อวิ๋นฉี่เยว่อุ้มอวิ๋นเจียวมานั่งบนตักของตน แล้วชี้นิ้วไปที่ตำราในมือพลางพูดว่า “เจียวเอ๋อร์ สิ่งที่เ้าเก็บได้เป็ของล้ำค่า เ้าคือดาวนำโชคของพี่ใหญ่รู้หรือไม่?”
เมื่อได้ยินพี่ใหญ่บอกว่านำไปใช้ได้ อวิ๋นเจียวก็ดีใจเป็อย่างยิ่ง เพราะอย่างไรก็ซื้อมาจากเถาเป่า นางจึงไม่รู้ว่าเนื้อหาข้างในดีหรือไม่ดี แอบกลัวว่าพี่ใหญ่จะใช้ประโยชน์ไม่ได้
“เช่นนั้นพี่ใหญ่ไปอ่านตำราเถิดเ้าค่ะ!” อวิ๋นเจียวจึงไล่เขาออกไปทันที พี่ใหญ่ของนางต้องสอบเข้ารับราชการ จะเสียเวลาไม่ได้เด็ดขาด
อวิ๋นฉี่เยว่พยักหน้าอย่างว่าง่าย “ตกลง พี่ใหญ่จะไปอ่านตำราเดี๋ยวนี้!” กล่าวจบก็หยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้อวิ๋นเจียว
เมื่ออวิ๋นเจียวเปิดออกดูก็เห็นสร้อยคอเงินเส้นหนึ่ง บนสร้อยนั้นมีจี้แม่กุญแจอายุยืน ต่างจากจี้แม่กุญแจอายุยืนอันอื่นๆ ที่มักประดับด้วยกระดิ่ง ตรงจี้แม่กุญแจอายุยืนอันนี้ประดับด้วยดอกกุหลาบที่กำลังผลิบาน
“ข้าว่าสร้อยเส้นนี้เจียวเอ๋อร์ใส่แล้วจะต้องงดงามเป็อย่างยิ่ง” กล่าวจบอวิ๋นฉี่เยว่ก็ช่วยอวิ๋นเจียวสวมสร้อยเส้นนั้น เขาพิจารณาดูอย่างพึงพอใจ ก่อนจะพยักหน้า “งดงามมาก”
เด็กผู้หญิงคนไหนไม่ชอบของสวยๆ กันเล่า? เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาของอวิ๋นเจียวก็เป็ประกาย นางรีบลงจากตักอวิ๋นฉี่เยว่แล้ววิ่งไปส่องกระจกทองแดง ก็เห็นว่ามันงดงามจริงๆ
“สายตาของพี่ใหญ่ยอดเยี่ยมที่สุด!”
อวิ๋นฉี่เยว่กล่าวพร้อมกับยิ้มละมุน “เจียวเอ๋อร์ชอบก็ดีแล้ว! เอาล่ะ พี่ใหญ่ไปทบทวนตำราแล้ว เจียวเอ๋อร์รีบพักผ่อนเถิด”
อวิ๋นเจียวรีบพยักหน้า “เ้าค่ะๆ พี่ใหญ่รีบไปตั้งใจศึกษาตำราเถิดเ้าค่ะ!”
อวิ๋นเหนียงรีบกลับไปที่ร้านฝูหรงเซวียน แต่กลับไม่พบฉู่อี้ นางรอจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนเกือบยามสาม [1] ฉู่อี้ หลิวจ้าน และจางหลิง จึงกลับมาอย่างเงียบเชียบ ทั้งสามคนสวมชุดดำ บนร่างมีกลิ่นคาวเืจางๆ
“ซื่อจื่อ!” อวิ๋นเหนียงตรงเข้าไปหาด้วยความเป็ห่วง ฉู่อี้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ โบกมือห้าม “พวกเราไม่เป็อะไร เืพวกนี้เป็ของคนอื่น”
เช่นนั้นเองหรือ อวิ๋นเหนียงจึงได้โล่งใจ ฉู่อี้มองนางอย่างเฉยเมย “มีเื่อันใด?”
อวิ๋นเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็พูดด้วยความเคารพ “บ่าวได้ส่งอาจารย์ตั่งและอาจารย์หม่าทั้งสองท่านนั้นไปที่บ้านตระกูลอวิ๋นแล้วเ้าค่ะ นอกจากนี้บ่าวยังซื้อของจากตระกูลอวิ๋นมาอีกเล็กน้อย”
กล่าวจบอวิ๋นเหนียงก็ยกเครื่องประทินผิว น้ำตบ และเครื่องประทินผิวสูตรเข้มข้นขึ้นมา “ทั้งหมดสองหมื่นตำลึงเงินเ้าค่ะ!”
สองหมื่นตำลึงเงินหรือ? อวิ๋นเหนียงเป็บ้าไปแล้วหรือ? เสียสติไปแล้ว? หรือวิปลาสไปแล้ว?
หลิวจ้านกับจางหลิงเบิกตากว้าง ลูกตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ทั้งสองคนแอบมองผู้เป็เ้านาย แต่ก็ไม่พบแววไม่พอใจบนใบหน้าของอีกฝ่าย ในทางกลับกัน เ้านายกลับดูเหมือนจะมีความคาดหวังอยู่ในแววตาเล็กน้อย!
“คุณหนูอวิ๋นบอกว่านี่เป็ของที่พวกนางเก็บไว้ใช้เอง บ่าวลองใช้ดูแล้ว ดีกว่าเครื่องประทินผิวที่พวกนางเคยส่งมาเสียอีกเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุมปากของฉู่อี้ก็เผยรอยยิ้มออกมา ทำเอาหัวใจของหลิวจ้านกับจางหลิงเต้นโครมคราม เ้านายของพวกเขายิ้มได้ด้วยหรือ?
ช่างน่าแปลกประหลาดเสียจริง! ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เป็เื่ราวเกี่ยวกับตระกูลอวิ๋น โดยเฉพาะเื่ราวที่เกี่ยวกับคุณหนูน้อยผู้นั้น เ้านายของพวกเขามักจะแสดงท่าทีอ่อนโยนลงอย่างผิดปกติ
“หลิวจ้าน รีบส่งไปเมืองหลวงในคืนนี้เลย นำไปมอบให้ท่านผู้นั้น”
“ขอรับ ซื่อจื่อ!” หลิวจ้านรับคำอย่างรวดเร็ว แล้วรับของพวกนั้นจากไป
เมื่อหลิวจ้านจากไป อวิ๋นเหนียงจึงเอ่ยขึ้น “ มีจดหมายด่วนจากเมืองหลวง ทางจวนปล่อยข่าวว่าท่านสิ้นชีพด้วยโรคร้ายไปแล้ว อีกทั้งยังมีการยื่นฎีกาทูลขอพระราชโองการให้ฉู่เจ๋อรับตำแหน่งซื่อจื่อ”
ฉู่อี้แสยะยิ้มก่อนจะเอ่ยถาม “กำหนดวันฝังศพข้าไว้เมื่อใด?”
อวิ๋นเหนียงก้มหน้าตอบ “วันที่สิบเจ็ดเดือนนี้เ้าค่ะ”
กล่าวจบ อวิ๋นเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสริม “บ่าวตรวจสอบแล้ว ทั้งวันทำพิธีศพและเวลาฝังศพ มองเผินๆ เหมือนจะดีตามปกติ แต่หากนำมารวมกับวันเดือนปีเกิดของซื่อจื่อ วันและเวลานี้ล้วนเป็วันอัปมงคลอย่างยิ่ง ทำให้ดวงิญญาของผู้ตายไม่สงบสุข ไม่อาจไปผุดไปเกิดได้!”
จางหลิงอดทนไม่ไหว จึงเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “ซื่อจื่อ พวกเขารังแกคนเกินไปแล้ว!” โชคดีที่ซื่อจื่อของพวกเขายังไม่ตาย มิเช่นนั้น... คนพวกนั้นถึงกับไม่คิดจะปล่อยแม้แต่ดวงิญญาของซื่อจื่อเลย ช่างอำมหิตยิ่งนัก!
“ข้ารู้แล้ว พวกเ้าออกไปก่อนเถอะ” ดวงตาเย็นเยียบของฉู่อี้ฉายแววเ็า มุมปากเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
เมื่อได้ยินดังนั้น อวิ๋นเหนียงกับจางหลิงจึงถอยออกไป ฉู่อี้อาบน้ำแล้วเข้านอน ขณะครุ่นคิดถึงเื่ราวในเมืองหลวง ภาพใบหน้าอ่อนเยาว์ของอวิ๋นเจียวก็ผุดขึ้นมาในความคิด
หัวใจเ็าของเขาพลันเกิดระลอกคลื่น ตระกูลอวิ๋น อวิ๋นเจียว คราวนี้เ้าจะทำให้ข้าประหลาดใจเช่นไรอีก? แค่เครื่องประทินผิวขวดเดียว ก็ทำให้วังหลังของฮ่องเต้วุ่นวายได้
อวิ๋นเหนียงบอกว่าของคราวนี้ดีกว่าเครื่องประทินผิวครั้งก่อนเสียอีก! สองหมื่นตำลึงเงิน... เขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นผลลัพธ์ของสิ่งของที่ถูกส่งเข้าวังหลวงในคราวนี้
สามวันต่อมา เครื่องประทินผิวชั้นเลิศหนึ่งขวด น้ำตบหนึ่งขวด และเครื่องประทินผิวสูตรเข้มข้นหนึ่งขวดก็ถูกส่งไปถึงมือของหลินซูเฟย [2] คืนนั้นเป็คืนวันที่สิบห้า ตามธรรมเนียมแล้วฮ่องเต้ควรจะเสด็จไปที่ตำหนักของฮองเฮา
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่หลินซูเฟยนำขนมไปถวายที่ห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ก็ส่งคนไปแจ้งฮองเฮาว่าคืนนี้พระองค์ติดราชกิจ ไม่สามารถไปได้
ฮองเฮาที่อาบน้ำแต่งตัวเตรียมพร้อมแล้วั้แ่หัวค่ำ ทั้งยังอุตส่าห์ทาเครื่องประทินผิวที่แย่งชิงมาจากหลินซูเฟยลงบนใบหน้าและมืออย่างดี โกรธจนแทบจะทุบทำลายข้าวของในตำหนักคุนหนิงจนหมด
หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็โปรดปรานหลินซูเฟยเพียงผู้เดียว เื่นี้ไม่ขอกล่าวถึงอีก
วันที่สิบเจ็ดเดือนสาม เป็วันฝังศพของฉู่อี้
สิบวันต่อมา ในท้องพระโรง ฉู่เผยอู่ ผู้ดำรงตำแหน่งรองเ้ากรมพิธีการ [3] น้องชายของฉู่เผยเหวิน เจิ้นหย่วนโหว ได้กราบทูลแทนพี่ชายที่มีอาการเสียสติ เพื่อให้แต่งตั้งฉู่เจ๋อ บุตรชายคนรองที่เกิดจากฮูหยินคนใหม่เผยซื่อ สืบทอดตำแหน่งซื่อจื่ออีกครั้ง
หลินเจี่ยน เสนาบดีกรมอาญา [4] ก้าวออกมา กลับทูลว่าเจิ้นหย่วนโหวซื่อจื่อฉู่อี้ยังไม่ตาย ทว่าถูกลอบสังหารและตามไล่ฆ่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ไม่ง่ายเลยกว่าจะหนีกลับมายังเมืองหลวงได้ ตอนนี้อยู่รอฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้าอยู่นอกท้องพระโรง...
ฮ่องเต้กริ้วจัด จึงมีรับสั่งให้กรมอาญาสืบสวนเื่นี้ให้ถึงที่สุด เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างพากันแตกตื่น...
ตกดึก ฮ่องเต้เสด็จไปประทับที่ตำหนักของหลินซูเฟย เพื่อให้สนมคนโปรดได้ยิ้มออก ฮ่องเต้จึงเล่าเื่ที่เกิดขึ้นในท้องพระโรง
หลินซูเฟยถอนหายใจ เอ่ยว่าฉู่อี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก จากนั้นก็พูดถึงตนเองว่าถึงแม้จะใช้ชีวิตในวังอย่างระมัดระวังเพียงใด แต่ก็ยังมีผู้ที่ไม่้าให้นางเป็ที่โปรดปรานในสายพระเนตรของฮ่องเต้ คอยกลั่นแกล้งทำร้ายตนอยู่บ่อยครั้ง
รุ่งเช้า ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการ เนื่องจากเจิ้นหยวนโหวมีอาการเสียสติและไม่สามารถรักษาได้ จึงให้ซื่อจื่อฉู่อี้สืบทอดบรรดาศักดิ์เจิ้นหยวนโหว
อวิ๋นเจียวที่ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีอยู่ในชนบท ไม่รู้เลยว่าของที่นางขายให้กับร้านฝูหรงเซวียนจะสามารถก่อให้เกิดความปั่นป่วนในราชสำนักได้ ท่ามกลาง่เวลาที่กำลังยุ่งวุ่นวาย ตระกูลอวิ๋นก็ได้ต้อนรับวันหยุดเรียนของอวิ๋นฉี่เยว่
หลังจากหยุดเรียนสิบห้าวัน ก็ต้องลงสนามสอบอย่างเป็ทางการ เย็นวันแรกของการหยุดเรียน ผู้เฒ่าอวิ๋นพาอวิ๋นโส่วหลี่มาที่บ้าน
ตอนนั้นอวิ๋นโส่วจงยังไม่กลับมา อวิ๋นฉี่เยว่ก็ปิดประตูอ่านตำรา ไม่สนใจสิ่งใด ส่วนอวิ๋นเจียวและคนอื่นๆ ก็ไม่จำเป็ต้องออกไปต้อนรับคนทั้งสอง
ดังนั้นหลังจากที่ฟางซื่อรินน้ำชาให้แล้ว ทั้งสองคนก็นั่งรออยู่ที่ห้องโถงเป็เวลานานทั้งบ่าย จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน อวิ๋นโส่วจงก็ยังไม่กลับมา
“ท่านพ่อ พี่รองนี่เสียมารยาทเกินไปแล้ว ท่านเป็ถึงผู้ใหญ่แท้ๆ แต่พวกเขากลับแสดงท่าทีไม่สนใจเช่นนี้! พี่รองบอกว่ามีธุระ แต่จะมีธุระอันใดสำคัญกว่าเื่เรียนของข้าอีก? พี่สะใภ้รองก็ไม่รู้จักส่งคนไปตามเขากลับมาหรือยังไง?” อวิ๋นโส่วหลี่จิบชาที่เย็นชืดพลางบ่นออกมา
ผู้เฒ่าอวิ๋นเองก็ไม่พอใจเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ตอนนี้อวิ๋นโส่วจงไม่เหมือนเดิมแล้ว หากเขาทำตัวเป็พ่อที่ยิ่งใหญ่ อีกฝ่ายก็คงไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เขามาขอความช่วยเหลือ รออีกสักหน่อยก็แล้วกัน
“หากรังเกียจว่าบ้านเราต้อนรับไม่ดี เ้าก็กลับไปสิ ไม่มีใครขอร้องให้เ้ามาเสียหน่อย!” ผู้เฒ่าอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นอวิ๋นโส่วจงเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยสีหน้าบึ้งตึง
อวิ๋นโส่วหลี่รีบหุบปาก แต่สายตาที่มองอวิ๋นโส่วจงกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขาน่ะเป็ความหวังของตระกูลอวิ๋นเชียวนะ อวิ๋นโส่วจงกล้าดีอย่างไรถึงมาแสดงท่าทีไม่สนใจเขา! มีเงินแล้ววิเศษนักหรือ?!
รอให้เขาสอบเป็บัณฑิตซิ่วไฉได้ก่อนเถิด ฮึ คอยดูสิว่าอวิ๋นโส่วจงจะมาคุกเข่าเลียแข้งเลียขาเขาหรือไม่!
เชิงอรรถ
[1] ยามสาม (三更) เป็การแบ่ง่เวลากลางคืนออกเป็ห้า่ แต่ละ่มีระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระบบนี้ใช้เพื่อช่วยในการรักษาการณ์หรือเฝ้ายามใน่เวลากลางคืน โดยยามสามอยู่ใน่เวลา 23:00 น. ถึง 01:00 น.
[2] ซูเฟย (淑妃) เป็หนึ่งในสี่ตำแหน่งสนมเอก หมายถึง พระสนมผู้มีคุณธรรมและความงดงาม
[3] กรมพิธีการ (礼部) หนึ่งในหกกรมหลักของราชสำนักจีน มีหน้าที่ดูแลเื่พิธีกรรมต่างๆ เช่น งานราชพิธี งานเฉลิมฉลอง ศาสนา การศึกษา และการทูต
[4] กรมอาญา (刑部) หนึ่งในหกกรมหลักของราชสำนักจีน มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการบังคับใช้กฎหมายและการพิจารณาคดีความทางอาญา รวมถึงการสอบสวนคดีอาชญากรรมและดูแลระบบเรือนจำ