มู่เฟิงยังคงยืนตระหง่านอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งของเขากำลังถือหอกให้มันเฉียงลง ขณะที่กำปั้นอีกข้างก็ค่อยๆ ถอนกลับอย่างใจเย็น
หลี่ว์หยางจ้องมู่เฟิงด้วยดวงตาเบิกกว้าง ปากที่ยังมีคราบเืกล่าวขึ้นด้วยความใว่า “เป็ไปได้อย่างไร เ้า เ้ามีทักษะวิชาระดับนิลกาฬได้อย่างไร?”
“ทำไมเล่า เ้าคิดว่าทักษะวิชาระดับนิลกาฬมีไว้เพื่อเ้าผู้เดียวรึ? อันดับหนึ่งของบัณฑิตใหม่ในรุ่นนี้ ผู้ใดเป็คนมอบตำแหน่งนี้ให้เ้ากัน?”
มู่เฟิงกล่าวเย้ยหยัน คำพูดของเขาทำให้หลี่ว์หยางรู้สึกโกรธมากเสียจนกระอักเืออกมาอีกครั้ง
เหล่าบัณฑิตใหม่คนอื่นๆ ยิ่งตกตะลึงกับผลลัพธ์นี้ พวกเขาจ้องมองหลี่ว์หยางที่ถูกหมัดของมู่เฟิงต่อยจนร่างลอยกระเด็นออกไปไกลด้วยความใ
“หลี่ว์หยางแพ้ได้อย่างไร”
“ชายผู้นั้น พลังหมัดของเขาเหนือกว่าเคล็ดกระบี่พันวารีของหลี่ว์หยางเสียอีก จากข่าวลือที่ได้ยินมา หลี่ว์หยางได้ฝึกฝนเคล็ดกระบี่พันวารีของตระกูลหลี่ว์จนบรรลุขั้นต้นของระดับสัมฤทธิ์แล้ว ดังนั้นการที่เขาพ่ายแพ้ให้กับมู่เฟิง หรือบางทีเ้านั่นอาจจะบรรลุทักษะวิชาระดับนิลกาฬจนถึงขั้นสูงสุดของระดับสัมฤทธิ์แล้ว? ด้วยอายุเพียงเท่านี้แต่กลับสามารถฝึกฝนทักษะวิชาระดับนิลกาฬจนบรรลุขั้นสูงสุดของระดับสัมฤทธิ์ได้ อีกทั้งวรยุทธ์ก็อยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นแปด นี่เขาฝึกฝนอย่างไรกันแน่ถึงได้พัฒนาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้!”
“จากพลังหมัดเมื่อครู่ แม้แต่ข้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
บังเกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่บัณฑิตใหม่ทันที พวกเขาต่างก็รู้สึกตื่นตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่เป็อย่างมาก
มู่เฟิงยังคงถือหอกยาวเอาไว้ในมือพลางกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หากใครคิดจะชิงผลึกอสูรของวารูเาชิ้นนี้อีกก็เข้ามา ข้ามู่เฟิงจะรออยู่ตรงนี้”
มู่เฟิงประกาศกร้าวออกมาอย่างหยิ่งทะนง
“สหายท่านนี้ ข้าว่าเ้าควรจะรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเสียหน่อยนะ”
ลู่โหย๋วเยี่ยก้าวออกมาด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
“ฮ่าๆ ถ่อมตน? พวกเ้าต่างก็้าผลึกอสูรชิ้นนี้ไม่ใช่หรือ? บนโลกใบนี้ผู้ใดแข็งแกร่งกว่าผู้นั้นย่อมเป็ใหญ่ เช่นนี้จะให้ถ่อมตนไปเพื่ออะไร”
มู่เฟิงหัวเราะเสียงดัง เขาชี้ปลายหอกไปทางลู่โหย๋วเยี่ยด้วยท่าทางหยิ่งผยองและแข็งกร้าว
“เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า* อย่าทำตัวโอหังให้มากนัก”
(*ยังมีผู้คนที่เก่งกาจยิ่งกว่า)
ลู่โหย๋วเยี่ยจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอันคมกริบ ขณะเดินออกมาด้วยมือเปล่า
เมื่อเห็นดังนั้นมู่เฟิงก็ปักหอกสายฟ้าเอาไว้ด้านข้าง ก่อนจะเดินออกไปข้างหน้าเช่นกัน
ดวงตาของเด็กหนุ่มทั้งสองสบประสาน ราวกับว่ามีคลื่นพลังบางอย่างส่งออกมาทางสายตาและกำลังปะทะกันกลางอากาศ อุณหภูมิโดยรอบก็เหมือนจะลดต่ำลงอีกสององศา
เมื่อครู่มู่เฟิงเพิ่งแสดงความแข็งแกร่งออกมาให้ทุกคนได้ประจักษ์ สำหรับลู่โหย๋วเยี่ย ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าวรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นเก้า ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน
ตึง!
ลู่โหย๋วเยี่ยกระทืบฝ่าเท้าลงบนพื้นพร้อมกับะเิพลังออกมา พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาเกิดรอยแยกขึ้นในทันที จากนั้นเขาก็ปล่อยหมัดไปทางมู่เฟิงอย่างรวดเร็ว
“หมัดแขนเหล็ก!”
ลู่โหย๋วเยี่ยปล่อยหมัดที่เปล่งประกายสีทองเข้มออกมาอย่างดุดัน กระดูกมือได้กลายเป็ดั่งเหล็กกล้าที่พุ่งทะลวงแหวกอากาศไปทางมู่เฟิง
“หมัดทะลวงลมปราณ!”
มู่เฟิงบิดเอวและปล่อยหมัดออกไปเช่นเดียวกัน ทันใดนั้นเสียงกระดูกก็พลันดังลั่นขึ้นติดต่อกันสิบสองครั้ง
เปรี้ยง...!
พลังหมัดทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น และคลื่นพลังที่สะท้อนกลับมาก็ทำให้เกิดคลื่นลมสาดซัดไปทั่ว ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงบนพื้นพลันถูกสายลมหมุนวนจนกลายเป็เกลียวคลื่นขึ้นมาชั่วขณะ
คนทั้งสองก้าวถอยหลังออกไปคนละก้าว โดยที่มู่เฟิงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่ลู่โหย๋วเยี่ยกลับเบิกตากว้างด้วยความใ กำปั้นของเขากำลังชาหนึบ ทว่าหลังจากนั้นเขาก็แผดเสียงคำรามออกมาพร้อมกับปล่อยหมัดออกไปพร้อมกันทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ และในชั่วพริบตานั้นเงาหมัดนับสิบก็ปรากฏขึ้นก่อนจะพุ่งระรัวเข้าใส่มู่เฟิงอย่างรวดเร็ว
มู่เฟิงบิดฝ่าเท้าพลิ้วกายหลบหลีกหมัดที่กำลังรัวเข้ามาอย่างว่องไวราวกับสายลม แม้ว่าลู่โหย๋วเยี่ยจะเพิ่มความเร็วมากขึ้นไปอีก มู่เฟิงก็ยังคงเคลื่อนไหวร่างกายดั่งใบไม้ที่ล่องลอยไปตามกระแสลม ทำให้หมัดเ่าั้ไม่อาจทำมีอะไรเขาได้เลย
มู่เฟิงะโถอยไปด้านหลัง ก่อนจะรวบรวมพลังปราณไว้ที่ดรรชนีนิ้วทั้งสองและตวัดนิ้วออกไปข้างหน้า ลำแสงดรรชนีสองสายทะลวงผ่านอากาศพุ่งไปยังลู่โหย๋วเยี่ยอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของลู่โหย๋วเยี่ยพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลำแสงดรรชนีสายหนึ่งปะทะเข้ากับหมัดของเขาก่อนจะสลายไป ในขณะที่ลำแสงดรรชนีอีกสายเจาะทะลวงเข้าที่หัวไหล่ของเขาและทิ้งรอยาแเป็รูเอาไว้
ลู่โหย๋วเยี่ยครางออกมาด้วยความเ็ป เขายกมือขึ้นกุมไหล่ก่อนจะถอยออกไป ทว่าทันใดนั้นร่างของมู่เฟิงก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู จากนั้นเด็กหนุ่มก็ใช้เท้าเตะไปที่ร่างของลู่โหย๋วเยี่ยเต็มแรง
ลู่โหย๋วเยี่ยยกแขนอีกข้างขึ้นเพื่อสกัดลูกเตะนั้น แต่มู่เฟิงกลับบิดตัวก่อนจะยกขาอีกข้างขึ้นมากลางอากาศและฟาดลงไปแทน
เปรี้ยง...!
ลู่โหย๋วเยี่ยถูกลูกเตะของอีกฝ่ายกระแทกเข้าที่หัวไหล่อย่างเต็มแรง เขาเผลอครางออกมาด้วยความเ็ปพร้อมกับร่างที่ลอยขึ้น และเมื่อมู่เฟิงเหยียบลงบนพื้นอีกครั้ง มือของเขาก็คว้าขาของลู่โหย๋วเยี่ยเอาไว้ทันที จากนั้นก็เหวี่ยงร่างของอีกฝ่ายไปทางต้นไม้ที่อยู่ด้านข้างอย่างแรง
ปัง!
ลำต้นของต้นไม้ใหญ่ถูกร่างของลู่โหย๋วเยี่ยกระแทกเข้าอย่างจัง เด็กหนุ่มกระอักเืออกมา แต่มู่เฟิงไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น คราวนี้เขาเข้าไปยกร่างกำยำของลู่โหย๋วเยี่ยขึ้นก่อนจะทุ่มลงบนพื้นอีกครั้ง ทำให้พื้นดินปรากฏหลุมขนาดใหญ่
ความแข็งแกร่งและความบ้าบิ่นนี้ทำให้เหล่าบัณฑิตใหม่พากันก้าวขาถอยหลังออกไปเล็กน้อยเพราะหวาดกลัวที่ออกมาจากจิตใต้สำนึก
จากนั้นเพียงมู่เฟิงโบกมือ ร่างของลู่โหย๋วเยี่ยก็ลอยกระเด็นไปทางศิษย์ตระกูลลู่ทันที
“พี่ลู่”
เหล่าศิษย์ตระกูลลู่ต่างก็รีบวิ่งเข้ามารับร่างของลู่โหย๋วเยี่ยทันที แต่พวกเขากลับถูกแรงกระแทกจากร่างของเด็กหนุ่มทำให้ต้องล้มระเนระนาดลงบนพื้น
จมูกของลู่โหย๋วเยี่ยมีรอยฟกช้ำอย่างเห็นได้ชัด ส่วนใบหน้าก็บวมเป่ง ทั้งยังได้รับาเ็ภายใน เขาพยายามหยัดกายลุกขึ้นจากพื้น สายตาจ้องมองมู่เฟิงขณะกระอักเืออกมา ทว่าไม่นานร่างของเขาก็ล้มลงอีกครั้งก่อนจะหมดสติไปในที่สุด
มู่เฟิงตบมือตัวเองไปมา สายตาอันเ็าของเขากวาดมองบัณฑิตใหม่ที่อยู่รอบๆ แววตาเฉียบคมของเด็กหนุ่มทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยออกไปสองสามก้าวอย่างหวั่นใจ
“อย่าได้เย่อหยิ่งให้มากอย่างนั้นหรือ? พอดีข้ามีความเย่อหยิ่งเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว และคนอย่างพวกเ้าก็ไม่มีคุณสมบัติใดที่ข้าจะต้องถ่อมตนด้วย!”
มู่เฟิงเหลือบตามองกลุ่มของเฉินเซิ่ง ก่อนจะแผ่จิตสังหารออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง
เขา้าสังหารคนของจวนเป่ยอ๋องเหล่านี้ แต่เขาไม่สามารถลงมือได้
พวกเฉินเซิ่งตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฟิง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เข้าไปยั่วยุอีกฝ่าย ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้พวกเขาก็ได้เห็นมาแล้วว่าหมัดของมู่เฟิงทำลายแขนของซั่งกวานเชียนจื้ออย่างไร
“เอาละ ในเมื่อไม่มีใครคิดจะแย่งชิงผลึกอสูรกับพวกเราอีก เช่นนั้นพวกเราก็จะรับผลึกอสูรทั้งสองชิ้นนั้นไปละนะ”
มู่เฟิงกวาดตามองผู้คนขณะกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น
เมื่อไม่มีบัณฑิตคนใดตอบกลับมา ศิษย์ตระกูลมู่ก็เข้าไปนำผลึกอสูรระดับหนิงกังทั้งสองชิ้นออกมา
หลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของมู่เฟิงแล้ว เหล่าบัณฑิตใหม่ก็พลันเข้าใจ อย่างแท้จริงว่าความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ทรงพลังเหนือบัณฑิตใหม่อย่างพวกเขามากเพียงใด คาดว่าคงมีเพียงบัณฑิตปีสองหรือบัณฑิตปีสามเท่านั้นที่จะสามารถเป็คู่ต่อสู้ของเขาได้
“พวกเราไปกันเถอะ"
มู่เฟิงโบกมือก่อนจะเดินนำศิษย์ตระกูลมู่จำนวนกว่าสิบคนจากไปด้วยท่าทางหยิ่งทะนง และไม่มีใครกล้าขวางเขาเลยสักคน ในขณะเดียวกันนั้น ลู่โหย๋วเยี่ยก็เพิ่งจะตื่นได้สติ ส่วนหลี่ว์หยางนั้นก็ทำได้เพียงกัดฟันกรอดมองดูพวกมู่เฟิงเดินจากไปเท่านั้น
“แข็งแกร่งมาก เกรงว่าในหมู่บัณฑิตใหม่คงไม่มีใครเอาชนะเขาได้”
“พวกเ้าไม่รู้อะไร เดิมทีแล้วเขาควรจะได้เข้าศึกษาในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นพร้อมกับบัณฑิตรุ่นก่อน เพียงแต่ครั้งก่อนเขาเกิดเื่จึงต้องเข้าศึกษาในปีนี้ แม้ว่าอายุของเขาจะไล่เลี่ยกับพวกเรา แต่ความแข็งแกร่งของเขาอยู่คนละระดับกับพวกเราเลยละ”
“มู่เฟิง มู่เฟิง ดูเหมือนว่าสามอันดับแรกของการประเมินนี้คงมีเขาเป็หนึ่งในนั้นแน่”
เหล่าบัณฑิตใหม่ต่างก็มองตามศิษย์ตระกูลมู่ที่กำลังเดินจากไปขณะพูดคุยกันถึงเื่ของพวกเขา
“หึ มู่เฟิง อย่าได้ชะล่าใจไปนัก อันดับหนึ่งของการประเมินในครั้งนี้ ยังไม่อาจกล่าวได้ว่าจะเป็ผู้ใด!”
เฉินเซิ่งกัดฟันกรอดหลังจากเอ่ยขึ้นด้วยความเกลียดชัง
“พี่เฟิง ตอนที่ชายผู้นั้นอวดอ้างว่าตนเป็อันดับหนึ่งของรุ่น หากว่าท่านไม่ลงมือ ข้าก็จะลงมือสั่งสอนบทเรียนให้เขาเอง”
ไป๋จื่อเยว่ยังคงกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“หากอีกฝ่ายไม่ล่วงเกินข้า ข้าย่อมไม่คิดทำอะไรพวกเขา ลู่โหย๋วเยี่ยผู้นั้นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า คนเราสามารถทะนงตนได้ แต่ไม่ควรหยิ่งผยองจนเกินไป”
มู่เฟิงสอนคนของตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
จากนั้นทุกคนก็เริ่มค้นหาอสูรร้ายตัวอื่นในป่ากันต่อ ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาวันเวลาก็ล่วงเลยมาถึงวันที่เจ็ดของการประเมินแล้ว
สำหรับการประเมินบัณฑิตใหม่ในครั้งนี้ มู่เฟิงไม่ได้มีความกดดันใดอยู่ในใจเลย เพราะเขาตระหนักได้เป็อย่างดีว่าความแข็งแกร่งของบัณฑิตใหม่ในรุ่นนี้ไม่มีใครเทียบเขาได้
เป้าหมายที่แท้จริงของเขาก็คือบัณฑิตสายในพวกนั้นต่างหาก
ในคืนวันที่แปดของการประเมิน กลุ่มของมู่เฟิงปักหลักพักแรมกันที่ริมฝั่งแม่น้ำ ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงสองวันพวกเขาก็จะได้กลับไปยังสำนักศึกษาเทียนอวิ่นแล้ว และเวลานั้นการประเมินก็จะสิ้นสุดลง
ทุกคนก่อกองไฟที่ริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะนั่งล้อมวงพูดคุยและย่างเนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้ ตอนนี้อาการาเ็ของมู่ฝานเองก็ดีขึ้นมากแล้วเช่นกัน
มู่เฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างไม่ได้เข้าไปร่วมวงสนทนากับทุกคน ยามนี้เขากำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาร้อยกระบี่หวนคืน เส้นพลังปราณจำนวนกว่าสามสิบเส้นกำลังถักทอสอดผสานขึ้นบนฝ่ามือของมู่เฟิง เพียงไม่นานมันก็เริ่มขึ้นรูปเป็กระบี่สีขาว จากด้ามกระบี่ที่เรียงตัวขึ้นไปเป็ตัวกระบี่ ถักทอสอดผสานกันทีละเล็กทีละน้อย
ในขณะที่มู่เฟิงกำลังฝึกฝนอยู่นั้น เขาไม่รู้เลยว่าวิกฤตครั้งใหญ่กำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามาอย่างเงียบงัน...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้