ปีใหม่ปีนี้เฉียวเยว่เรียบร้อยกว่าปรกติ เก็บตัวอยู่แต่ในเรือน วันทั้งวันไม่ออกไปไหน ผู้อื่นอาจไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่เฉียวเยว่รู้แก่ใจของตนเองดี หากนางออกไปข้างนอกแล้วพบหรงจ้านจะทำเช่นไร?
นึกถึงสถานการณ์วันนั้น เฉียวเยว่ยังคงรู้สึกขัดเขินอยู่
ท่านอ๋องอวี้จิตใจสกปรกผู้นั้น
เขาไม่ใช่คนดี
แต่ถึงกระนั้น เฉียวเยว่กลับมิได้รังเกียจเดียดฉันท์ เพียงแค่รู้สึกขัดเขิน อยู่ดีๆ คนที่เติบโตมาด้วยกันก็พูดเยี่ยงนั้นออกมา ท่าทางทีเล่นทีจริงจนมองไม่ออกว่าเป็ความจริงหรือไม่ นางย่อมคับข้องใจเป็ธรรมดา
เป็ความรู้สึกที่ค้างคาใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
แม้ในบ้านจะมีแขก แต่เฉียวเยว่ก็ไม่ยอมไปปรากฏตัว ใครจะรู้ว่าหรงจ้านจะโผล่มากะทันหันหรือไม่ วันนั้นที่หรงฉางเกอจัดงานเลี้ยง เขายังไปโดยไม่ได้รับเชิญมิใช่หรือ?
หันมาอีกทีก็ปีใหม่แล้ว หากไม่ออกมาวันขึ้นหนึ่งค่ำก็ต้องเป็สิบห้าค่ำ เฉียวเยว่คิดไว้ว่าปีนี้จะไม่ไปงานเทศกาลโคมไฟ แต่ในใจก็นึกหดหู่
ทุกคนต่างรู้สึกว่าเฉียวเยว่ดูแปลกเกินไป แตกต่างจากตัวตนของนางยามปรกติ
ฉีอันเข้ามาถามด้วยความสงสัย "เฉียวเฉียว ่นี้เ้าเป็อะไรไป หลบหน้าใครอยู่หรือ?"
เพียงพริบตาเดียวก็เข้าสู่ประเด็นสำคัญ
บัดนี้เฉียวเยว่กำลังอ่านตำราในห้องหนังสือ ท่าทางจริงจังและเพียรพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะศึกษาเรียนรู้ให้มากขึ้น นางไม่เงยหน้า แต่ตอบตรงๆ "ข้าแค่อยากใช้เวลากับการศึกษาให้มากขึ้น คนเราควรจะเข้าใจหลักความจริงข้อหนึ่ง"
"ความจริงอันใด?" ฉีอันเกาศีรษะอย่างงุนงง
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคักก่อนเอ่ยว่า "ก็ความรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตอย่างไรเล่า"
ฉีอันขำพรืดออกมา "เ้าอย่าเสแสร้งนักเลย เฮอะ ผีถึงจะเชื่อเ้า"
แต่เห็นนางไม่เป็อะไร เขาก็หมดห่วง
"เช่นนั้นเ้าจะไปงานเทศกาลโคมไฟหรือไม่ ข้าอยากให้เ้าไปเที่ยวด้วยกัน เ้าก็รู้ ข้าสนใจหอน้ำชาเจ็ดสมบัติมากแค่ไหน ว่าจะไปท้าประลองสักตั้ง"
พอเอ่ยถึงหอน้ำชาเจ็ดสมบัติ เฉียวเยว่ก็วางตำราในมือลง นิ้วของนางเคาะโต๊ะเบาๆ "หอน้ำชาเจ็ดสมบัติ?"
หากจำไม่ผิด เ้าของหอน้ำชาเจ็ดสมบัติก็คือท่านลุงของนางกระมัง แม้แต่ไรมาไม่มีใครพูดถึงเื่นี้ แต่เฉียวเยว่ยังจำสถานการณ์วันนั้นได้ นางไม่ใช่เด็กอย่างแท้จริง ย่อมสามารถจดจำได้ทุกอย่างราวกับเหตุการณ์อยู่ตรงหน้า นึกมาถึงตรงนี้ เฉียวเยว่ก็คอตก "ลองดูก็ดี แต่ข้าไม่ไปกับเ้าหรอกนะ"
นางมักรู้สึกว่าหรงจ้านให้ความสนใจกับหอน้ำชาเจ็ดสมบัติเป็พิเศษ เช่นนี้ก็ไม่ปลอดภัย
่นี้เฉียวเยว่ยังไม่อยากเจอหรงจ้าน เพื่อหลบหน้าเขา นางถึงกับไม่เข้าวังตอนปีใหม่ เมื่อในบ้านมีงานเลี้ยงก็แกล้งตายไม่เข้าร่วมงาน ทั้งหมดนี้ก็เพราะไม่อยากพบเขา ไม่อยากพบ!
ไม่ใช่ว่านางกลัวหรงจ้าน แต่ในใจมักมีบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้ อย่างน้อยนางก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ตนเอง้าอะไร จึงไม่อยากข้องเกี่ยวกับหรงจ้านมากเกินไปนัก
นึกมาถึงตรงนี้ นางก็ยิ่งตัดสินใจเด็ดขาด "ข้าไม่ไป เ้าไปเที่ยวเองเถอะ"
ฉีอันพยักหน้า แต่ก็ยังบ่นพ้อ "เมื่อก่อนพวกเราสามพี่น้องไปด้วยกัน แต่ตอนนี้กลับมีแต่ข้าไปเที่ยวคนเดียว"
เฉียวเยว่เชิดหน้ายืนกรานหนักแน่น "ข้าเป็เด็กดีตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง"
"ตัวโตเท่าลายังบอกว่าตนเองเป็เด็ก น่าขนลุก" ฉีอันค่อนแคะ
เฉียวเยว่กลอกตาพลางม้วนแขนเสื้อ ฉีอันรีบวิ่งไปตั้งหลักที่ประตู "นี่เ้าโมโหอะไร หงุดหงิดเ้าอารมณ์เช่นนี้ ต่อไปจะแต่งออกหรือ? แต่ถึงเ้าแต่งไม่ออกก็ไม่เป็ไร น้องชายเยี่ยงข้าไม่นิ่งดูดายอยู่แล้ว"
เฉียวเยว่คว้าหมอนได้ใบหนึ่งก็ปาออกไป ฉีอันหลบทัน แล้วหัวเราะ "ไฉนเ้าเงอะงะเช่นนี้ ปาก็ปาไม่โดน"
หมอนใบที่สองลอยออกไป
ฉีอันหลบวูบ หมอนหนุนจึงปาไปโดนตัวของซูซานหลาง
"..."
เฉียวเยว่ลุกขึ้นทันทีอย่างรู้ความผิด เอ่ยคำขอขมาเสียงเบา "ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว ขออภัยเ้าค่ะ "
น้ำเสียงอ่อนหวานชวนให้คนหลง แต่ซูซานหลางไหนเลยจะไม่รู้นิสัยของบุตรสาวตนเอง "เ้าพูดมาให้ข้าฟัง นี่พวกเ้าทำอะไรกัน"
สายตาต่อว่าต่อขานของเฉียวเยว่มองไปที่ฉีอัน ฉีอันก้มมองพื้นทันที ไม่ยอมมองนาง เวลานี้เข้าไปยอมรับความผิดก็บ้าแล้ว เขามิได้โง่
"ฉีอันรังแกข้า"
นางฟ้องเสียงอ่อนเสียงหวาน
ฉีอันรีบแย้ง "ข้าเปล่าสักหน่อย เ้าจะมาใส่ความข้าเยี่ยงนี้ไม่ได้ ข้าเป็น้องชายแท้ๆ ของเ้านะ"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ เห็นนางเป็เด็กสามขวบหรือไร ซูซานหลางรู้สึกจนปัญญาจริงๆ เอ่ยตัดบท "พวกเ้าทำตัวให้รู้ความหน่อยได้หรือไม่?"
เฉียวเยว่กับฉีอันตอบอย่างพร้อมเพรียง "ได้ขอรับ/ได้เ้าค่ะ"
เสียงดังชัดถ้อยชัดคำ ฟังรื่นหูจริงๆ
ซูซานหลางถอนหายใจเบาๆ ถูกเด็กนี้สองคนป่วนจนหมดอารมณ์จริงๆ "วันมะรืนมีงานเลี้ยงที่จวนรัชทายาท พวกเ้าออกจากจวนไปด้วยกัน"
พอได้ยินเื่นี้ ดวงหน้าของเฉียวเยว่ก็กลายเป็รูปอักษร 囧 [1]
ออกจากจวน?
นางไม่ค่อยอยากไปเลย แต่ก็อยากพบพี่สาวมาก ฮึก ฮึก!
ยามนี้เฉียวเยว่รู้สึกลำบากใจมาก
"เ้าไม่อยากไป?" ซูซานหลางประหลาดใจอยู่บ้าง แท้จริงแล้วเขาไม่รู้สาเหตุที่่นี้เฉียวเยว่ไม่อยากออกจากจวน
เฉียวเยว่ส่ายหน้า เอ่ยปากทันควัน "มิใช่เ้าค่ะ ข้าอยากไปพบพี่สาวมาก แต่ท่านพ่อไม่รู้หรือ หลายวันมานี้ ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความรู้ของตนเองอัตคัดขัดสน ควรต้องรีบเร่งเรียนรู้อย่างหนัก"
ซูซานหลางเชื่อนางสิถึงจะแปลก "เ้าน่ะเล่นพิเรนทร์ให้มันน้อยหน่อยเถอะ"
หลังนิ่งคิดสักพักก็กล่าวอีกว่า "เ้าไปจวนรัชทายาทก็ระวังหน่อยแล้วกัน"
"ระวังอันใดหรือเ้าคะ?" เฉียวเยว่งุนงง
แต่หลังจากคิดแล้วก็พยักหน้า "ข้าทราบแล้ว ต้องระวัง ต้องระวัง"
แต่ก็ควรระวังอยู่แล้วมิใช่หรือ นางต้องระวังตาเฒ่าหรงจ้านผู้นั้นอยู่พอดี
แต่ซูซานหลางกลับเอ่ยว่า "เ้ารู้หรือว่าข้าให้เ้าระวังสิ่งใด?"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ ซูซานหลางเห็นนางทำหน้าเหลอหลา ก็รู้สึกจนใจอย่างยิ่ง "เ้าต้องระวังอย่าไปใกล้ชิดรัชทายาทเกินไป"
ซูซานหลางรู้ว่าบุตรสาวของตนเฉลียวฉลาด จึงเอ่ยว่า "เ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ตอนเล็กๆ เ้าให้รัชทายาทอุ้มได้ ให้เขาจูงมือได้ กระทั่งบอกว่าชอบเสด็จพี่รัชทายาทที่สุดก็พูดได้ แต่ตอนนี้เ้าโตเป็สาว อายุสิบสามแล้ว หากคนชาวบ้านทั่วไปก็เริ่มดูตัวหมั้นหมายกันแล้ว แม้ข้ากับมารดาเ้าไม่อยากให้เ้าดูตัวเร็วเกินไป แต่เ้าควรรู้จักขอบเขตสิ่งใดควรไม่ควร อย่าให้คนจับจุดอ่อนได้"
คำกล่าวนี้มีความหมายซ่อนเร้น แม้เฉียวเยว่จะดูเป็แม่หนูน้อยแสนซื่อไร้เดียงสา แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่
นางถามทันควัน "มีคนปล่อยข่าวลืออันใดหรือเ้าคะ?"
หาก้ายั่วยุให้พวกนางสองพี่น้องเกิดความบาดหมาง นางก็จะไม่เกรงใจเหมือนกัน เ้าพวกคนปากเสียต้องสั่งสอนให้หลาบจำเสียบ้างว่าควรประพฤติตัวอย่างไร
ซูซานหลางไม่อยากบอกนางมากเกินไป แต่กำชับว่า "สรุปแล้วบางเื่เ้ารู้อยู่แก่ใจก็พอ อย่าให้ใครฉวยโอกาสจับมาเป็จุดอ่อนได้ ข้ารู้แต่ไรมาเ้าหาใช่คนที่จะยอมให้ใครรังแก แต่ถึงอย่างไรเ้าก็เป็สตรี บางเื่หากแพร่งพรายออกไปก็ไม่น่าฟัง"
เฉียวเยว่ตอบรับว่าทราบแล้ว
วันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนหนึ่งเทศกาลโคมไฟ
เหล่าแม่นางจวนซู่เฉิงโหวต่างแต่งเนื้อแต่งตัวงดงามเฉิดฉายออกจากจวน แน่นอนว่ายกเว้นคุณหนูเจ็ดเฉียวเยว่
เพราะทุกคนออกไปกันหมดแล้ว เหลือนางอยู่บ้านเพียงคนเดียว แต่นางก็ชินกับการอยู่คนเดียวเสียแล้ว แม้จะเงียบเชียบไปบ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย
อวิ๋นเอ๋อร์ตั้งเทียนไว้เต็มห้องหนังสือ แสงตะเกียงสว่างโชติ่
นางยกมือขึ้นโบก "เอาล่ะ ออกไปเถอะ ข้าจะอ่านตำราคนเดียวสักครู่"
อวิ๋นเอ๋อร์ตอบรับก่อนออกไปจากห้อง
เฉียวเยว่กินขนมไปอ่านตำราไป นางนอนคว่ำบนตั่ง งอเข่าขึ้นเผยให้เห็นปลีน่อง เท้าเล็กจ้อยแกว่งไปมาไม่หยุดอย่างผ่อนคลาย
แม้ผู้อื่นจะไม่ทราบว่าสาเหตุที่นางไม่ออกจากเรือน่นี้ แต่หรงจ้านกลับเข้าใจดี เขารู้นิสัยใจคอของเฉียวเยว่ ย่อมรู้ว่าเพราะเหตุใด แต่หรงจ้านเองก็รู้สึกเก้อเขิน มาตรองดูให้ดี เขาเองก็นับว่าเป็ชายหนุ่มอายุมาก แต่กลับเป็โคแก่ที่คิดจะกินหญ้าอ่อน จะไม่ให้คนรู้สึกชอบกลได้อย่างไร
แต่หรงจ้านควบคุมความรู้สึกที่อยากพบเฉียวเยว่ไม่ได้ จึงฉวยโอกาสที่ไม่มีคนปีนกำแพงเข้ามา
เฉียวเยว่ไม่อยู่ที่ห้อง หรงจ้านได้ยินเสียงสาวใช้สองคนคุยกัน ก็รู้ว่าเฉียวเยว่อ่านตำราอยู่ที่ห้องหนังสือ ไม่ช้าเขาก็ไปถึงที่นั่น เป็ไปตามคาด แม่หนูน้อยจอมซนที่นี่อยู่คนเดียว เท้าน้อยๆ ของนางแกว่งไปมาไม่มีกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย แต่ดวงหน้าเล็กจ้อยแสนน่ารักกลับเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่หยุดราวกับมุสิกน้อยตัวหนึ่ง แก้มป่องๆ ของนางชวนให้คนรู้สึกเอ็นดู
หรงจ้านมองนางอยู่เช่นนี้ไม่ขยับ
เขานิ่งคิดอยู่สักพักก็เอ่ยปาก "ไฉนเ้าไม่ออกไปชมโคมไฟ?"
เสียงที่จู่ๆ ดังขึ้นทำเฉียวเยว่สะดุ้งโหยง ใแทบสติแตก แต่ก็สงบอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ดวงตารูปผลซิ่งถลึงใส่ฝ่ายตรงข้าม หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ "ท่านมาได้อย่างไร?"
น้ำเสียงเจือไปด้วยความหวาดระแวง และการซักไซ้อยู่หลายส่วน
แต่หรงจ้านก็ไม่เคยถือสานาง เพียงแต่จ้องมองอยู่เช่นนี้ แล้วค่อยๆ เอ่ยปาก "เ้าเอาขนมเปี๊ยะดอกเหมยของข้าไปแล้วก็หายเข้ากลีบเมฆ เช่นนี้คิดว่าดีแล้วหรือ?"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกๆ แต่ก็โต้กลับอย่างรวดเร็ว "ข้าก็ส่งของขวัญขอบคุณให้แล้วนี่"
หรงจ้านมุมปากกระตุก "เ้ายังมีหน้ามาบอกว่าเป็ของขวัญขอบคุณอีกหรือ?"
ของขวัญที่นางมอบให้ส่วนใหญ่จะทำเองกับมือ แต่ครานี้นางกลับมอบกรงนกเหล็กให้หรงจ้าน
เขาเห็นกรงนกนี้แล้ว ก็ไม่เข้าใจความหมายที่นางส่งมันมาให้
ควรรู้ว่าซูเฉียวเยว่เป็คนฉลาดปราดเปรื่อง ไหนเลยจะมอบของขวัญให้คนส่งเดช
สีหน้าของนางดูมีเลศนัย แต่กลับกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา "มีสิ่งใดต้องอายเล่า? ไม่สวยหรือ หากพี่จ้านรู้สึกเปล่าเปลี่ยว จะเลี้ยงนกสักตัวคลายเหงาก็ได้"
หรงจ้านมองเฉียวเยว่ั้แ่หัวจรดเท้าอย่างคลางแคลง หลังจากนั้นก็ถามว่า "ของขวัญขอบคุณที่เ้ามอบให้ข้าหมายความเช่นนี้เองรึ?"
เฉียวเยว่พยักหน้าอย่างจริงใจ "ก็ใช่สิเ้าคะ"
หรงจ้านดูจากสีหน้าของนางแล้ว อย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล แต่บอกไม่ถูกว่าผิดปรกติตรงไหน ได้แต่จดจ้องนางตาไม่กะพริบ
เฉียวเยว่ลดศีรษะลงต่ำ นิ้วมือวาดวงกลมบนตำรา
คิกๆ ความหมายของนาง... ค่อนข้างจะมีสีสัน!
พูดไม่ได้ พูดไม่ได้!
...
[1] 囧 จย่ง มีความหมายว่าหน้าต่างกรุลาย แต่มักในโลกอินเตอร์เน็ตมักใช้สื่อความหมายแทนอารมณ์เศร้า กระอักกระอ่วน อับอาย อับจนหนทาง หรือรับไม่ได้ที่ต้องแพ้พ่าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้