วเมื่อเห็นแสงสีทองสว่างวาบขึ้น ผีดิบก็ลอยกระเด็นออกไปด้วยฝ่ามือของเขาก่อนจะตกถึงพื้นสลายกลายเป็แสงสีเทาไป และดรอปหินออกมาหนึ่งก้อน
เนื่องจากทัศนวิสัยที่แย่หนานกงเสี่ยวแค่รู้สึกว่าผีดิบนั้นถูกจัดการไปแล้วช่วยไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกโล่งใจว่าฉินโจ้วนั้นดูแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
"ระวังตัวด้วยนะ"
การตายของผีดิบก็ไม่ต่างจากโยนหินก้อนใหญ่ลงในทะเลสาบที่เงียบสงบเพียงแค่มีการกระเพื่อมไหว ก็ทำให้เกิดการแตกตื่นขึ้นผีดิบห้าตัวปรากฏกายขึ้นในเวลาเดียวกัน ก่อนจะะโเข้าใส่ สามตัวพุ่งไปหาฉินโจ้วอีกสองตัวไปหาหนานกงเสี่ยว นี่เป็เพียงศัตรูชุดแรก ยังมีผีดิบอีกเป็จำนวนมากที่อยู่ในเงามืดเมื่อมองไปรอบๆ เห็นเป็เงาร่างะโขึ้นลงเต็มไปหมดพร้อมกับมีเสียงกระทืบเท้าซึ่งไม่รู้ว่ามีจำนวนมากมายเท่าไร เนื่องจากฉินโจ้วมีเนตรเซียนพญายมจึงไม่กลัวความมืดแต่อย่างใดแต่หนานกงเสี่ยวนั้นไม่มี เธอจึงคอยเตือนเขา
แต๊ง แต๊ง...
เมื่อเสียงพิณดังขึ้นพวกผีดิบก็ถูกสะกดจิต ความว่องไวในการเคลื่อนไหวของผีดิบที่อยู่ด้านหน้าก็พลันช้าลงในทันที หนานกงเสี่ยวนั้นเล่นพิณด้วยมือข้างเดียวโดยถือพิณโบราณระดับสูงไว้ที่มือซ้าย และหลบอยู่ด้านหลังของฉินโจ้ว
ทันทีที่เสียงพิณดังขึ้นดูเหมือนว่ามันสามารถแสดงผลได้ทันทีฉินโจ้วถึงกับประหลาดใจในความแข็งแกร่งของเสียงพิณ หลังจากที่อัญเชิญมอนสเตอร์อัศวินปฐีสองตัวออกมาเพื่อจัดการกับผีดิบตรงหน้าที่กำลังวุ่นวายสับสนอยู่ภายใต้การสั่งการของฉินโจ้ว อัศวินปฐีก็เปรียบได้ดั่งโล่จึงทำให้ฉินโจ้วมีเวลาตรวจสอบสถานะของผีดิบ
ผีดิบ: ระดับเลเวล 50, พลังชีวิต 41,250 หน่วย,ร่างกายแข็งราวกับเหล็ก เคลื่อนไหวดังลม เชี่ยวชาญในการดูดเื จะชอบมากถ้าเป็เืมนุษย์ปกติชอบหลบซ่อนตัว หวาดกลัวไฟและแสงสว่าง
ที่ออกมาเป็มอนสเตอร์ระดับ50 ไม่แปลกใจเลยพวกมันถึงได้แข็งแกร่งมากเพียงนี้ ระดับเลเวล 50นั้น ก็เปรียบราวกับเส้นแบ่ง ถึงแม้ว่าจะต่างจากระดับเลเวล 49แค่ระดับเดียว แต่ความแข็งแกร่งนั้นแตกต่างจากระดับ 49 เป็อย่างมาก
หลังจากที่ผีดิบตายลงไม่มีอะไรดรอปออกมานอกจากแร่เพียงก้อนเดียว ฉินโจ้วเก็บมันขึ้นมาก่อนจะจ้องมองดูดวงตาถึงกับเบิกกว้างก่อนที่เขาจะมีรอยยิ้มออกมา นี่เป็ของดีทีเดียว
หินดูดเื: แร่ที่หาได้ยาก เป็วัตถุดิบสำหรับหลอมสร้างเพิ่มความสามารถในการดูดเืให้กับอุปกรณ์และเพิ่มโอกาสในการเปิดใช้ผลของทักษะในการเปลี่ยนค่าความเสียหายมาเป็พลังชีวิต
ความสามารถในการดูดเืเป็ทักษะสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งานได้จริงและค่อนข้างหาได้ยากยกตัวอย่างเช่น พลังโจมตีของมีดสั้นคือ 500 และการดูดเือีก 10% เมื่อรวมกันแล้วจะสร้างความเสียหายได้ถึง550 หน่วย ความเสียหายที่มากขึ้นอีก 50 หน่วยนั้นเป็สิ่งที่สำคัญมากในการ PK พลังชีวิตของมนุษย์ไม่สามารถเทียบได้กับของมอนสเตอร์อัตราการฟื้นฟูของพลังชีวิตนั้นค่อนข้างต่ำ ทุกหน่วยของพลังชีวิตจึงมีค่ายิ่งการเปลี่ยนค่าความเสียหายมาเป็พลังชีวิตได้นั้นต่อไปจะเป็ทักษะที่ผู้เล่นทั้งหลายล้วนไม่ปฏิเสธเป็แน่ไม่เพียงสร้างความเสียหายได้ 50 หน่วย แต่ยังสามารถเพิ่มพลังชีวิตของตนได้อีก50 หน่วย จะมีสิ่งใดดีไปกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ
ฉินโจ้วมีลางสังหรณ์ว่านี่ไม่ใช่เื่บังเอิญแน่หินดูดเืนี้เป็สิ่งที่พิเศษมากในแผนที่ใหม่ ซึ่งน่าดึงดูดอย่างแท้จริง หินดูดเืนั้นเป็กุญแจในการเปิดทางไปสูู่เาทองคำตราบใดที่มีหินดูดเื เหรียญทองจะไม่หลั่งไหลมาราวกับสายน้ำได้อย่างไรกันต่อให้มีอะไรมาขวางก็คงขวางไม่อยู่แล้ว
"คอยระวังเื่ก๊าซพิษด้วยนะ"
ฉินโจ้วได้ยินเสียงเตือนเวลานี้พวกเขายืนอยู่หน้าทางเข้าฉินโจ้วได้เข้ามาในส่วนทางเดินสุสานั้แ่เมื่อเขาหยิบก้อนแร่แล้วเขารู้สึกได้ถึงก๊าซพิษที่หนาแน่นจนคล้ายกับหมอกซึ่งมีอยู่ทั่วทุกอณูของทางเดินสุสานแห่งนี้ ไม่เพียงแต่กระทบกับทัศนวิสัยแต่ยังมีผลทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายนั้นเชื่องช้าลงอีกด้วย ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือความสามารถในการกัดกร่อนพลังชีวิตของก๊าซพิษจากซากศพถ้าฉินโจ้วนั้นไม่มีคุณสมบัติในการต้านพิษกลัวว่าเขาคงจะกลับไปเกิดใหม่ภายในครึ่งนาทีเป็แน่
ดูเหมือนว่าก๊าซพิษจากซากศพนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เทือกเขาฉางซานถึงสิบเท่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าทางเดินสุสานนี้ถูกฝังอยู่ด้านล่างมากี่ปีแล้วถึงได้สะสมก๊าซพิษที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ยิ่งก๊าซพิษรุนแรงมากแค่ไหนก็ทำให้สถานที่นี้อันตรายมาก และทำให้มอนสเตอร์โหดร้ายมากยิ่งขึ้น
หนานกงเสี่ยวพยักหน้าเธอนั้นมีเสียงพิณคอยปกป้องร่างกายของเธอไว้ก๊าซพิษจากซากศพสามารถเข้าใกล้ร่างกายของเธอได้ไม่เกินสามฟุตเธอจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวพวกมันอีก อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่วิธีในการแก้ปัญหาในเื่ผลกระทบจากการมองเห็นของเธอดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงตามติดฉินโจ้วอย่างใกล้ชิด
เสียงพิณของหนานกงเสี่ยวนั้นยอดเยี่ยมมากและยังสามารถยับยั้งก๊าซพิษได้อีกด้วยแต่ทุกสิ่งก็ย่อมต้องมีข้อเสียในตัวของมันเอง ก๊าซพิษจากซากศพก็ส่งผลกับเสียงพิณเป็อย่างมากเช่นกันปกติแล้วเสียงพิณของหนานกงเสี่ยวนั้นมีอาณาเขตไกลถึง 15 เมตรแต่ในสถานที่เช่นทางเดินสุสานแห่งนี้กลับมีรัศมีเหลือแค่เพียง 5 เมตรเท่านั้น ซึ่งอ่อนแอลงถึงสามเท่าตัว จากจุดนี้ทำให้เราเห็นได้ว่าผีดิบนั้นค่อนข้างทรงพลังและยังสามารถใช้เป็อาวุธในการจัดการศัตรูให้พ่ายแพ้ได้อีกด้วย
เมื่อแสงแห่งความตายลอยขึ้นผีดิบสองตัวที่ถูกจัดการโดยอัศวินปฐี ทันทีที่พวกมันถูกทำลายลงหินดูดเืสองก้อนและอาวุธระดับเงินก็ดรอปออกมา แค่ผีดิบสามตัวก็ดรอปอุปกรณ์แล้วดูท่าอัตราการดรอปของแผนที่ใหม่นี่ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง
หลังจากที่ผีดิบทั้งสองตัวตายลงผีดิบมากกว่าสี่ตัวก็ะโเข้าใส่ ในสภาวะแวดล้อมที่มืดมิดเขี้ยวสีขาวทั้งสี่นั้นสะดุดตาเป็พิเศษทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นรู้สึกขนพองสยองเกล้า
ทางในสุสานนั้นค่อนข้างกว้างมากฉินโจ้วมองเห็นระยะทางที่กว้างเกือบห้าเมตรอัศวินปฐีแค่สองตัวไม่สามารถหยุดการโจมตีของผีดิบจำนวนมากได้แน่ฉินโจ้วถึงกับก่นด่าอยู่ในใจ ไอ้บ้าคนไหนมันเป็คนสร้างทางเดินในสุสานกันนะ แค่ไว้นำศพคนตายไม่ได้ไว้ใช้เดินสวนสนามหรือไว้ต่อสู้ มันจำเป็ต้องกว้างขนาดนี้เลยหรือ
ด่าก็ส่วนด่าแต่การเคลื่อนไหวนั้นก็ไม่ช้าลงเลย ไม้เท้าเวทของฉินโจ้วชี้ขึ้นอัศวินปฐีสองตัวก็ปรากฏขึ้นเพื่อป้องกันช่องว่างที่เหลืออยู่ทำให้ผีดิบทั้งสี่ตัวไม่สามารถเข้ามาได้ ด้วยพลังชีวิตและพลังจิตในตอนนี้ เขาสามารถอัญเชิญอัศวินปฐีสี่ตัวออกมาได้นานเกือบสองนาทีเขาเพิ่งอัญเชิญออกมาแค่สองตัว หลักๆ ก็ยังกังวลถึงความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติที่ไม่คาดฝันเขาจึงเก็บอัศวินปฐีอีกสองตัวไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ในตอนนี้ถึงแม้ว่าผีดิบระดับเลเวล50 จะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่พวกมันนั้นดูแย่กว่าอัศวินปฐีเสียอีกจากการตรวจสอบ อันตรายส่วนใหญ่ในทางเดินสุสานจะมาจากก๊าซพิษจากซากศพถึงแม้ว่าจะมีผีดิบอยู่เป็จำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้คนทั่วไปรู้สึกไม่ดีแต่สำหรับฉินโจ้วไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ถ้าถึงเวลานั้นแล้วไม่มีทางอื่นจริงๆฉินโจ้วก็ยังวางใจที่สามารถอัญเชิญอัศวินปฐีอีกสองตัวออกมาได้
มันเป็สิ่งที่ถูกต้องที่สุดในการให้อัศวินปฐีนั้นรับมือกับผีดิบเนื่องจากอัศวินปฐีเป็สิ่งมีชีวิตแห่งความมืด ซึ่งทนทานต่อก๊าซพิษที่มาจากซากศพและอีกอย่างมันก็ไม่ต้องเกรงกลัวกับการถูกดูดเืเพราะพลังป้องกันของอัศวินปฐีนั้นสูงมาก เป็การยากที่ผีดิบจะเจาะทะลวงการป้องกันและทำให้ไม่สามารถดูดเืได้
ทักษะที่เฉียบคมที่สุดของผีดิบนั้นไม่สามารถนำมาใช้กับอัศวินปฐีได้ก็ไม่ต่างอะไรกับเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บที่ทำได้แค่เพียงพุ่งชนใส่อัศวินปฐีเท่านั้น ซึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าอัศวินปฐีผลลัพธ์ย่อมเป็ไปตามที่คาด
เมื่อถูกโจมตีไปหนึ่งหรือสองรอบผีดิบก็เริ่มเสียเปรียบ ด้วยการสนับสนุนของฉินโจ้วและหนานกงเสี่ยว จึงมีเพียงผีดิบเท่านั้นที่ถูกจัดการ