“ถ้าเ้าไม่เชื่อก็ลองดูได้นะ!” ตู๋กูหลงกล่าวเสียงเย็น พลันลมปราณที่แผ่ออกจากร่างเปลี่ยนไปน่ากลัวอีกครั้ง ทันทีที่พูดจบก็บุกโจมตีเย่เฟิง
“ครบสองพันคนแล้ว พวกเ้าผ่านการประลองรอบแรก ลำดับต่อไปพวกเ้ากลับมาที่โลกจริง”
ตอนที่ตู๋กูหลงจะโจมตีเย่เฟิง กลับมีเสียงเกรงขามดังมาจากฟากฟ้าเข้าปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ในแดนมายา ทำให้ทุกคนได้ยินชัดเจน หลาย ๆ คนจึงถอนใจอย่างโล่งอก พวกเขาอดทนมานาน ในที่สุดก็จบแล้วอย่างนั้นหรือ?
“ถือว่าว่าเ้าดวงดี แต่ในการประลองรอบต่อไป เ้าไม่รอดแน่!” ตู๋กูหลงกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือก
เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หากเขาสนใจ ตอนอยู่ที่เวทีประลองทดสอบของตระกูลตู๋กูก็ไม่มีทางตั้งตัวเป็ศัตรูกับตู๋กูหลงเด็ดขาด
จากนั้นเห็นลำแสงหลายสายพุ่งลงมาจากฟากฟ้าเข้าห่อหุ้มทุกคนที่อยู่ในแดนมายา รวมทั้งเย่เฟิง จู่ ๆ ทุกคนรู้สึกเวียนหัว ก่อนจะหมดสติไป เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาอีกทีก็ปรากฏตัวที่ลานประลองแล้ว บัดนี้ทางฝั่งขั้นบ่มเพาะกายาและขั้นรวมชี่ล้วนเหลือคนแค่ 2,000 คนจากคนหลายแสนคน
เย่เฟิงตื่นขึ้นมาแล้วมองไปรอบ ๆ เมื่อเขาพบฉินเยียนหรานและคนรู้จักอยู่ใน 2,000 คนนี้ก็โล่งใจ
ในแดนมายาสมจริงมากเกินไป ตอนนี้หลาย ๆ คนยังอารมณ์ค้าง ภาพฉากที่เปลี่ยนกะทันหันทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายตัว แต่จากนั้นมีสายตาหลายคู่แฝงด้วยจิตสังหารมองมาที่เย่เฟิง ในนี้รวมถึงศัตรูของเย่เฟิง ส่วนมากเป็ศิษย์พรรคเทียนจีที่ถูกเย่เฟิงเข่นฆ่าในแดนมายา พวกเขาเกือบถูกพันธมิตรเย่เฟิงกวาดล้างจนสะอาดเกลี้ยง
ดังนั้นในบรรดาคนจากทั้งสี่พรรค คนของพรรคเทียนจีผ่านเข้ารอบน้อยที่สุด เหลือเพียงประมาณร้อยคนเท่านั้น ซึ่งล้วนแต่เป็ผู้มากฝีมือของพรรคเทียนจี ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้พรรคเทียนจีรู้สึกอับอายขายหน้ามาก ในฐานะพรรคที่แข็งแกร่งที่สุดในสี่พรรคแห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน พรรคเทียนจีควรมีคนผ่านเข้ารอบมากที่สุดจึงจะถูก ทว่าผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม และผู้ที่ทำให้ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นก็คือเย่เฟิง
เฉินเซี่ยงเทียนและผู้าุโระดับสูงของพรรคเทียนจีรับรู้ถึงการกระทำของเย่เฟิงในแดนมายาแล้ว จึงรู้สึกอยากฆ่าเย่เฟิงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
มีสายตาเยือกเย็นคู่หนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารและความอาฆาตมองมายังเย่เฟิง เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเ้าของสายตาคู่นี้
“เย่เฟิง ข้าจะต้องฆ่าเ้าด้วยมือของข้าเองให้จงได้!” จ้าวเฉินอ๋องเล็กกล่าวกับเย่เฟิง เมื่อครู่ที่แดนมายาเย่เฟิงทำให้เขาถูกตัดแขนไปหนึ่งข้าง ทั้งยังให้ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนปิดล้อมเขาและถูกโจมตีจนาเ็สาหัส ช่างอับอายเป็อย่างมาก สุดท้ายเย่เฟิงก็สั่งให้เขาทำลายชีวิตตัวเอง ทว่าเขาอดทนจนผ่านการประลองรอบแรกและเป็หนึ่งใน 2,000 คน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแดนมายา เขายังจำได้ดี ราวกับสลักลึกลงในจิติญญา ยากที่จะลืมเลือนได้
“ฆ่าข้า? เ้าเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ!” เย่เฟิงตอกกลับพลางเหยียดยิ้มอย่างเย็นเยือก ก่อนจะพูดต่อ “ข้าสั่งให้เ้าฆ่าตัวตาย แต่ไม่นึกว่าเ้าจะผ่านรอบแรกมาได้ วิชาเอาตัวรอดของเ้าช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก!”
“เ้า...” จ้าวเฉินได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าไม่สู้ดี และไม่รู้จะตอกกลับไปอย่างไรดี
“การประลองรอบที่สองคือการปีนป่ายขึ้นบันได ซึ่งจะแบ่งบันไดออกเป็สองฝั่งสำหรับขั้นบ่มเพาะกายาและขั้นรวมชี่ 100 คนที่ขึ้นไปถึงยอดก่อนจะผ่านเข้ารอบการประลองสุดท้ายและชิงสิบอันดับแรก หากมีคนทำสำเร็จน้อยกว่า 100 คน จะทำการตัดสินโดยประลองฝีมือจนกว่าจะครบจำนวนคน!”
ขณะนั้นเสียงของเฉินเซี่ยงเทียนดังมาจากอัฒจันทร์หลัก จากนั้นผู้คนหันไปมองบันไดขนาดใหญ่สองฝั่งที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นในลานประลอง ทำให้หัวใจของพวกเขามิอาจสงบนิ่งลงได้
“บันไดนี้อลังการมาก ข้ารู้สึกเหมือนััได้ถึงอำนาจฟ้าดินจากตรงนั้น และยังทรงพลังมากด้วย” ขณะที่ผู้คนตาเป็ประกาย จู่ ๆ ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งพูดขึ้นมา
“บันไดนี้สร้างขึ้นจากหินครามและค่ายกลรวมอำนาจ มีทั้งหมด 81 ขั้น ทุก ๆ ขั้นจะแฝงด้วยพลังที่แตกต่างกัน ยิ่งขึ้นสูง อำนาจฟ้าดินก็ยิ่งรุนแรง สิ่งที่ทดสอบก็คือความรู้ที่มีต่ออำนาจฟ้าดิน รวมถึงความแข็งแรงของร่างกาย” เฉินเซี่ยงเทียนเหมือนจะได้ยินคำพูดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น จึงกล่าวอธิบายเช่นนั้น
“ค่ายกลรวมอำนาจ!”
ผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างนิ่งงัน ค่ายกลรวมอำนาจเป็ค่ายกลระดับสูง มันสามารถรวบรวมอำนาจฟ้าดินไว้ในที่ที่หนึ่งได้ ซึ่งมีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลระดับสูง ๆ จึงจะสร้างค่ายกลนี้ได้ ทั้งยังต้องใช้ปรมาจารย์ค่ายกลหลายคนจึงจะสร้างสำเร็จ เห็นชัดว่าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนใช้ทรัพยากรไปมากเพื่องานประลองปลายปีในครั้งนี้
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์จากกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหลวงต่างตกตะลึง ใช้ค่ายกลรวมอำนาจเพื่อทดสอบศิษย์ในสำนัก คงมีเพียงกองกำลังระดับสูง ๆ อย่างสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเท่านั้นจึงจะทำได้ ส่วนกองกำลังล่าง ๆ นั้นอย่าว่าจะสร้างเองเลย แม้แต่จะคิดก็ยังไม่กล้า
“บันได 81 ขั้น พวกเ้าต้องเริ่มจากขั้นแรกสุด ซึ่งทุก ๆ สิบขั้นจะมีกลองหลายใบวางอยู่ อยากปีนขึ้นไปก็ต้องตีกลองอย่างน้อยหนึ่งใบ ได้เวลาแล้ว การประลองรอบที่สองเริ่ม ณ บัดนี้!” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าว ผู้คนต่างหันไปมองกลองเ่าั้ที่วางอยู่บนบันไดทุก ๆ สิบขั้นพลางใจเต้นโครมคราม
“ตีกลองจึงจะปีนขึ้นบันไดต่อไปได้ เห็นทีกลองนี้จะไม่ธรรมดา” ผู้คนคิดในใจ แม้การประลองรอบที่สองดูเหมือนมีขั้นตอนเรียบง่าย แต่พวกเขาต่างทราบดี ว่าจริง ๆ แล้วมันโหดร้ายมาก
สองพันคนเข้าร่วมการประลองรอบนี้ แต่สุดท้ายจะมีเพียง 100 คนที่ผ่านเข้ารอบ อัตราการคัดออกนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
เมื่อสิ้นเสียงของเฉินเซี่ยงเทียน ศิษย์ทั้ง 4,000 คนจากขั้นบ่มเพาะกายาและขั้นรวมชี่ต่างมุ่งหน้าไปยังบันไดทั้งสองฝั่งนั่น
แน่นอนว่าเย่เฟิงก็คือหนึ่งในนั้น เขามองไปที่บันไดสุดอลังการนั่นและอดพึมพำในใจไม่ได้ว่า “ในบันไดนี้มีค่ายกลรวมอำนาจซ่อนอยู่ ดูท่านอกจากการประลองแล้ว จะเป็สถานที่ที่เพิ่มการเรียนรู้อำนาจฟ้าดิน”
เฉินอ้าวเทียน หนานกงหลิงซวง และเว่ยจี้เหลือบไปมองเย่เฟิงอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะมีแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา
“อ้าวเทียน เว่ยจี้ ในการประลองต่อไป ภารกิจของพวกเ้าคือฆ่าเย่เฟิง ตัดรากถอนโคนให้สิ้นซากเสีย!” ขณะที่พวกเขาสองคนเดินไปยังบันได จู่ ๆ เสียงของเฉินเซี่ยงเทียนดังเข้ามาในหูของพวกเขา เห็นชัดว่าเฉินเซี่ยงเทียนตั้งใจส่งเสียงผ่านจิตมาหาเขาสองคน จากนั้นเฉินอ้าวเทียนและเว่ยจี้พยักหน้าพร้อมดวงตาฉายอย่างเย็นเยือก แม้เฉินเซี่ยงเทียนไม่พูด พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยเย่เฟิงเด็ดขาด
ไม่นานนักผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาและขั้นรวมชี่ก็ไปถึงด้านล่างบันได จากนั้นมีอำนาจฟ้าดินห่อหุ้มร่างกายของทุกคน ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันมาก และอดไม่ได้ที่จะใกับความทรงพลังของค่ายกลรวมอำนาจ
“การปีนขึ้นบันไดนอกจากพวกเ้าจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ยังต้องระวังการลอบโจมตีของผู้อื่นด้วย ข้าเตือนแล้วนะ ถ้าถูกคนอื่นทำร้าย เ้าต้องรับผิดชอบเอง เริ่มการทดสอบได้แล้ว!” ในขณะที่เฉินเซี่ยงเทียนกำลังสื่อสารทางจิตไปหาเฉินอ้าวเทียนกับเว่ยจี้ เขาก็ได้ประกาศเช่นนั้นให้ทุกคนทราบ จึงทำให้ทุกคนนิ่งอึ้งอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามคำตักเตือนของเฉินเซี่ยงเทียนเหมือนเป็การบอกเป็นัย ๆ ว่าผู้ที่เข้าร่วมการประลองรอบนี้สามารถโจมตีอีกฝ่ายได้ ตราบใดที่ไม่ฆ่าอีกฝ่ายก็เป็พอ ทำให้การประลองดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีก ขณะเดียวกันยังเพิ่มระดับความยากให้กับการประลอง ทว่าเป็หายนะสำหรับผู้อ่อนแอ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะกลายเป็เหยื่อของผู้แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ยังเป็ข่าวร้ายสำหรับเย่เฟิงที่มีศัตรูรอบด้าน เมื่อการประลองเริ่มขึ้น เย่เฟิงอาจจะถูกศัตรูมากมายโจมตีและกลายเป็เป้าหมายของพวกเขา
เมื่อเฉินเซี่ยงเทียนพูดจบ ดวงตาเยือกเย็นคู่นั้นก็มองไปที่เย่เฟิงอย่างเย้ยหยัน พร้อมกับมีจิตสังหารวาบประกายในดวงตา
“การประลองรอบที่สองเริ่มแล้ว ข้าจะต้องกลายเป็หนึ่งในร้อยคนที่ผ่านเข้ารอบให้ได้!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งตาทอประกายด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นบันไดขั้นที่หนึ่ง ส่วนผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ เห็นคนผู้นี้เริ่มก่อนก็ทยอยปีนขึ้นบันไดตาม
“จงสำแดงพลังของพวกเ้าให้ได้มากที่สุด หากมีแค้นส่วนตัว ก็สะสางในการประลองรอบนี้ได้” เสียงของเฉินเซี่ยงเทียนดังขึ้นอีกครั้ง
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ตาวายประกายแสงคมกริบ คนอื่นอาจไม่รู้ความหมายของประโยคนี้ แต่มีหรือเย่เฟิงจะไม่รู้ ประโยคนี้เพ่งเล็งมาที่เย่เฟิงอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งเป็ไปตามคาด ทันทีที่สิ้นเสียงของเฉินเซี่ยงเทียน ก็มีสายตาหลายคู่มองมาที่เย่เฟิง เย่เฟิงจึงอดส่ายหัวพลางยิ้มขมขื่นไม่ได้ เขาเข้าไปเกี่ยวพันกับเื่เช่นนี้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“สวะ ข้าอยากเห็นนักว่าเ้าจะผ่านการประลองรอบนี้ไปได้อย่างไร แต่เกรงว่าบันไดแค่สิบขั้นก็คงไม่ผ่านแล้วกระมัง!” จ้าวเฉินกล่าวขณะมองเย่เฟิง ความบาดหมางระหว่างเขากับเย่เฟิงมีไม่น้อย เขาจึงไม่คิดจะเลิกราง่าย ๆ
“เ้าไม่ต้องเป็ห่วงเื่นี้ เ้าเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ หลีกเลี่ยงการโดนทารุณให้ดี ๆ แล้วกัน!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม
“หึ!” จ้าวเฉินเผยหน้าเขียว ก่อนจะสะบัดเสื้อคลุมเดินออกไป
“เ้านี่นะทำไมชอบสร้างศัตรูอยู่เรื่อย อีกฝ่ายเป็ถึงบุตรแห่งเซิ่งอ๋อง มีอำนาจล้นฟ้า” ฉินเยียนหรานเดินมาหา ก่อนจะกล่าวกับเย่เฟิง
“แล้วอย่างไรเล่า? ถ้าคนคนนี้ถูกคนรุ่นเดียวกันรังแกในงานประลองสำนักยุทธ์ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะให้พ่อเขามาจัดการข้าก็เป็ได้” เย่เฟิงกล่าวพร้อมตาเผยประกายคมกริบ หากอีกฝ่ายไม่รู้จักมารยาท เย่เฟิงอาจจะลงมือจัดการอีกฝ่ายอย่างหักห้ามใจมิได้
“ก็จริงของเ้า แต่ข้าขอเตือนเ้าไว้ก่อน เลี่ยงคนอย่างจ้าวเฉินได้ก็เลี่ยงเสีย” ฉินเยียนหรานกล่าว
“อืม ข้าจะพยายาม” เย่เฟิงพยักหน้า จากนั้นเห็นตู๋กูหลงและเซี่ยเชียนชิวเดินขึ้นบันไดขั้นที่หนึ่ง สองคนนั้นทั้งหล่อเหลาและสวยงดงาม จึงดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้ไม่น้อย
“ตู๋กูหลงขึ้นบันไดแล้ว เขาคือผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 1 ในรายนามขั้นรวมชี่ ย่อมโดดเด่นที่สุดในการประลองรอบแรกและไม่มีใครสู้ด้วยได้ ทั้งยังมีเซี่ยเชียนชิวหนึ่งในสองหญิงงามแห่งสำนักยุทธ์อยู่ข้างกาย ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก!” มีคนผู้หนึ่งกล่าว พร้อมกับดวงตาเปี่ยมด้วยความอิจฉาและความชื่นชม เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเขาก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย ตู๋กูหลงแข็งแกร่งเช่นนั้นจริง ๆ เขาโดดเด่นกว่าใครในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
“ตู๋กูหลงกับเซี่ยเชียนชิวช่างเป็คู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก ราวกับกิ่งทองใบหยก” ผู้คนคิดในใจขณะมองตู๋กูหลงและเซี่ยเชียนชิว
อีกด้านหนึ่ง นี่จ้านเทียนเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน เขาเดินขึ้นบันไดไล่ ๆ กับตู๋กูหลง แต่จู่ ๆ สายตาเหลือบไปมองเย่เฟิงอย่างไม่ตั้งใจ
นอกจากจ้าวเฉิน ตู๋กูหลง และนี่จ้านเทียน เฉินอ้าวเทียน เว่ยจี้ เซี่ยโหวิ จงเทา ลู่เจียง และคนอื่น ๆ ก็ทยอยเดินขึ้นบันไดแล้วเช่นกัน
“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” เย่เฟิงกล่าวกับนักดาบแขนเดียว ฉู่หาน เฉิงเฟย เซี่ยจวิ้นหลง และคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหลัง