“ฮึม!”
มิติบิดเบือน เผยให้เห็นเงาหลายร่างถูกส่งออกจากซากโบราณสถานูเาไฟ พวกเขาก็คือสตรีชุดม่วงกับพวกหลงเอ้อ
ทว่าพวกเขาเพิ่งออกมาได้ไม่นานก็เห็นจั๋วอวิ๋นเซียนกับถังจิ่วพาเด็กสาวชุดธรรมดาคนหนึ่งเข้าไปในซากโบราณสถานูเาไฟ
“พี่หญิงหลิง นั่นมันถังจิ่วกับเด็กเมื่อครู่มิใช่หรือ...หรือพวกเขาจะเข้าไปท้าทายซากโบราณสถานกันจริงๆ?”
“น่าขันนัก แค่พวกเขาสองคน...ไม่สิ แค่พวกเขาสามคนคิดจะผ่านด่านได้เชียวหรือ? ช่างไม่รู้จักประมาณตน!”
“แต่สตรีคนนั้นเป็ใครกัน? หรือว่าจะเป็ยอดฝีมือ!”
“ยอดฝีมือบ้าบออะไร ในมิติมายาสุญญตาระดับพลังสูงสุดมีเพียงระดับรวมพลัง พวกเราระดับรวมพลังมากมายขนาดนี้รวมกับพี่หญิงหลิงแล้วยังไม่ผ่าน นับประสาอะไรกับพวกเขา!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
……
เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยของผู้คนรอบด้าน สตรีชุดม่วงรู้สึกรำคาญนัก เดิมทีนางคิดว่าครั้งนี้ตัวเองเตรียมตัวมาดีจะต้องผ่านซากโบราณสถานูเาไฟได้แน่นอน คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังล้มเหลว
สำหรับพวกถังจิ่วสามคนที่เข้าไปซากโบราณสถาน สตรีชุดม่วงไม่คิดว่าพวกเขาจะผ่านด่านได้สำเร็จ จึงไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา อีกทั้งยังรู้สึกขบขัน
“อย่าพูดไร้สาระ ลองไปหาคนมาเพิ่ม”
สตรีชุดม่วงออกคำสั่ง พวกหลงเอ้อจึงรีบออกไปหาคน
……
ในถ้ำใต้ดิน อากาศร้อนอบอ้าว
ทันใดนั้นมีเงาปรากฏออกมาสามร่าง พวกเขาก็คือจั๋วอวิ๋นเซียน ถังจิ่ว และเสี่ยวเนี่ยนที่ปรากฏตัวในถ้ำใต้ดิน
หลังจากจั๋วอวิ๋นเซียนเข้าไปในซากโบราณสถานแล้วก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวทันที กลับตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างเงียบๆ เป็ดังคาดมันแตกต่างจากเมื่อก่อนไม่น้อยเลย
เมื่อก่อนที่นี่เป็ซากปรักหักพัง มีแต่กลิ่นอายความตายกับกลิ่นเน่าเหม็นและความหนาวเย็น แต่ตอนนี้กลับร้อนอบอ้าว ในอากาศอวลด้วยกลิ่นเหม็นแสบจมูก
……
“เสี่ยวเซียนหลังจากซากโบราณสถานูเาไฟฟื้นฟูเสร็จ บททดสอบหลักเกี่ยวข้องกับการใช้ไฟ ข้าต้องตั้งใจปรุงโอสถ ดังนั้นหลังจากนี้ต้องพึ่งเ้าแล้ว!”
ถังจิ่วตบบ่าของจั๋วอวิ๋นเซียนอย่างวางใจ เหมือนกับผู้าุโฝากฝังผู้เยาว์ น่าเสียดายที่จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้สนใจเขา
ในตอนนี้จั๋วอวิ๋นเซียนจมจ่อมอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง เขาสามารถััถึงความร้อน การไหลเวียน หรือแม้กระทั่งการเกิดและดับสูญของเปลวเพลิงได้ เหมือนทุกอย่างในนี้ล้วนมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น และในร่างกายของเขา ‘เพลิงสีชาด’ ราวกับอยากจะพุ่งออกมา เหมือนมีความสุขในความเป็อิสระ
หลังจากที่เพลิงสีชาดถือกำเนิดในร่างกายของจั๋วอวิ๋นเซียน เขายังไม่มีวิธีควบคุมเปลวเพลิงนี้ได้ดั่งใจนึกเลย ทำได้เพียงปล่อยและเก็บอย่างง่ายเท่านั้น นี่ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างเหนื่อยหน่ายใจ
เมื่อสมัยยุคโบราณฟ้าดินมิอาจช่วยเหลือ ด้วยเหตุนี้จึงมีมนุษย์เคารพพิภพ พิภพเคารพ์ ์เคารพวิถี วิถีเคารพธรรมชาติ...วิธีการบำเพ็ญหรือวิธีการต่อสู้ทั้งหมดล้วนมาจากธรรมชาติแห่งฟ้าดิน
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดแสงวาบเข้ามาในสมองของจั๋วอวิ๋นเซียน เขากำลังเรียนคลื่นเปลวเพลิงจากสถานที่แห่งนี้และลองเชื่อมต่อกับเปลวเพลิงสีชาดในร่างกาย...
“มีปฏิกิริยาจริงๆ ด้วย เหมือนประสิทธิภาพจะไม่เลวเลย!”
จั๋วอวิ๋นเซียนพึมพำกับตัวเอง เขาลองรวมพลังเปลวเพลิงเอาไว้ที่ฝ่ามือ
เมื่อถังจิ่วกับเสี่ยวเนี่ยนเห็นก็ใ พวกเขารีบถามสถานการณ์ของจั๋วอวิ๋นเซียน แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพียงแค่บอกว่าตัวเองกำลังฝึกฝนวิทยายุทธ์ควบคุมเปลวเพลิง
เข้าซากโบราณสถานสักแห่งยังต้องกระทำเช่นนี้หรือ?
ถังจิ่วกับเสี่ยวเนียนมองจั๋วอวิ๋นเซียนด้วยสายตาที่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้รบกวนเขา
ในแผ่นดินเซียนฉยง ผู้บำเพ็ญเซียนที่สามารถควบคุมเปลวเพลิงได้จะมีชีวิตที่ดีมาก ยังไม่ต้องถามถึงพลังต่อสู้ ถ้าในอนาคตกลายเป็นักปรุงโอสถหรือนักสร้างอาวุธ...ไม่ว่าไปที่ไหนล้วนถูกมองเป็คนชั้นสูง เป็คนที่ขั้วอำนาจต่างๆ ล้วนอยากคบค้าด้วย
……
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จั๋วอวิ๋นเซียนก็รวมพลังเปลวเพลิงได้โดยไม่สลายไป เขาสามารถประคองไว้ในฝ่ามือ ราวกับกำลังฝึกฝนวิชาลับเปลวเพลิงบางชนิด เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีพลังอำนาจเท่าใด
ทั้งสามคนเดินออกจากถ้ำใต้ดิน ด้านหน้าสว่างขึ้นทันที
ด้านหน้าเป็โลกเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ลูกเพลิงลูกแล้วลูกเล่าล่องลอยไปมากลางอากาศโดยไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย...เหมือนััได้ถึงการปรากฏตัวของพวกเขา พวกมันเปรียบดั่งฉลามที่ได้กลิ่นเื ต่างพุ่งกรูเข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้
“ถังจิ่ว นี่คือสิ่งมีชีวิตในมิติมายาหรือ?”
จั๋วอวิ๋นเซียนรู้สึกประหลาดใจ เปลวเพลิงที่ราวกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถือกำเนิดมาได้อย่างไร
ถังจิ่วปกป้องเสี่ยวเนียนไว้ด้านหลัง เขาหยิบโล่ั์ใบหนึ่งกับยันต์เหมันต์ปึกหนึ่งออกมาพลางกล่าวอย่างจริงจัง “อืม พวกเราเรียกมันว่าิญญาอัคคี เ้าอย่าดูถูกพวกมันเชียวนะ พวกมันนั้น...”
เมื่อเสียงของเขาเงียบลง ถังจิ่วกับเสี่ยวเนี่ยนเบิกตากว้าง เห็นจั๋วอวิ๋นเซียนตบไปบนร่างของิญญาอัคคีเบาๆ จากนั้น...ก็ไม่มีจากนั้นอีกแล้ว!
ในเวลานี้จั๋วอวิ๋นเซียนหันหน้ากลับมา “เมื่อครู่เ้าบอกว่าพวกมันทำไมนะ?”
อ่อนแอมากหรือ? มันอ่อนแอเกินไปจริงๆ เพียงฝ่ามือเดียวิญญาอัคคีก็แตกสลายไปแล้ว ไม่เรียกอ่อนแอแล้วเรียกอะไร?
“มัน...เก่งมาก...กระมัง?”
ถังจิ่วสงสัยว่าตัวเองเห็นภาพหลอนหรือไม่ ทว่าพอใช้แรงตบที่ใบหน้าตนเองถึงได้สติกลับมา “บ้าไปแล้ว จั๋วอวิ๋นเซียนเ้าทานโอสถเสริมหยางเข้าไปหรืออย่างไร เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งปานนี้!”
“ถุ้ย!”
เสี่ยวเนี่ยนทำเสียงชู่และใช้มือแอบหยิกถังจิ่ว จากนั้นหันไปกล่าวกับจั๋วอวิ๋นเซียน “พี่อวิ๋นเสี่ยวไม่ต้องใส่ใจ พี่จิ่วเป็คนที่ชอบพูดไร้สาระเช่นนี้แล”
ถังจิ่วหัวเราะพลางโบกมือ “เสี่ยวเนี่ยน อยู่ต่อหน้าพวกเราไม่ต้องระวังตัวขนาดนี้ก็ได้ อวิ๋นเสี่ยวเซียนไม่เหมือนคนอื่น พูดตามตรง พี่จิ่วรู้จักเขามานานขนาดนี้แล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นเขาโมโหมาก่อนเลย”
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้ใส่ใจ เพียงกล่าวอธิบายว่า “เมื่อครู่ข้าลองใช้เพลิงสีชาดในกายัักับิญญาอัคคี ทว่าิญญาอัคคีกลับสลายหายไปเอง ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิด น่าจะเป็พลังสะกดจากระดับพลังต้นกำเนิด...เปลวเพลิงสีชาดของข้าสูงกว่าิญญาอัคคีของที่นี่ จึงสะกดข่มพวกมันได้พอดี”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้”
ถังจิ่วกับเสี่ยวเนี่ยนเข้าใจทันที จากนั้นเปลี่ยนความกดดันเป็ความดีใจ ถ้ามีพลังของจั๋วอวิ๋นเซียน ความกดดันที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับิญญาอัคคีจะสบายขึ้นไม่น้อยเลย และโอกาสผ่านซากโบราณสถานก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
เพียงแต่จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้คิดจะใช้เปลวเพลิงสีชาดต่อ ถึงอย่างไรวิธีเช่นนี้ก็สิ้นเปลืองพลังจิตมาก ไม่มีทางใช้อย่างประหยัดได้ ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายหลักที่เขามาที่นี่ก็เพื่อการฝึกฝน
“ถังจิ่ว ขอกระบี่เล่มหนึ่ง”
เมื่อได้ยินคำขอของจั๋วอวิ๋นเซียน ถังจิ่วโยนกระบี่เล่มหนึ่งให้เขาอย่างไม่ลังเล “กระบี่เล่มนี้เป็ถึงอาวุธวิเศษระดับสูงในมิติมายาสุญญตา ข้าใช้เงินไปสามพันเหรียญมายาเต็มๆ เ้าอย่าทำพังเชียว มิเช่นนั้น...”
“ข้าไม่เอาก็ได้”
“……”
ถังจิ่วรู้สึกหดหู่ “เอาไปเถอะไม่ต้องขอบคุณ ข้าเป็คนใจกว้างน่ะ!”
เสี่ยวเนี่ยนแอบหัวเราะ รู้สึกว่าสองคนนี้น่าสนใจไม่น้อย นางเพิ่งเคยเห็นพี่จิ่วที่หยิ่งทะนงคนนั้นเสียเปรียบขนาดนี้
“กระบี่ดี!”
เมื่อถือกระบี่ในมือบรรยากาศรอบตัวจั๋วอวิ๋นเซียนค่อยๆ เปลี่ยนไป
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้เขาคือทะเลสาบที่สงบนิ่ง เช่นนั้นเขาในตอนนี้ราวกับเป็หมอกควันที่ล่องลอยอยู่บนผิวน้ำ ล่องลอยเลือนราง คล้ายจริงคล้ายเท็จ ทำให้ผู้คนมิอาจคาดเดา
เสี่ยวเนี่ยนไม่รู้สึกอะไร นางไม่คุ้นเคยกับจั๋วอวิ๋นเซียนจึงไม่ได้รู้สึกใ แต่ถังจิ่วไม่เหมือนกัน เขากับ ‘อวิ๋นเสี่ยวเซียน’ รู้จักกันมาหลายปี กลับไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่าย
ทันใดนั้นถังจิ่วรู้สึกว่า ตัวเองเหมือนไม่เข้าใจสหายคนนี้เลย
