ด้วยความกดดันจากเย่เฟิง ทำให้ศิษย์สายในพรรคเทียนจีต้องออกไปพร้อมกับความขมขื่น
เย่เฟิงรู้ว่าการที่ผู้คุมกฎสั่งให้เขาไปจะต้องเป็เจตนาไม่ดีอย่างแน่นอน มีความเป็ไปได้สูงว่าผู้ที่อยู่เื้ัก็คือเฉินอ้าวเทียน เฟิงเฉียน และโจวมู่ไป๋
ผู้คุมกฎมีอำนาจสูงมาก สามารถใช้กฎทำทุกอย่างได้ ผู้าุโในฝ่ายนั้นยังมีอำนาจตัดสินในทุก ๆ เื่ และทุกคนต้องเชื่อฟังกฎ หาไม่แล้วใครฝ่าฝืนกฎก็จะถูกลงโทษ เื่นี้เย่เฟิงทราบดี ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ต้องไปเยือนพรรคเทียนจีสักรอบแล้ว
เย่เฟิงไม่ใช่คนโง่เขลา เขารู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้ที่ไล่ล่าตอนเขาอยูู่เาร้างเกี่ยวพันกับพวกเฉินอ้าวเทียน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังอยู่ก็ไม่มีทางรามือไปง่าย ๆ คนเหล่านี้ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะกำจัดเขา แต่เขาก็อยากเห็นว่าครั้งนี้พวกเฉินอ้าวเทียนจะจัดการเขาเย่เฟิงได้อย่างไร
หลังจากเย่เฟิงพูดคุยกับฉู่หานและฉิงเฟยอยู่ครู่หนึ่งก็ออกจากที่พักไป แต่ก่อนจะไปเย่เฟิงยังให้ผลเทียนเสวียนกับทั้งสองคนละผล พวกเขาก็ต้องรู้สึกใและยินดีไปพร้อม ๆ กัน นี่ทำให้พวกเขาซาบซึ้งและเคารพนับถือเย่เฟิงมากขึ้น
เย่เฟิงออกจากที่พักก็หาูเาลูกหนึ่งที่เงียบและลึกลับเพื่อบ่มเพาะพลัง จากนั้นเยาตานที่เปล่งแสงอบอุ่นปรากฏในมือพร้อมกับมีกลิ่นอายสัตว์อสูรแผ่ออกมาจากในนั้น นี่ก็คือเยาตานที่เย่เฟิงได้มาจากการฆ่าหมีั์ในเทือกเขาปี้หลิง เยาตานนี้ล้ำค่ามาก และมันสามารถยกระดับการบ่มเพาะให้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาได้หนึ่งขั้น
การที่เย่เฟิงนำเยาตานนี้ออกมา นั่นก็เพราะยกระดับการบ่มเพาะเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานประลองยุทธ์ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ถึงอย่างไรขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 ก็ยังถือว่าต่ำมาก จากนั้นเขากลืนเยาตานลงท้องอย่างไม่ลังเล จู่ ๆ พลังที่น่าทึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเย่เฟิง เขาควบคุมพลังหยวนและค่อย ๆ ดูดซับพลังเ่าั้
“กริ้ง!” พลันมีเสียงกังวานดังขึ้นในหัว เย่เฟิงรู้ว่านั่นคือปฏิกิริยาของไข่มุกเม็ดนั้น มัน้าดูดซับเยาตานและแปรเปลี่ยนเป็พลังงาน
เย่เฟิงเพียงคิด จู่ ๆ จิตเทพก็เชื่อมโยงกับไข่มุก นี่ทำให้ไข่มุกสงบลง จากนั้นเขาเริ่มดูดซับพลังมหาศาลที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
รุ่งอรุณมาเยือน แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาที่ร่างเย่เฟิง ทำให้เย่เฟิงรู้สึกอบอุ่น จากนั้นเขาลืมตาและค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ตอนนี้ลมปราณของเขาเปลี่ยนไปจนแกร่งขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังดูสุขุมขึ้นมาก ให้ความรู้สึกลึกลับและคาดเดาไม่ได้ ทั้งยังมีแสงจ้าดุจดวงดาวปะทุออกจากดวงตาคู่นั้น
หลังจากบ่มเพาะพลังได้หนึ่งคืน เย่เฟิงไม่เพียงแต่รักษาอาการาเ็ แต่ยังทะลวงขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 ได้อีกด้วย พลังต่อสู้ของเขาก็ยกระดับขึ้นเช่นเดียวกัน
“งานประลองยุทธ์ของพรรคเทียนจีน่าจะใกล้เริ่มแล้ว!” แววตาของเย่เฟิงตาส่องประกายแหลมคม จากนั้นเขาออกไปจากูเาแห่งนี้
พรรคเทียนจีเป็พรรคที่ทรงอำนาจมากที่สุดในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ส่วนพรรคเทียนอวิ๋นและพรรคเทียนเซียวไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียงในสำนักมากเท่าไรนัก
สำหรับพรรคเทียนเสวียน พรรคนี้เงียบขรึมมากที่สุดในสี่พรรค พวกเขารับผู้ปลุกิญญาาขั้นเหลืองขึ้นไป และยังจำกัดผู้ที่จะเข้าร่วมพรรค ดังนั้นพรรคเทียนเสวียนจึงมีศิษย์น้อยที่สุดในสี่พรรค บรรยากาศภายในพรรคจึงหนาวเหน็บและค่อย ๆ เสื่อมโทรม ต่อมามีข่าวลือแพร่กระจายว่าพรรคเทียนจีคิดจะโค่นล้มพรรคเทียนเสวียน และสร้างพรรคเทียนจีขึ้นใหม่ ซึ่งข่าวลือนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่หลายปีมานี้ผู้คนรับรู้ได้ถึงความผิดปกติระหว่างทั้งสองพรรค
ลานกว้าง ณ พรรคเทียนจี ผู้คนจากสี่พรรคต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่อย่างเนืองแน่น เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ของพรรคเทียนจีในฐานะเ้าภาพก็มาถึงกันแล้ว ทั้งยังเป็กระบวนทัพที่แข็งแกร่งอีกด้วย พรรคเทียนอวิ๋นและพรรคเทียนเซียวต่างส่งผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือมาเช่นกัน ทว่ามีเพียงพรรคเทียนเสวียนที่มีคนมาน้อยมาก
ส่วนผู้ฝึกยุทธ์แห่งแท่นศิลาเทียนเสวียน นอกจากคนที่ออกไปหาประสบการณ์ คนอื่น ๆ ก็มาถึงงานประลองยุทธ์ที่จัดขึ้นโดยพรรคเทียนจีแล้ว
อย่างไรก็ตามงานประลองยุทธ์ถือว่าเป็งานประลองครั้งใหญ่ใน่เวลาปลายปีของสำนัก ทำให้ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาล ทั้งยังมีบรรยากาศครึกครื้น เวทีประลองที่ตั้งตระหง่านกลางลานกว้างดูโอ่อ่า บนอัฒจันทร์ที่ห้อมล้อมเวทีประลองก็ยังมีผู้คนนั่งอยู่เป็จำนวนมาก ไม่เห็นที่ว่างแม้สักที่เดียว ส่วนอัฒจันทร์ที่อยู่ตรงกลางเป็ของพรรคเทียนจี บนนั้นมีแต่คนระดับสูงของพรรคเทียนจี และเฉินเซี่ยงเทียนก็คือผู้ดำเนินงานประลองยุทธ์ในครั้งนี้
ข้างกายของเฉินเซี่ยงเทียนยังมีเฉินอ้าวเทียนและหนานกงหลิงซวง เฉินอ้าวเทียนนั้นคือหนึ่งในอัจฉริยะไม่กี่คนที่มีฝีมือมากที่สุดของพรรคเทียนจี เขาย่อมมีสิทธิ์นั่งในระดับสูง
อีกด้านหนึ่งของเฉินเซี่ยงเทียนยังมีชายวัยกลางคนอีกคนนั่งอยู่ คนผู้นี้สวมอาภรณ์ที่น่าเกรงขาม ดวงตาคู่นั้นของเขายังเผยประกายคมกริบ คนผู้นี้ก็คือผู้าุโจากกลุ่มผู้คุมกฎ ถือว่าเป็ตัวแทนแห่งกฎก็ว่าได้ ฐานะย่อมไม่ธรรมดา แม้แต่เฉินเซี่ยงเทียนยังต้องเกรงใจ
“อ้าวเทียนหลานรัก ศิษย์สายนอกพรรคเทียนเสวียนคนนั้นที่เ้าพูดถึงมาหรือยัง?” ผู้คุมกฎาุโเรียกเฉินอ้าวเทียนว่าหลานรัก เห็นชัดว่าเฉินอ้าวเทียนมีฐานะไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่มีพร์แกร่งกล้า ทว่ายังมีฐานะที่สามัญชนมิอาจเทียบเคียง
“ยังไม่มา บางทีเขาได้ยินหมายเรียกของท่านผู้าุโก็เลยไม่กล้ามากระมัง” เฉินอ้าวเทียนกวาดตามองฝูงชน แต่ก็ไร้วี่แววของเย่เฟิง
“หึ!” ผู้คุมกฎาุโคนนั้นแค่นเสียงเ็า ก่อนกล่าวต่อ “ฆ่าคนโดยไม่มีเหตุผล มิอาจให้อภัยได้ ไม่ว่าเขาอยู่ที่ใดก็ต้องถูกลงโทษด้วยกฎเหล็กของผู้คุมกฎ”
เฉินอ้าวเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ตาเผยประกายเยือกเย็น วันนี้เขาจะทำให้เย่เฟิงชดใช้คืนด้วยราคาแสนเ็ปสำหรับสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ และต้องทำให้เย่เฟิงคุกเข่าขอโทษเขาให้จงได้
“ผู้าุโอู๋ใจเย็น เขาก็แค่ศิษย์สายนอกพรรคเทียนเสวียนเท่านั้น เขาหนีไม่พ้นเงื้อมมือของท่านแน่นอน?” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าว ผู้าุโอู๋ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับเฉินเซี่ยงเทียน
“ใกล้ได้เวลาแล้ว อ้าวเทียน ประกาศเริ่มงานประลองยุทธ์!” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าวกับเฉินอ้าวเทียน เมื่อเหลือบเห็นพระอาทิตย์ลอยสูงเหนือหัว
“อืม” เฉินอ้าวเทียนพยักหน้า จากนั้นลุกขึ้นมองผู้คนและกล่าวขึ้น “ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสามพรรคมาเยือนพรรคเทียนจี ข้ารู้สึกเป็เกียรติยิ่งนัก พรรคเทียนจีคือผู้จัดงานประลองยุทธ์ในครั้งนี้ ก็เพื่อทดสอบอัจฉริยะของทั้งสี่พรรคก่อนการแข่งขันแห่งสำนักยุทธ์จะมาถึง การประลองของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์จะทำให้เห็นถึงความสามารถของทุกคนได้เป็อย่างดี ข้าพรรคเทียนจีจึงสร้างเวทีประลองเพื่อให้ทุกคนที่มีคุณสมบัติขึ้นไปต่อสู้บนนั้น โดยการใช้วิธีท้าดวล หากผู้ใดตอบรับคำท้าจากอีกฝ่ายก็สามารถขึ้นเวทีประลองได้ กฎคือไม่แบ่งลำดับและทำตามเงื่อนไขที่อีกฝ่ายบอก เช่นนั้นงานประลองยุทธ์เริ่ม ณ บัดนี้ได้”
เสียงของเฉินอ้าวเทียนดังกึกก้องทั่วลานกว้าง ทุกคนจึงได้ยินชัดเจน คนจำนวนไม่น้อยต่างตาเป็ประกาย งานประลองยุทธ์ใช้การต่อสู้เป็หลักอย่างที่คาดการณ์ไว้ สามารถท้าดวลกับใครและเสนอเงื่อนไขอะไรก็ได้ เื่นี้ทำให้หลาย ๆ คนตื่นเต้นดีใจ และ้าแสดงฝีมือต่อหน้าผู้ฝึกยุทธ์จากสี่พรรค
“วูบ!” ตอนนั้นเองมีเงาร่างหนึ่งทะยานออกจากด้านพรรคเทียนจีและร่อนลงเวทีประลอง คนผู้นี้เป็คนรุ่นเยาว์ มีใบหน้าหล่อเหลา ลมปราณแกร่งกล้า มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็คนมีฝีมือ
“ในฐานะเ้าภาพงานประลองยุทธ์ในครั้งนี้ พรรคเทียนจีส่งแต่คนเก่ง ๆ ขึ้นเวทีอย่างที่คิดไว้ ไม่รู้ผู้ฝึกยุทธ์คนนี้จะเลือกท้าดวลกับใคร?” ผู้คนคิดในใจ
“พรรคเทียนจีเป็ผู้จัดงานประลองยุทธ์ในครั้งนี้ ส่วนข้าในฐานะศิษย์พรรคเทียนจียินดีเริ่มการประลองเป็คนแรก สามสนาม ท้าดวลผู้ฝึกยุทธ์สามคน ใครมีระดับการบ่มเพาะเทียบเท่าข้า สามารถขึ้นเวทีได้” ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวช้า ๆ แม้เขาจะพูดอย่างเกรงใจ แต่ทุกคนเข้าใจในความหมายของอีกฝ่าย
“สามสนาม ท้าดวลผู้ฝึกยุทธ์สามคน ชายผู้นี้ใจกล้าไม่เบา” ผู้คนได้ยินเช่นนั้นก็ตาส่องประกายแหลมคม สู้สามครั้งติดช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก ยิ่งกว่านั้นชายผู้นี้ยังท้าทายทุกคนโดยไม่เจาะจงใคร นั่นหมายความว่าตราบใดที่อยู่ระดับเดียวกับชายผู้นี้ก็สู้กับเขาได้ นี่ไม่เพียงแต่โอหัง แต่ยังดูแคลนคนของอีกสามพรรค
“เขาคือคางเจี้ยน ผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายา ผู้ปลุกิญญาาวัวสุวรรณขั้นเหลือง ลือกันว่าเขาขึ้นไปอยู่ในรายนามขั้นบ่มเพาะกายาได้นานแล้ว ไม่แปลกใจที่เขาจะมั่นใจมากถึงเพียงนี้” มีคนจำชายผู้นี้ได้ จู่ ๆ ผู้คนมากมายก็ต้องประหลาดใจ คางเจี้ยนนามนี้มีชื่อเสียงในสำนักยุทธ์มากใน่นี้ พวกเขาได้ยินมาเช่นกัน
“ทำไม? ไม่มีใครกล้าสู้หรือ?” คางเจี้ยนเห็นผู้คนเงียบกริบจึงเอ่ยขึ้น แต่ประโยคนี้ถือเป็การดูแคลนของคนอีกสามพรรค
“ข้าจะสู้กับเ้าเอง” ขณะนั้นมีเงาร่างหนึ่งทะยานร่างออกจากด้านพรรคเทียนอวิ๋นมาเยือนเวทีประลอง คนผู้นี้อยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มผู้นั้นปล่อยหมัดโจมตีคางเจี้ยนโดยไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ ทันใดนั้นคางเจี้ยนก็ก้าวออกมาพร้อมปล่อยหมัดแห่งการทำลายล้าง ก่อนจะเข้าปะทะกับหมัดของชายหนุ่มพรรคเทียนอวิ๋น ตามมาด้วยเสียงดังะเิ ร่างคางเจี้ยนนิ่งดุจภูผา แต่ชายหนุ่มพรรคเทียนอวิ๋นกลับกระเด็นปลิวตกเวทีประลอง
“แกร่งมาก!” ผู้คนต่างตกตะลึงกับพลังที่ร้ายกาจของคางเจี้ยน เขาโจมตีอีกฝ่ายที่อยู่ระดับเดียวกันด้วยหมัดเดียวจนกระเด็นปลิว
“มีใครอีกไหม?” คางเจี้ยนกล่าวพลางกวาดสายตามองอัฒจันทร์
“ข้า!” แม้ผู้คนจะใกับพลังของคางเจี้ยน แต่ก็มีบางคนไม่เกรงกลัวและอยากทดสอบพลังของคางเจี้ยนด้วยตัวเอง ถึงอย่างนั้นการแลกเปลี่ยนวิชาระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ก็มีชนะและแพ้เป็เื่ธรรมดา
ครั้งนี้เป็ผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาจากพรรคเทียนเซียว ดวงตาของเขาส่องประกายคมกริบพร้อมเจตจำนงต่อสู้พวยพุ่งออกจากร่าง ทั้งยังมีิญญาาเสือชีตาห์ขั้นเหลืองปรากฏด้านหลัง
“ิญญาาเสือชีตาห์ขั้นเหลือง คนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีพลังแกร่งกล้า แต่ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าคางเจี้ยน น่าจะสู้กับคางเจี้ยนได้!” ผู้คนคิดในใจ
“จำไว้ เ้าคือผู้ชนะ เว่ยจง!” ชายหนุ่มพรรคเทียนเซียวคล้ายเชื่อมั่นในพลังของตัวเองมาก พอขึ้นเวทีมาก็ตัดสินว่าตนเอาชนะคางเจี้ยนได้
“ไม่ลอง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเ้าเอาชนะข้าได้?” คางเจี้ยนกล่าว ก่อนจะก้าวออกมา ย่างก้าวของเขาหนักแน่นราวกับวัวสุวรรณก็ไม่ปาน
“ไสหัวไป!” ชายหนุ่มนามว่าเว่ยจงคนนั้นแผดเสียงะโอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นปล่อยิญญาาเสือชีตาห์เข้าโจมตี
“มีพลังแค่นี้เองหรือ?” คางเจี้ยนกล่าวโดยไม่สนใจการโจมตีของอีกฝ่าย เขาเดินไปต่อแต่เมื่อิญญาาเสือชีตาห์ของอีกฝ่ายใกล้เข้ามา เขาก็ปล่อยหมัดออกไป ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น ิญญาาเสือชีตาห์แตกสลาย คลื่นพลังแพร่กระจาย เว่ยจงต้องหน้าถอดสี เขามิอาจต้านทานพลังนั้นได้ จึงถูกหมัดของคางเจี้ยนซัดเข้าเต็ม ๆ จนกระอักเื
“ข้าแพ้แล้ว!” เว่ยจงกล่าวอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคางเจี้ยน หากขืนสู้ต่อไป เกรงว่าชีวิตคงหาไม่
คางเจี้ยนเป็ฝ่ายชนะ แม้ว่าเว่ยจงจะมีพร์ไม่เลว มีหลาย ๆ คนเรียกเขาว่าอัจฉริยะมากฝีมือ แต่ระหว่างอัจฉริยะและอัจฉริยะก็มีช่องว่างได้ และช่องว่างนี้ก็ห่างไม่น้อย
“ฮู่ว!” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างทอดถอนใจ พรรคเทียนจีเป็ผู้จัดงานประลองยุทธ์ในครั้งนี้ก็หลีกเลี่ยงเื่เช่นนี้ไม่ได้ การประลองรอบแรกก็ส่งคางเจี้ยนขึ้นเวทีแล้ว นี่เป็การกดดันอีกสามพรรคชัด ๆ
“ใครจะต่อ?” คางเจี้ยนกล่าว ครั้งนี้สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่พรรคเทียนเสวียน ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าจะสู้สามครั้งติด ซึ่งพรรคเทียนอวิ๋นและพรรคเทียนเซียวส่งคนขึ้นเวทีแล้ว แต่ยังเหลือพรรคเทียนเสวียน
บรรยากาศพลันเงียบกริบ ไม่มีใครส่งเสียงใด ๆ ทางด้านพรรคเทียนเสวียนก็มีคนไม่มาก และมีผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาเพียงคนเดียว เมื่อคนผู้นี้ได้ยินคำพูดของคางเจี้ยนตาก็เผยประกายคมกริบ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ตนรู้ว่าไม่ใช่คู่มือของคางเจี้ยน ก็จำเป็ต้องทำ
“ศิษย์พี่ระวังตัวด้วย หากสู้ไม่ไหวก็ยอมแพ้เสีย” ศิษย์พรรคเทียนเสวียนคนอื่น ๆ เห็นชายผู้นั้นลุกขึ้นยืนก็ต่างเป็กังวลแทนเขา จากนั้นเขาทะยานร่างและร่อนลงเวทีประลอง เผชิญหน้ากับคางเจี้ยน
“พรรคเทียนเสวียนนี่ลึกลับเสียจริง ผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายามีเ้าคนเดียวหรือ?” คางเจี้ยนมองชายหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาดูแคลน แต่จริง ๆ แล้วเขาดูแคลนความยากจนข้นแค้นของพรรคเทียนเสวียน นี่ทำให้ชายหนุ่มพรรคเทียนเสวียนเผยสีหน้าไม่สู้ดีและรู้สึกโกรธ จึงพูดขึ้นว่า “พูดให้มันน้อย ๆ หน่อย เริ่มเลยเถอะ!”
“ลำพังแค่ตัวเ้า คิดว่าจะเอาชนะข้าได้หรือ? ข้าขอแนะนำให้เ้ายอมแพ้และลงไปจากเวทีประลองเสียจะดีกว่า!” คางเจี้ยนไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา คำพูดของเขาแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผู้คนของพรรคเทียนเสวียนที่อยู่บนอัฒจันทร์มีสีหน้าย่ำแย่ แต่กลับมีเสียงหัวเราะดังจากด้านพรรคเทียนจี เหล่าศิษย์พรรคเทียนจีหัวเราะกันอย่างไม่เกรงใจ เห็นทีวันนี้พรรคเทียนจีคงใช้งานประลองยุทธ์ในครั้งนี้กำจัดพรรคเทียนเสวียน
“เหิมเกริม!” ชายหนุ่มพรรคเทียนเสวียนคนนั้นเกิดโทสะเพราะคำพูดของคางเจี้ยน คำพูดพวกนั้นของคางเจี้ยนเป็การดูิ่พรรคเทียนเสวียน ชายหนุ่มจึง้าปกป้องศักดิ์ศรีของพรรคเทียนเสวียน จากนั้นเขาอัดพลังหยวนใส่ฝ่ามือ ก่อนจะปล่อยออกไปโจมตีคางเจี้ยน
คางเจี้ยนแค่นเสียงเ็า จากนั้นเขาเหยียดมือออกไปจับฝ่ามือของชายหนุ่มพรรคเทียนเสวียน เขาปลุกิญญาาวัวสุวรรณ มีพลังกายอันแกร่งกล้า อีกฝ่ายไม่มีทางต่อต้านเขาได้
“คุกเข่าลงซะ!” คางเจี้ยนแผดเสียงะโ เมื่อเขาออกแรงที่มือก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างชายหนุ่มพรรคเทียนเสวียนล้มลงไปกองกับพื้นเวทีและส่งเสียงร้องอย่างเ็ป ชายหนุ่มคนนั้นไม่ยอม เขา้าลุกขึ้น แต่กลับรู้สึกว่ามีฝ่าเท้าเหยียบย่ำมาที่ศีรษะเขา ขณะเดียวกันก็ยังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขา
“สวะ ข้าบอกให้เ้าลงไปจากเวทีประลองแต่ไม่ไปเอง เ้าสมควรได้รับความอัปยศนี้!” คางเจี้ยนกล่าวพลางแสยะยิ้ม
“คางเจี้ยน เ้าดูิ่พรรคเทียนเสวียนข้า เ้าต้องตาย!” แม้ชายหนุ่มคนนั้นจะถูกเหยียบย่ำ แต่เขายังคงส่งเสียงกร้าวออกมาอย่างไม่ยอมแพ้
“พรรคเทียนเสวียนก็สวะเหมือนเ้าทุกคน อ่อนหัด แล้วจะเอาอะไรมาชนะข้าได้?” คางเจี้ยนะเิหัวเราะ ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างใ ไม่นึกว่าคางเจี้ยนจะโอหังมากถึงเพียงนี้ เขาไม่เห็นพรรคเทียนเสวียนอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว
ทุกคนในพรรคเทียนเสวียนต่างโมโหโทโส และอยากลงไปกระทืบคางเจี้ยนที่เวทีประลอง แต่ว่าพวกเขาอ่อนแอกว่าศิษย์พี่ แล้วจะเป็คู่ต่อสู้ของคางเจี้ยนได้อย่างไร?
คางเจี้ยนยังคงกำเริบเสิบสานและไม่สนใจความรู้สึกของชายหนุ่มพรรคเทียนเสวียนคนนั้น จึงทำให้ผู้คนเริ่มรู้สึกว่าคางเจี้ยนผู้นี้ทำเกินไป แต่ด้วยความทรงอำนาจของพรรคเทียนจี พวกเขาจะล่วงเกินพรรคเทียนจีเพียงเพราะพรรคเทียนเสวียนได้อย่างไร
“ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายกับเ้า หากเ้าพูดว่าพรรคเทียนเสวียนทุกคนคือเศษสวะ แล้วข้าจะปล่อยเ้าไป เ้าจงคว้าโอกาสดี ๆ แบบนี้ซะ” คางเจี้ยนกล่าว ส่วนเฉินเซี่ยงเทียนและผู้าุโของพรรคเทียนจีคนอื่น ๆ ที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์ก็ไม่คิดจะหยุดคางเจี้ยน
“เ้ามัน...” ชายหนุ่มพรรคเทียนเสวียนคนนั้นรู้สึกไม่พอใจเป็อย่างมาก เขาจะก่นด่าออกไป แต่รู้สึกว่าฝ่าเท้านั้นออกแรงเหยียบหนักกว่าเดิม ทำให้อวัยวะภายในสั่นคลอนและมีเืซึมตรงมุมปาก
“พูดดี ๆ ไม่ยอมทำต้องถูกบังคับถึงจะยอม พูดเดี๋ยวนี้!” ฝ่าเท้าของคางเจี้ยนออกแรงเหยียบอีกครั้ง ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นส่งเสียงร้องอย่างเ็ป ทำให้ทุกคนใ นี่น่ะหรืองานประลองยุทธ์ งานนี้เป็เวทีของพรรคเทียนจีที่ไว้ใช้เหยียบย่ำพรรคเทียนเสวียนเสียมากกว่า
“ปล่อยเขา!” ขณะนั้นมีเสียงเยือกเย็นดังมาจากด้านล่างเวทีประลอง ทำให้ผู้คนจำนวนมากหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งเดินออกจากฝูงชน จากนั้นเขาทะยานร่างขึ้นฟ้าและค่อย ๆ ร่อนลงบนเวทีประลอง และการปรากฏตัวของชายผู้นี้ก็ได้มีสายตาเยือกเย็นหลายคู่มองเขาด้วยความอาฆาต
“เย่เฟิง ในที่สุดเ้าก็โผล่หัวออกมาเสียที!” เฟิงเฉียนกล่าวเสียงเย็นด้วยสีหน้ากระหายเื
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้